Travel Agent สิ้นมนต์ขลัง เจาะคลื่นลูกใหม่..“รีวิว”ทรงพลัง

ทะเลแห่งข้อมูลทำให้พลวัฒน์ “ตลาดท่องเที่ยว”เปลี่ยน เทรนด์ใหม่เลิกเดินตามตารางทัวร์ ขอ “รีวิว” ในโลกโซเชียล โจทย์ใหญ่ “ปฏิรูปเที่ยวไทย”
“การท่องเที่ยว” ถือเป็นอุตสาหกรรมสร้างรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ คิดเป็นสัดส่วนราว 11% ของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) หรือมีมูลค่าราว 1.44 ล้านล้านบาท และมีโอกาสจะมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กำหนดเป้าหมายรายได้จากการเที่ยวในปีนี้ไว้ที่ 2.2 ล้านล้านบาท และ 2.3 ล้านล้านบาทในปี 2559 และ 2.5 ล้านล้านบาทในปี 2560
“การชิงตัวนักท่องเที่ยว” ให้เดินทางเที่ยวไทย ยังเกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับที่พลวัฒน์ตลาดท่องเที่ยวเข้าสู่ยุค Game Changing ตลาดเปลี่ยน เมื่อโลกออนไลน์ โซเชียลมิเดีย สื่อใหม่ เข้ามามีอิทธิพล “บันทึกข้อมูลการท่องเที่ยว” ทั่วทุกมุมโลกให้“ผู้บริโภค”เลือกสรรอย่างมากมายมหาศาล
วิถีการเดินทางท่องเที่ยวตาม “โปรแกรมบริษัทนำเที่ยว” (Travel agent) จึงหมดความหมาย !
ตามข้อมูลพบว่า การใช้บริษัทนำเที่ยวของนักท่องเที่ยวไทย ที่เคยมีสัดส่วนมากถึง 80-90% ลดลงเหลือเพียง 50% เช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา และยุโรป ที่สัดส่วนการพึ่งพาบริษัทนำเที่ยว ลดลงเหลือเพียง 15%
การเกิดขึ้นของเว็บไซต์ท่องเที่ยวมากมาย ตั้งแต่หาที่พักผ่านเว็บไซด์อโกด้า (Agoda) ,แอร์บีเอ็นบี (Airbnb) แหล่งรวบรวมที่พัก ,จองรถผ่านเฮิรทซ์ (Hertz),จองตั๋วผ่านสายการบินราคาถูกมากมาย รวมถึงการมีเสิร์ชเอ็นจิ้น อย่าง Google ให้ค้นหาสรรพสิ่งในโลก
ดังนั้น การจะผลักดันตัวเลขการท่องเที่ยวไทย จึงต้อง พลิกวิธีคิด กันยกขบวน !
ดร.สุรพิชย์ พรหมสิทธิ์ ที่ปรึกษาโครงการแนวทางปฏิรูปการท่องเที่ยวของประเทศไทย (Thailand Tourism Reform) จัดทำโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยถึงกลยุทธ์ที่ได้จากการวิจัยถึงแนวทางดึงดูดใจนักท่องเที่ยวยุคใหม่ว่า..
ปรากฎการณ์โลกใบใหม่ของนักเดินทาง กำลังกลายเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวแนวใหม่ ที่นักท่องเที่ยวไม่เพียงเดินทางไปถ่ายรูปแล้วจบ แต่ต้องมี “เรื่องราวเล่าขาน” (Story) เมื่อไปย้ำเท้า ณ แหล่งท่องเที่ยวใด เพื่อให้เกิดการบอกต่อ (Word of Mouth) ในโลกออนไลน์
ฉะนั้นคำพูดที่ว่า..ไม่ต้องการนักท่องเที่ยว “แบคแพ็คเกอร์” จึงไม่ใช่อีกต่อไป เพราะบรรดาแบ็คแพคเกอร์เหล่านี้ไม่ต่างจากศิลปินนักเล่าเรื่อง นักสื่อสารผู้ทรงอิทธิพล พลิกตลาดท่องเที่ยว เมื่อความเห็นของพวกเขาเหล่านี้บอกเล่าประสบการณ์ทั้งที่น่าประทับใจ และแย่ผ่านการ “Review” !!
