1 ปี ทีวีดิจิทัล ผวา..!! “ติ๋ม เอฟเฟคท์”

15 ปี คือเวลาถือใบอนุญาติประกอบกิจการทีวีดิจิทัล แต่แค่ปีแรกก็เห็น “อวสาน”ของบางราย หรือนี่คือสัญญาณล้มเหลวของการเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิทัล
โบกมือลา เป็นรายแรก สำหรับ “บริษัท ไทยทีวี จำกัด” นำทัพโดย“เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล” หรือ“พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย”
ที่ร่อนจดหมาย “ประวัติศาสตร์” ถึงคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) เมื่อวันที่ 25 พ.ค.58 ขอคืนใบอนุญาติประกอบกิจการ“ทีวีดิจิทัล 2 ช่อง” คือ ช่องข่าวและสาระ “ไทยทีวี” และช่องรายการเด็กเยาวชนและครอบครัว “โลก้า” โดยระบุเหตุผลว่า...
“กสทช.ไม่ดำเนินการใดๆเพื่อให้มีการควบคุมหรือกำกับดูแลการเปลี่ยนผ่านทีวีระบบการรับชมโทรทัศน์ในระบบภาคพื้นดินไปสู่การรับส่งสัญญาณดิจิทัล ให้เป็นไปตามกฎหมายหรือแผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ฉบับที่1 พ.ศ.2555-2559”
กลายเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ 1 ปีที่ผ่านมา ไทยทีวี ต้องเผชิญภาวะ “เข้าเนื้อ” ขาดทุนราว 320 ล้านบาท ต่างจากการทำธุรกิจนิตยสารบันเทิงที่มี “กำไร” มาตลอด เป็นที่มาให้ไทยทีวี “ชักดาบ” ไม่จ่ายค่าใบอนุญาติ ประกอบกับเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ ภาพรวมมูลค่าการโฆษณาไม่เพิ่มขึ้น ขณะที่ชิ้นเค้กที่ต้องแบ่งมีก้อนใหญ่ขึ้น จาก 24 ช่องทีวีดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น
นี่คือสัญญาณร้ายแห่งวงการ “จอแก้วดิจิทัล” ที่เริมปะทุ !
ไทยทีวี ยังไม่ใช่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลเจ้าแรกที่ต้องแบก“ภาระขาดทุน” ยับในศึกสงครามแย่งคนดู แต่มีผู้ประกอบการอีกจำนวนไม่น้อยที่กำลัง“อมเลือด” ที่กระอักไว้ เพราะหากพิจารณาผลประกอบการของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจทีวีดิจิทัล ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะพบว่า “สาหัส” กันถ้วนหน้า
ล่าสุด จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ประกาศขายกิจการสิ่งพิมพ์ทั้งหมดในเครือ ประกอบด้วย หัวนิตยสาร 6 เล่ม “นิตยสารอิมเมจ,อิน แมกาซีน,มาดาม ฟิกาโร่,แม็กซิม ,เฮอร์เวิลด์ และแอตติจูด ให้กับบริษัท ซีทรู ซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัวของ ซีอีโอไทยแอร์เอเชีย ”ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์" โดยอากู๋ “ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” บิ๊กแกรมมี่ ระบุว่า ต้องการกระแสเงินสด เพื่อลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุนให้มากที่สุด รองรับกับการกู้เงินมาขยายธุรกิจอื่นๆในอนาคต
เมื่อหลายเจ้าออกอาการ “ร่อแร่” จึงต้องเร่งหาทางเอาตัวรอด เพื่อยื้อชีวิิตธุรกิจ เพราะหากอมเลือดไปเรื่อยๆ ไม่ช้าอาจจะเห็นผู้ประกอบการายอื่นจบตัวเองเหมือนกับ เจ๊ติ๋ม (เจ๊ติ๋ม เอฟเฟคท์) ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่สะเทือนทั้งอุตสาหกรรมจอแก้วและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง มูลค่านับแสนล้าน
