ไขรหัสเข้าถึงทุน ของ "กิจการเพื่อสังคม"

การจะเข้าถึงแหล่งทุนของSME ว่ายากแล้ว ลองเป็น “SE” ความยากที่ว่ายิ่งทวีเป็นหลายเท่า ร่วมไขรหัสกิจการเพื่อสังคมปรับตัวแบบไหนให้เข้าตานักลงทุน
“กิจการเพื่อสังคมในปัจจุบันเข้าไม่ค่อยถึงระบบสินเชื่อ ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ธนาคารรู้สึกว่า เขาไม่ใช่ธุรกิจที่จะค้ากำไรสูงสุดที่จะมีโอกาสได้เงินคืนกลับมา คนกลุ่มนี้จะดูแปลกมากในการไปขอกู้เงิน คือบอกว่า อยากช่วยคนนะ แต่ไม่อยากขอบริจาค ขณะเดียวกันก็ไม่อยากค้ากำไรสูงสุดด้วย”
“ณัฐพงษ์ จารุวรรณพงศ์” ผู้อำนวยการสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (สกส.) บอกโจทย์สำคัญในการเข้าถึงแหล่งทุนของกิจการเพื่อสังคม(Social Enterprise: SE) ระหว่างเปิด โครงการ “สลากเพื่อสังคม”
หนึ่งมาตรการปลดล็อกการเข้าถึงแหล่งทุนของ SE จากรัฐบาล โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ร่วมออกสลากจำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อนำมาเป็นสินเชื่อพิเศษสำหรับกิจการเพื่อสังคมและวิสาหกิจชุมชน ขณะที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สนับสนุนการค้ำประกันให้กรณีหลักทรัพย์ไม่พอ โดยเริ่มจำหน่ายในวันที่ 12-31 ส.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีกิจการที่ผ่านคุณสมบัติได้รับการรับรอง 169 ราย จาก SE ในระบบทั้งสิ้น 480 ราย
“SE มีความเสี่ยงกว่าธุรกิจทั่วไป เพราะนอกจากจะบอกว่า เขาไม่ได้ค้ากำไรสูงสุดแล้ว การเข้าไปทำเรื่องสังคม ‘ต้นทุน’ จะสูงกว่าปกติด้วยซ้ำ”
“วัลลภ เตชะไพบูลย์” กรรมการและผู้จัดการทั่วไปบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) ร่วมสะท้อนมุมมองถึงธุรกิจ SE ที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะโอกาสในการเข้าถึง “เงินทุน”
ขณะที่สกส. ระบุว่า ประเทศไทยมีกิจการเพื่อสังคมในระบบทั้งสิ้น 480 กิจการ ส่วนใหญ่ยังเป็นขนาดเล็ก และอยู่ในระยะเริ่มต้น มีน้อยรายเท่านั้นที่เริ่มเข้าสู่สภาวะ Sustain แน่นอนว่า พวกเขายังต้องการเข้าถึงแหล่งทุนจำนวนมาก เพราะ SE มักจะมีส่วนต่างกำไรน้อย ดังนั้นจำเป็นต้องมีมาตรการจากหลายภาคส่วน เข้ามาสนับสนุน
โดยปัจจุบันแหล่งทุนของ SE มีตั้งแต่ เงินบริจาค การประกวดแผนธุรกิจเพื่อสังคม เงินทุนส่วนตัวหรือคนรู้จัก เงินกู้จากสถาบันการเงิน เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อสังคม การระดมทุน ตลอดจนเงินทุนจากเหล่า Angel Investor นักลงทุนอิสระที่เลือกลงทุนในกิจการที่น่าสนใจ ฯลฯ