ยิ่งไปกว่านั้น นักท่องเที่ยว ฮิปเตอร์ มาดเซอร์ ใช่ว่าจะกระเป๋าเบาเสมอไป หลายคนกระเป๋าหนัก เพียงแต่มีใจรักอารมณ์ศิลปิน
เมื่อโลกที่เต็มไปด้วยวัตถุนิยมท่วมท้น นักท่องเที่ยวจึงกลายเป็น “นักแสวงหาตัวตน” ไปในตัว นอกเหนือจากการออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนสุดฮิป ยังอยากเจียดเวลา “เรียนรู้สังคม” แลกเปลี่ยนมุมมองประสบการณ์แปลกใหม่ นำสิ่งของไปแบ่งปันสังคม เพื่อเติมเต็ม “พลังชีวิต” ให้กับตัวเอง
“นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องการมาเที่ยวแล้วได้ช่วยเหลือชุมชน สอนหนังสือ นำของไปให้ชาวบ้าน รู้สึกว่าให้แล้วเติมเต็มความรู้สึก เพราะคนยุคนี้มีวัตถุเยอะมาก จะไปเที่ยวทะเล เล่นน้ำอย่างเดียว ไม่จูงใจอีกต่อไป นี่คือเทรนด์ที่ต้องจัดวางกลยุทธ์ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวเริ่มไม่ชอบเดินตามกำหนดการ (Schedule) อีกต่อไป แต่ชอบสร้างเสน่ห์ด้วยเป็นผู้ออกแบบเส้นทางและการบริการ เพื่อค้นหาจุดปลายปลายทางในมุมที่แตกต่าง"
เมื่อเห็นเทรนด์เที่ยวในยุคนี้ ย้อนกลับมาดูหลังบ้านท่องเที่ยวไทย ที่เกาะกุมกลุ่มตลาด Mass (ตลาดทั่วไป) มายาวนาน จะละทิ้งไปกลางคันพลิกไปสู่นักท่องเที่ยวตามคอนเซ็ปต์ใหม่ก็ใช่ที่
โรดแมพปฏิรูปการท่องเที่ยว จึงต้องค่อยๆวางแผนครองใจนักท่องเที่ยวกลุ่ม Mass ในการบริหารจัดการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่เพื่อรักษาสมดุลแหล่งท่องเที่ยวให้ยั่งยืน เช่น จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ไปพร้อมๆ กันกับชู “เรื่องราวใหม่ๆ” เพื่อเฟ้นหานักท่องเที่ยวคุณภาพกระเป๋าหนัก อยู่ยาว สร้างคุณค่า
การปฏิรูปต้องเริ่มต้นจาก ผลิตภัณฑ์ แหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม ความเป็นเจ้าบ้าน แบบเวอร์ชั่นใหม่
สุรพิชย์ ย้ำว่า ไม่ใช่เพียงแค่ชายทะเล แหล่งท่องเที่ยวซ้ำเดิม ขายอาหาร วัฒนธรรม แต่ต้อง “สร้างสรรค์เรื่องราวใหม่ๆ”
เขายกตัวอย่างโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่สวยไปหมดทุกมุมมอง คนที่โพสต์รูปก็เพียงแค่โพสต์ในโซเชียลมิเดีย บอกไปเพียงว่า “สวยทุกมุม” ขณะที่บางโรงแรมมีมุมสวยแค่เพียง 2-3 มุมที่ถูกชูขึ้นมา เป็น “มุมว้าว” เช่น มุมนี้เป็นสปา ในโรงแรมที่อดีตเคยเป็นถ้ำ อดีตมีพระมานั่งกรรมฐาน เกิด “ญาณทัสสนะ” เป็นสิ่งที่ทำให้คนต้องเขียนถึง เกิดเป็นข้อสงสัย และเรื่องราวที่คลุมเครือ เร้นลับ ชวนสงสัยเช่นนี้ ท้าทายนักท่องเที่ยวที่ต้องการพิสูจน์ความจริง
อีกตัวอย่างหนึ่งของการสร้างจุดขายทางการตลาดของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระดับผู้นำ เช่น การจัด Theam หรือแนวคิดหลัก ของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ จับเรื่องน่าเบื่อทำให้กลายเป็นเรื่องสนุกสนานได้โดยการเปลี่ยนแนวคิดใหม่เรื่อยๆ เช่น แนวคิดพิพิธภัณฑ์เลโก้ หรือไททานิค
สิ่งเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับวิถีทางการบริหารจัดการให้การท่องเที่ยวแบบเดิมๆ ให้มีีชีวิตชีวาขึ้นมา
