ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน

เริ่มเก็บสะสมหุ้นเมื่อดัชนีปรับฐานลงแรง เก็งกำไรรายตัวระยะสั้น
UOBKH แนวโน้มตลาดวันนี้ โดย ยศพณ แสงนิล, CFA : ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน
ตลาดไทยย่อลงแรงเมื่อวานนี้ด้วยแรงกดดันจากทั้งกลุ่มพลังงาน สื่อสาร และแบงก์ โดยหลังจากหลุดแนวรับ 1450 มา ก็มีโอกาสย่อลงต่อ โดยเฉพาะวันนี้ที่ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ปรับลงตามดัชนีดาวโจนส์ที่เผชิญแรงขาย หลังผลประกอบการของกลุ่ม Technology เช่น Apple, Microsoft, IBM , Yahoo ผิดหวังนักลงทุน ประกอบกับภายในประเทศนักลงทุนยังคงกังวลเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและความล่าช้าของการประมูลโครงการรัฐ ทำให้ Sentiment เป็นลบโดยรวมวันนี้
แนวรับ/แนวต้าน : 1420/1460 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 40% : พอร์ตหุ้น 60%
กลยุทธ์ : เริ่มเก็บสะสมหุ้นเมื่อดัชนีปรับฐานลงแรง เก็งกำไรรายตัวระยะสั้น เน้นหุ้นที่จะรายงานงบไตรมาส 2 ออกมาแข็งแกร่ง ส่วนระยะยาวเน้นปันผลสูงและ defensive เป็นหลัก
นักลงทุนระยะสั้น : SCC (600), PTTGC (76)
SCC (600) เราคาดว่า SCC จะรายงานกำไรสุทธิที่ 14,100 ล้านบาทในไตรมาส 2/58 เพิ่มขึ้น 27% qoq และ 65.7% yoy เทียบกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 10,000-11,000 ล้านบาท ปัจจัยที่ช่วยหนุนให้กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจาก 1) กำไรสุทธิจากกลุ่มเคมีภัณฑ์ซึ่งคาดเติบโตขึ้นมากที่ 62% qoq อยู่ที่ 8,000 ล้านบาทในไตรมาส 2/58 จากสเปรด PP ที่สูงขึ้น สเปรด HDPE ที่สูงขึ้น 2) พลิกฟื้นจากที่รับรู้ inventory loss ที่ 930 ล้านบาทในไตรมาส 1/58 มารับรู้ inventory gain ที่ 1,000 ล้านบาทในไตรมาส 2/58 3) รับรู้รายได้จากเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูงตามฤดูกาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโตโยต้าและบริษัทในเครืออื่นๆ ที่โดยปกติแล้วจะจ่ายเงินปันผลก้อนใหญ่ในไตรมาส 2 และ 4) คาดว่าบริษัทฯ จะรับรู้ forex gain ที่ 1,000 ล้านบาทจากเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯเราให้มูลค่าหุ้น SCC ที่ 600.00 บาทอิงด้วยวิธี SOTP หรือ WACC ที่ 7.5% และ terminal growth ที่ 1% และคาดว่ากำไรสุทธิในปี 58 จะอยู่ที่ 39,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% yoy
PTTGC (76) ยังเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนเช่นกัน UOBKH เราคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/58 จะต่ำที่สุดของปีนี้ ธุรกิจโอเลฟินส์และ derivative จะยังเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตที่สำคัญในปี 58 ขณะที่ราคา HDPE ที่อยู่ในระดับสูงในปัจจุบันจะช่วยหนุนกำไรสุทธิของ PTTGC ให้มากขึ้นเนื่องจาก 60-65% ของกำไรสุทธิขึ้นอยู่กับราคา HDPE แถมราคาหุ้น PTTGC ณ ปัจจุบันซื้อขายในระดับถูกด้วย 2015F PE ที่ 8 เท่าเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 9 เท่าด้วย รอจังหวะย่อๆมาซัก 65 ซื้อเก็บกินปันผลสบายใจเฉิบครับบบ
นักลงทุนระยะยาว : ADVANC (270), BDMS (25.50)
ADVANC (270) UOBKH เรายังมองประเด็นบวกจากการประมูล 4G เป็นปัจจัยบวกที่สำคัญ อย่างที่เราเคยเก็บข้อมูลการประมูล 3G ที่ผ่านมาก็ทำให้ Telco sector ขึ้นมา 40-50%เลย ภายใน 7 วันหลังจากประมูลเสร็จ โดยเราเชื่อว่า AIS จะได้ประโยชน์จากการประมูลนี้ที่สุด เพราะจะลดความกังวลเกี่ยวกับ การขาดเเคลน spectrum โดยคลื่น 900 MHz ของ AIS จะหมดอายุสัมปทานเดือน ก.ย.ปีนี้ ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการของ AIS ก็น่าจะทำสถิติใหม่ได้ใน Q3-Q4 เพราะไม่ต้องบันทึกค่าเสื่อมจากคลื่น 900MHz ที่ปกติจะบันทึกประมาณ 2,000 ล้านบาท/ไตรมาส ดังนั้น AIS เป็นหุ้น Top pick ของเรา Target price 270 บาท ปันผลก็สูงด้วยอยู่ที่ 5%