“ผมเริ่มต้นโดยใช้ทุนส่วนตัว ไม่ได้กู้จากธนาคาร แต่ในปีหลังๆ เริ่มมี Angel Investor เข้ามาให้การสนับสนุนบ้าง แต่ก็ยังน้อย ที่ผ่านมาการเข้าถึงแหล่งทุนของ SE ถือว่าค่อนข้างยากมาก”
“อาชว์ วงศ์จินดาเวศย์” ผู้ก่อตั้ง “Socialgiver” พื้นที่ออนไลน์ที่ทำให้เรื่อง “ช็อป” เท่ากับ “ช่วย” บอกเล่าสถานการณ์ของคนในสนาม ที่เริ่มต้นมาจากทุนส่วนตัว และเงินจากการประกวดแผนธุรกิจเพื่อสังคม จนมีนักลงทุนเริ่มเห็นโอกาสก็เข้ามาให้การสนับสนุน โดยย้ำกับเราว่า เงินทุนยังสำคัญสำหรับ SE เพราะหลายคนที่มีไอเดีย แต่ไม่มีช่องทาง ไม่มีคอนเนคชั่น และไม่มีเงิน ก็ไม่สามารถพัฒนาไอเดียนั้น หรือสร้างโมเดลเพื่อทดสอบว่าไอเดียนั้นจะสำเร็จได้จริงหรือไม่
แต่ไม่ใช่ SE ทุกราย ที่จะเนื้อหอมในสายตาของนักลงทุน หนึ่งความชัดเจนของ “Socialgiver” ไม่ใช่แค่การมีประเด็นทางสังคมที่ชัด แต่คือการตีโจทย์ธุรกิจได้แตก พวกเขาบอกว่า SE ต้องมีโจทย์ธุรกิจที่เข้มข้น และต้องสร้างกำไรได้จริง ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นแค่ “มูลนิธิ”
ขณะที่ “ปีตาชัย เดชไกรศักดิ์” ซีอีโอ บริษัท สยามออร์แกนิค จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ “ข้าวแจสเบอร์รี่” ที่เข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยในภาคอีสาน ซึ่งปัจจุบันมีชาวนาในเครือข่ายแล้ว 600 ราย มีผลผลิตเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 40% รายได้สูงกว่าเกษตรกรในที่อื่นๆ เกือบ 8 เท่า! ขณะที่สินค้าก็จำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ
สำหรับพวกเขา “เงินทุน” สำคัญกับ SE เพราะนั่นหมายถึง การจะขยายผลทางสังคมได้มากขึ้น
“ปัจจุบันเราทำงานกับเกษตรกร 600 ราย ถ้าจะเพิ่มเกษตรกรเป็น 6 พันราย ก็ต้องใช้เงินมากกว่า 10 เท่า ถูกไหม สมมติปัจจุบันใช้เงิน 10 ล้านบาท ก็ต้องใช้เพิ่มเป็น 100 ล้านบาท ก็เหมือนธุรกิจทั่วไปที่จะเติบโต แต่การโตของเราไม่ใช่โตคนเดียว คนที่เราเข้าไปช่วยเขาก็โตไปด้วย ถ้าเรารอด เกษตรกรในห่วงโซ่ก็รอดด้วย” เขาบอกความสำคัญ
อยากได้ทุนมาขยายผลทางสังคม แต่สถาบันการเงินก็อดมองไม่ได้ว่า พวกเขาคือ “ความเสี่ยง” ปีตาชัย บอกว่า ไม่อยากให้ไปยึดติดกับคำว่า SE แต่อยากให้มองไปที่สินค้าหรือบริการที่พวกเขาทำอยู่ ว่าดีจริงหรือไม่ เข้าตลาดแล้วจะขายได้หรือไม่ เพราะแม้เป็น SE แต่ถ้าสินค้าหรือบริการแข่งขันกับตลาดไม่ได้ ก็จบ! จะ SE ไม่ SE ก็ “เจ๊ง!”