หรือแม้แต่กระทั่งความเป็นเจ้าบ้าน ชาติที่มีความเป็นมิตรต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่ปรากฏว่า คนไทยเคยมีน้ำใจไมตรี ในอดีตแต่ตอนนี้ถูกพูดถึงเรื่องเหล่านี้น้อยมาก เพราะสังคมไทยเข้าสู่บริบทความเป็นสังคมเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะต่างจังหวัด จึงต้อง “ฟื้น” ความเป็นเจ้าบ้านในวิถีทางอย่างไทยกลับคืนมา
“ต้องยอมรับว่า สังคมเมืองฉุดวัฒนธรรมความเป็นเจ้าบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ดีของไทยหายไป จนไม่ถูกพูดถึงหากเทียบกับ พม่า ลาว และกัมพูชา จะถูกพูดถึงในมุมเหล่านี้มากกว่าไทย”
สุรพิชย์ เล่าถึงสิ่งที่เขาได้จากงานวิจัยว่า สิ่งที่พบเมื่อนักท่องเที่ยวพูดถึงไทยมีเพียงวัฒนธรรมที่มนุษย์สร้าง (Man made) เช่น ไปเที่ยวปางช้าง แล้วสงสารจังเลย แต่นั่นไม่ใช่วิถีชีวิตจริงของคนกับช้าง
เมื่อโลกโซเชียลเข้ามามีบทบาท “กลยุทธ์การสื่อสาร” ด้านการท่องเที่ยวจึงต้องปรับใหม่ให้รับกับยุคสมัยของตลาดที่เปลี่ยนแปลง
กลยุทธ์การสื่อสารจะต้องทำการตลาด “แบบ 360 องศา” จากที่เคยเจาะเฉพาะการตลาดแบบดั้งเดิม โรดโชว์ โฆษณา สิ่งที่จะได้ผลและสร้างความน่าเชื่อถือ มีอิทธิพลเปลี่ยนพฤติกรรมนักท่องเที่ยว หรือนักเดินทาง ได้คือ เยือนไทยแล้วไปบอกต่อ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสื่อของตัวเองผ่านการเล่าเรื่อง (Below the line) และการซื้อสื่อช่องทางหลัก (Above the line)
นักท่องเที่ยว พวกเขาคือ “กระบอกเสียง” เป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาด (Marketing channel) ที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการท่องเที่ยวไปทั่วโลก มีผลทำให้คนตัดสินซื้อ เป็นทั้งผู้เผยแพร่ทรงอิทธิพล และบ่อนทำลายหากพูดถึงเรื่องไม่ดี ฉะนั้นหัวใจของการสื่อสาร คือ การสร้างเรื่องราว การตลาดให้คนเหล่านี้เขียนถึงมุมที่ดี
นั่นหมายถึง “การบริหารจัดการภายใน” และ “โปรดักส์ด้านการท่องเที่ยวของไทย” ต้องดีงาม
น่าเสียดายที่กว่า 80 % ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ไม่เคยเงี่ยหูฟังเสียงรีวิว ของนักเดินทาง บนโลกโซเชียล บล็อกเกอร์, ทริปแอดไวเซอร์ หรืออโกด้า ว่า เขาพูดถึงเราอย่างไรบ้าง ปล่อยให้ข้อมูลค้างเติ่งที่เต็มหน้าเว็บที่ไม่ว่าเสิร์ชกี่ครั้งบน google ก็ยังปรากฎทั้งด้านดีและด้านเสีย “สุรพิชย์” เผย
นักการตลาดที่ดี จึงควรหยิบมุมเหล่านี้ที่คนเขียนถึงในด้านดีนำไปแปลงเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดสร้างจุดขายให้กับตัวเอง หรือเร่งแก้ไขปัญหาภาพลักษณ์ไม่ดี จากประสบการณ์แย่ๆของนักท่องเที่ยว
สำหรับแผนการปฏิรูปท่องเที่ยวภาพใหญ่ของประเทศ ยอมรับว่า มีปัญหา “ซับซ้อน” ที่ผู้ประกอบการชี้ช่องในหลายจุดซึ่งเป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องแก้ไข
ปัญหาหลักคือ “กระบวนความคิด” ของภาครัฐและ “เอกชน” ที่ไม่ได้อยู่บนจุดร่วมเชื่อมต่อซัพพลายเชนในระนาบเดียวกัน จึงขาดการมองอุตสาหกรรมในเชิง “บูรณาการ”