BDMS (25.50) เคยแนะนำไปแล้วในงาน Money Channel 11 ปี ว่าเป็นหุ้น Defensive ที่น่าเก็บสะสมตอน 19 บาท ตอนนี้ใกล้ 21 บาท ยังคงแนะนำซื้ออยู่ โดยขณะนี้ BDMS มี upside ที่สูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล ด้วย Target price ที่เราให้ไว้อยู่ที่ 25.50 ซึ่งให้ upside สูงถึง 28% ปัจจัยบวก มีอยู่หลายประการนะครับ เช่น 1.)BDMS จะสร้างตึกเพิ่มอีก 6 ตึก แต่ละตึกมี 60 เตียง ลงทุน 6 พันล้านบาท และ 2 พันล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์ โดยจะสร้างไว้รองรับผู้ป่วยต่างชาติจากการเปิด AEC โดยเราคาดว่าจะช่วยเพิ่ม capacity ได้ถึง 74% ภายในปี 2018 2.)BDMS มีแผนเปิดโรงพยาบาลเพิ่ม คือสมิทติเวช ชลบุรีในปีนี้ และเปาโลรังสิต และจอมเทียน Hospital ในปีหน้า และตั้งใจจะซื้อโรงพยาบาลเพิ่มอีก 7 โรงพยาบาลให้มีครบทั้งหมด 50 แห่ง 3.)อัตราส่วนของผู้ป่วยต่างชาติมีมากขึ้นเรื่อยๆ (30% เทียบกับ 25% เมื่อ 5 ปีก่อน) 4.)มีแผนขยายธุรกิจขายยาและเวชภัณฑ์ที่มี Margin สูงกว่าธุรกิจโรงพยาบาลทั่วไป สรุปคือ BDMS มี upside สูงถึง 28% และมีแผนขยายธุรกิจอย่างชัดเจน จัดเป็นหุ้น defensive ที่ต้านตลาดและเศรษฐกิจขาลงได้ดี
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน
ปัจจัยภายในประเทศ
- ค่าเงินบาทอ่อนค่าในรอบ 6 ปี ตลาดคาดการณ์ เฟด-เศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ธปท.รับค่าเงินบาทอ่อนมากกว่าภูมิภาค แต่ยังไม่พบเงินทุนเคลื่อนย้ายผิดปกติ ขณะ "บัณฑูร" ประเมินครึ่งปีหลังมีหลายปัจจัยลบโอกาสสูงจีดีพีโตต่ำกว่า 3%
- กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ประกาศปรับเป้ายอดผลิตปีนี้เหลือ 2.05 ล้านคัน ลดลง 1 แสนคันในส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศ คงเป้าส่งออก หลังยอดขายในประเทศทรุดต่อเนื่องครึ่งปีปิดยอดขาย 3.69 แสนคัน ลดลง 16.3% ส่งออก 5.76 แสนคัน เพิ่มขึ้นจาก 2.86%
- พิษเศรษฐกิจ-ออร์เดอร์วูบ ช่วง 5 เดือนแรกพนักงานถูกเลิกจ้างกว่า 3 หมื่นราย กระทรวงแรงงานหวั่นลามหลายธุรกิจ จับตากลุ่มเสี่ยงอุตฯยานยนต์-ชิ้นส่วนยานยนต์-อิเล็กทรอนิกส์ ทุน "ญี่ปุ่น-เกาหลี" นิคมอุตฯภาคเหนือลำพูนสุดอั้น งัดมาตรา 75 ใช้ จ่ายค่าจ้าง 75% ให้แรงงานหยุดงานชั่วคราวรอคำสั่งซื้อ ส่วนกลุ่มอุตฯยานยนต์แจง ปลดคนไม่เกี่ยวยอดขายรถหด
ปัจจัยต่างประเทศ
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,919.29 จุด ร่วงลง 181.12 จุด หรือ -1.00%
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (21 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ รวมถึงอินเตอร์เนชันแนล บิสิเนส แมชีนส์ (IBM) นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการที่นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดัชนี NASDAQ ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้
- ดัชนี FTSE 100 ปิดลดลง 19.62 จุด หรือ 0.29% ที่ 6,769.07 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดอ่อนแรงลงเมื่อคืนนี้ (21 ก.ค.) หลังจากมีการปรับตัวผันผวน โดยมีแรงถ่วงจากหุ้นอีซีเจ็ท แม้ว่าหุ้นกลุ่มเหมืองดีดตัวขึ้น
- สัญญาน้ำมันดิบ ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ ปิดที่ 50.36 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 ก.ค.) เพราะได้รับแรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ขณะที่นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันนี้