“SE ก็ต้องมองเป็นธุรกิจ ภาษาของเราเรียกว่า โซลูชั่น หรือการแก้ปัญหาสังคมต้องใช้ market-driven คือมาจากตลาดก่อน อย่าง สินค้าผม ขายในตลาดได้ไหม ถ้าคำตอบคือไม่ได้ ผมแก้ปัญหาอะไรไม่ได้นะ เพราะถ้าแค่บอกว่า อันนี้เพื่อสังคม คนเขาก็ไม่ซื้อ ฉะนั้นสินค้าหรือบริการ ต้องเป็นที่ต้องการ ต้องเกิดจากตลาดแล้วเชื่อมกลับมาหาสังคม”
อีกหนึ่งโจทย์สำคัญ คือ เรื่อง “ความโปร่งใส” เขาว่า SE ต้องเป็นองค์กรโปร่งใสให้เหมือนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ โดยเป้าหมายทางสังคม ต้องมีการวัดผล และถูกตรวจสอบโดยองค์กรอิสระจากภายนอก
“ก็เหมือนกับบริษัทที่เข้าตลาดฯ จะทำอะไรผู้ถือหุ้นต้องรู้ที่มาที่ไป การเป็นธุรกิจเพื่อสังคม ผมว่า ความโปร่งใส ยิ่งต้องคูณสอง”
เป็น SE มีผลิตภัณฑ์เจ๋งๆ มองเห็นกำไร และสร้างผลกระทบสู่สังคมได้อย่างชัดเจน ยังเป็นที่หมายปองของกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) ประเภทที่เน้น “การลงทุนเพื่อสังคม”(Impact Investment) ซึ่งมีอยู่มากมายในระดับโลก “กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล” ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน 500TukTuks ยกตัวอย่าง “d.light” กิจการเพื่อสังคมที่ผลิตโคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อแก้ปัญหาคนด้อยโอกาสที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไอเดียที่เริ่มจากแพสชั่นในการอยากแก้ปัญหาของผู้ก่อตั้ง Sam Goldman นำมาสู่อุปกรณ์ที่ให้ความสว่างกว่าเทียนไขเป็น 10 เท่า ขณะที่ต้นทุนก็ถูกกว่าเทียนไข ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชีวิตคนได้แล้วถึง 39 ล้านคน!
ที่สำคัญเป็นบริษัทที่ "ทำกำไร" และสามารถระดมทุนจาก VC ได้กว่าพันล้านบาท!
“ยังมีโอกาสสำหรับ SE ในการเข้าถึงแหล่งทุน โดยมีกองทุนประเภท Impact Investor ซึ่งเป็นการลงทุนที่ต้องการผลกำไรและมุ่งเน้นที่ผลกระทบต่อสังคมด้วย VC ประเภทนี้ ที่ต่างประเทศมีเยอะมาก อย่าง Omidyar Network ที่ก่อตั้งโดย Pierre Omidyar ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ eBay ก็ถือว่าเป็นโอกาสของ SE”
ขณะสกส. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อ SE เติบโตขึ้น คนจะบริจาคน้อยลง แต่จะมาในรูปการซื้อสินค้าหรือบริการมากขึ้น ดังนั้น SE ต้องมีสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการ รายใดมีรายงานผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment: SIA) ที่ชัดเจน จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการสื่อสารกับลูกค้า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดจนผู้ลงทุนได้มากขึ้น
ส่วนการเข้าหาแหล่งทุน ควรนำเสนอตัวเองให้เหมาะสมกับแต่ละแหล่งเงินทุน เช่น ธนาคาร ดูความสามารถในการทำกำไร ความยั่งยืนของธุรกิจ มากกว่าประเด็นทางสังคม สถาบันการเงินบางแห่ง อาจต้องการรายงานผลกระทบทางสังคม(SIA) หรือผู้ลงทุนบางราย ก็อาจมองทั้ง การเติบโตระยะยาวและประเด็นทางสังคมไปพร้อมกันด้วย ฯลฯ
เหล่านี้คือโจทย์ของ SE ที่ต้อง รู้เขา-รู้เรา ขายให้เป็น พรีเซนต์ให้ถูกจุด เพื่อพิชิตโอกาสเข้าถึง “แหล่งทุน”