จึงเกิดอาการ “ต่างคนต่างทำ” จนเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติที่ถึงคราวต้องปฏิรูป
เขายังแนะกลยุทธ์การพัฒนาภาพลักษณ์และจุดขายของประเทศที่สอดคล้องกับเทรนด์โลกและสร้างความยั่งยืนคือ การทำตลาดในกลุ่มที่มาแรงขณะนี้ คือ Wellness (ตลาดสุขภาพ) ที่ไม่จำกัดเพียงสุขภาพดีแต่หมายถึงความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายและจิตใจ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เป็น ดาวเด่นที่หลายประเทศจับจ้อง เพื่อให้ได้ตลาดคุณภาพเข้าประเทศ เพราะมีการใช้จ่ายสูงและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ว่ากันที่ทรัพยากรของไทยในด้านนี้ถือว่าพร้อมมาก ทั้งโรงแรม สปา หรือ แหล่งนักสมาธิ มีมากมาย ตลอดจนการเข้าไปทำกิจกรรมเพื่อสังคม ก็เริ่มเห็นมากขึ้น
ตอบโจทย์เทรนด์ของคนที่ต้องการออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนด้วยการเห็นโลกในมิติใหม่
---------------------------
3 ปัญหา “บริหารจัดการ” ท่องเที่ยวไทย
1.ปัญหาด้านกฎหมาย ตั้งแต่กฎหมายที่ดีขาดการบังคับใช้ หรือบางกฎหมายให้อำนาจท้องถิ่นมากจนเกิดปัญหา
ที่ผ่านมา แหล่งท่องเที่ยวของไทยมีการบริหารจัดการแบบปล่อยปละละเลย ทำให้แหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรม หรือบางกฎหมายบังคับให้จำกัดการท่องเที่ยว แต่ในความเป็นจริงพื้นนั้นได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้ว สิ่งที่ตามมาจึงทำให้ขาดการบริหารจัดการแบบบูรณาการ โดยหลักคิดของการปรับปรุงกฎหมายควรมองสภาพความเป็นจริงและบริหารจัดการให้เหมาะสม สร้างความยั่งยืนให้กับแหล่งท่องเที่ยว
2.ปัญหาการจัดเก็บข้อมูลที่ชัดเจน เป็นส่วนสำคัญของ “รากฐาน” ปัญหา หากมีการจัดเก็บข้อมูลนักท่องเที่ยวที่ชัดเจน จะนำไปสู่การบริหารจัดการ วางแผนกลยุทธ์ จัดสรรงบประมาณ และประเมินผลได้ถูกต้องสอดคล้องกับสภาพของปัญหาและความต้องการที่แท้จริง
3.ปัญหาการควบคุมธุรกิจไม่ให้เงินรั่วไหล เพื่อให้คนในชาติได้ประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรท่องเที่ยวของไทย เพราะปัญหาที่ผ่านมาเกิดการจดทะเบียนทำธุรกิจของคนต่างด้าวจำนวนมากที่เข้ามาใช้ทรัพยากรของไทย เราจึงเห็นไกด์นำเที่ยวต่างชาติ ,ธุรกิจท่องเที่ยวที่เป็นเจ้าของโดยต่างชาติ และการเกิดขึ้นของทัวร์ศูนย์เหรียญ ดังนั้นจึงต้องหาโมเดลปรับปรุงสมรรถนะผู้ประกอบการไทยให้สร้างสรรค์นวัตกรรม มีจุดขายแตกต่างจากเดิม และหาจุดสมดุลเมื่อต่างชาติมาลงทุน ก็ต้องอยู่ในจุดที่ทำประโยชน์ให้กับท้องถิ่น
-----------------------------
ไทยหลุดตาราง “ท็อปเทน” แหล่งเที่ยวโลก
ดร.สุรพิชย์ พรหมสิทธิ์ ที่ปรึกษาโครงการแนวทางปฏิรูปการท่องเที่ยวของประเทศไทย (Thailand Tourism Reform) เผยถึงสถานะท่องเที่ยวไทย พบว่า ประเทศที่มีทรัพยกรหลากหลายอย่างไทย ยังแพ้ "สิงคโปร์” และอีกหลายประเทศที่ต้นทุนทรัพยากรน้อยกว่าไทย
โดยสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆ ประชากร 5 ล้านคน กลับดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไปเยือนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ได้ถึงปีละ 15 ล้านคน
ผลจากการจัดอันดับการท่องเที่ยวในหลายเวที ทั้งเวทีระดับโลกและเวทีเอเชีย ยังพบว่า ไทยหลุดตารางติดอันดับ “ท็อปเทน” แหล่งท่องเที่ยวโลกทั้งที่หากนับในเชิงปริมาณนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ไม่แพ้แหล่งท่องเที่ยวท็อปฮิตระดับโลกอย่าง “อังกฤษ” และ “ฝรั่งเศส”
ล่าสุด มาสเตอร์การ์ด สำรวจสุดยอดจุดหมายปลายทางของโลกประจำปี 2015 (Master Card Global Destination Cities Index) ยกให้ไทยมีเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร ติดอันดับที่ 2 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 18.24 ล้านคน เป็นรองมหานครลอนดอน ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยว 18.82 ล้านคน ขณะที่เมืองปารีส ฝรั่งเศส เป็นอันดับ 3 มีนักท่องเที่ยว 16.06 ล้านคน
น่าเสียดาย อีกด้านของการจัดอันดับด้านที่พักค้างคืนที่มีการใช้จ่ายสูง พบว่า ไทยกลับหลุดตารางไม่ติด 10 อันดับแรกด้วยซ้ำ
ข้ามมาดูเฉพาะในฝั่งเอเชีย จากการจัดอันดับของ World Economic Forum 2013 The Travel & Tourism Competitiveness Report 2013 ซึ่งบ่งบอกถึงขีดความสามารถศักยภาพในเชิงคุณภาพท่องเที่ยว เมืองไทยของเราติดอยู่อันดับ 9 ของโลก
โดยมีเพื่อนบ้านอาเซียน สิงคโปร์ หมู่เกาะเล็กๆ ที่ทรัพยากรท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ต้องยอมรับว่า มาจาก การสร้างสรรค์ของคน”แมนเมด” ขึ้นแทนอันดับ 1 แม้กระทั่งมาเลเซียเพื่อนบ้านติดกันกับไทย ก็ได้รับการจัดอันดับ 8 แซงหน้าไทยด้วยชื่อเสียงด้านวัฒนธรรม โดยที่คนไทยหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาเลเซียเลื่องชื่อด้านนี้
ส่วนการจัดอันดับระดับอาเซียน ไทยรั้งอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ทั้งที่แหล่งทรัพยากรท่องเที่ยวและความอุดมสมบูรณ์ความร่ำรวยทางวัฒนธรรม ไม่แพ้ชาติใดในโลก
โจทย์ที่ทำให้คนในอุตสาหกรรม ต้องมานั่งย้อนมองตัวเอง พร้อมกับวิเคราะห์ “จุดอ่อน-จุดแข็ง”
-----------------------------------------
ชูกลยุทธ์ดิจิทัล รุกท่องเที่ยว “ไมซ์”
สริตา จินตกานนท์ ผูู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสาธารสนเทศ สำนักงานการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ (TCEB) มองโอกาสในการส่งเสริมการตลาดดิจิทัล เนื่องจากประเทศที่เป็นคู่แข่งด้านการจุดประชุมสัมมนานานาชาติ (MICE) เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์และเกาหลี ล้วนใช้แคมเปญสื่อสารด้านดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือสร้างการรับรู้ โปรโมทศักยภาพการจัดงานที่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น TCEB จึงจัดโครงการ Digital MICE Award2015 เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยตื่นตัวหันมาสร้างสรรค์แคมเปญโปรโมทสถานที่จัดงานประชุมประกวด โดยแคมเปญจะต้องใช้เป็นเครื่องมือการตลาดดิจิทัล ที่จะเป็นการพัฒนาผู้ประกอบการไทยแข็งแกร่ง และเป็นการโปรโมทร่วมกันกับอุตสาหกรรมไมซ์ทั่วประเทศ หลังจากนั้นจะนำแคมเปญที่ชนะเลิศไปต่อยอดส่งเสริมโปรโมทสู่สายตาลูกค้า
“แคมเปญด้านดิจิทัลมีความสำคัญกับกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มไมซ์ เนื่องจากเป็นสื่อทรงอิทธิพลต้นทุนต่ำและวัดผลได้ ขณะเดียวกัน กลุ่มลูกค้าไมซ์ยังเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีการใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปถึง “4 เท่า” เพราะเป็นผู้ที่ต้องการสินค้าคุณภาพเนื่องจากมีบริษัทรับผิดชอบค่าใช้จ่าย จึงเป็นส่วนที่ควรให้ความสำคัญ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนไมซ์ของไทยประมาณ 10% ต่อนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เข้ามาในไทยอุตสาหกรรมไมซ์ของไทย ปัจจุบันอยู่ในอัน 6 ของเอเชีย และอันดับ2-3 ในอาเซียนรองจากสิงคโปร์และสลับกับมาเลเซีย”
ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ นายกสมาคม และผู้ก่อตั้งสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย และกรรมการผู้จัดการแลยะผู้ก่อตั้ง บริษัท ตลาดดอทคอม (Tarad Dot com) และบริษัท โซเชียล อินซ์ (Zocial Inc.) บอกว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้มีสื่อรายล้อมอยู่รอบตัว โดยเฉพาะปัจจุบันสื่อที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจสูงคือสื่อที่คนพูดถึงแบรนด์ ผ่านนิวมิเดีย จะสร้างความน่าเชื่อถือ (Trust) มากกว่า ดังนั้นนักการตลาดนักทำแคมเปญจึงต้องมี “เทคนิคการพัฒนาคอนเทนท์” ในโลกนิวมิเดีย เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารที่ทุกแบรนด์ต้องหันให้ความสำคัญวางแผนควบคู่กันกับสื่อดั้งเดิม
แบรนด์ที่จะมีอิทธิพลเข้าไปอยู่ในการตัดสินใจลูกค้าได้จึงต้องวางแผนการบริหารจัดการข้อมูลความคิดของลูกค้าในแต่ละวันว่า เริ่มต้นบริโภคข้อมูลข่าวสารทั้งวันอย่างไร ตั้งแต่มือถือ คอมพิวเตอร์ จนถึงแท็บเล็ต
การตลาดในยุคปัจจุบันที่เหมาะสมและทำให้คนแชร์ต่อคือ“คอนเทนท์ มาร์เก็ตติ้ง”การโปรโมทแบรนด์ ผ่านการใช้เนื้อหาเล่าเรื่องราว มีสาระประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย โดยสอดแทรกแบรนด์สินค้าและบริการ จะทำให้คนจดจำและแชร์ต่อมากกว่าการโฆษณา
เครื่องมือสำคัญของการสร้างการรับรู้และแชร์ต่อคือการพัฒนาให้ผู้คนพูดถึง ประกอบด้วย ผู้ทรงอิทธิพลดารา เซเล็บ หรือบล็อกเกอร์ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ เนื่องมาจากผลสำรวจพบว่า86%ของคนทั่วไปไม่เชื่อสิ่งที่แบรนด์ และสินค้าพูดถึงตัวแต่ และ92% ของคนทั่วไปมักเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูดถึงแบรนด์มากกว่า
ดังนั้นจุดแข็งคือการแบ่งปันบอกต่อคีย์เมสเสจที่ต้องการสื่อสาร บางแคมเปญได้รับผลตอบรับดีเนื่องจากอิงกระแส หรือบางแบรนด์หาต้องการสร้างความน่าเชื่อถือก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้พูดถึง
สิ่งสำคัญหาเล่นกับกระแสจะต้องว่องไว แบบ Real time monitoring