เผือกร้อนคงตกเป็นหน้าที่ของ“กสทช.” ในฐานะผู้กำกับกิจการ และ “ออกกฎระเบียบ” แบบเบ็ดเสร็จ ตลอดจนการออกแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ (พ.ศ.2555) เพื่อเร่งผลักดันให้ “การเปลี่ยนผ่าน” จากอนาล็อกทีวี สู่ “ทีวีดิจิทัล” เป็นไปตามแผน
ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้การเปลี่ยนผ่านจากทีวีอนาล็อกเป็นทีวีดิจิทัล
นับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่การประมูลทีวีดิจิทัลมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ออกอากาศมาปีเศษ แต่กสทช.กลับเพิ่งอนุมัติงบประมาณประชาสัมพันธ์โครงการ 60 ล้านบาท ได้ไม่นานนัก
การแจกคูปองเพื่อเป็นส่วนลดในการซื้ออุปกรณ์รับสัญญาณทีวีดิจิทัล ที่ช่วงแรกๆดูเหมือนจะคึกคัก ผู้ประกอบการผลิตกล่องรับสัญญาณตบเท้าหวังแบ่งเค้กจากตลาด แต่ผ่านไปไม่นาน กลับนั่งตบยุงกันเล่น รวมทั้งการที่กสทช.ประกาศจะไม่แจกคูปองทีวีดิจิทัลต่อให้ครบ 22.8 ล้านครัวเรือน รวมไปถึงการขยายโครงข่ายรับสัญญาณทีวีดิจิทัล(มักซ์)ที่ต้องครบด้วยเชิงปริมาณและคุณภาพของการส่งสัญญาณ เป็นต้น
โยนภาระให้กสทช.ฝ่ายเดียว คงไม่ได้ ในฐานะ “ผู้ประกอบการ” ก็ต้องดิ้นเหมือนตอนอยากได้ “ช่องทีวีดิจิทัล” เพื่อ “กอบกู้” ธุรกิจตัวเองให้เต็มที่ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอนเทนต์ที่ดี โดนใจผู้ชม สร้างความแตกต่างเพื่อตรึงและดึงคนดูเก่า-ใหม่ เพิ่มเรตติ้งและเม็ดเงินโฆษณา ต้องหากลยุทธ์และการตลาดมาขับเคลื่อนธุรกิจ ท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนการ “เสพสื่อ” คนดูหลายจอ (Multi screen) มากขึ้น กระทั่งทีวีอาจเป็น “จอที่สอง” หรือ Second screen ก็เป็นได้ ยังผลให้เจ้าของสินค้ากระจายการใช้เม็ดเงินไปยังสื่อใหม่ๆหรือ New Media มากขึ้น
ท่ามกลางโจทย์ธุรกิจที่หลากหลาย การสร้าง “โพสิชั่นนิ่ง” ของสถานีได้ในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น เวิร์คพอยท์ ของเสี่ยตาปัญญา นิรันดร์กุล ที่โดดเด่นด้านคอนเทนต์ “เกมโชว์”ให้คนดูพูดถึง, ช่อง MONO ของตระกูลโพธารามิก ที่ขนหนังเด่นซี่รี่ส์ดังมาออกอากาศ, ช่อง PPTV ของนพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ขึ้นชื่อความโดดเด่นซี่รี่ส์เกาหลี ช่อง AMARAIN TV มีรายการเกี่ยวกับบ้าน รายการสุขภาพ ไทยรัฐทีวี ของตระกูลวัชรพล ที่ครบเครื่องวาไรตี้ พร้อมอลังการณ์งานกราฟฟิกในรายการข่าว new tv ของตระกูล เหตระกูล ที่นำเสนอคอนเทนต์ความรู้คู่สาระบันเทิง (เอ็ดดูเทนด์เมนต์) จับคนรุ่นใหม่คนเมือง หรือแม้กระทั่งช่อง NOW ของเครือเนชั่น ที่เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตหรือตลาดเฉพาะกับคอธุรกิจ - คนรุ่นใหม่ เป็นต้น
ในมุมของผู้บริโภคที่เป็น “ตัวแปร” แน่นอน ก่อนการประมูลทีวีดิจิทัล ประชาชนจำนวนมากที่ “ตื่นตัว” อยากจะดูทีวีระบบใหม่กันใจจะขาด แถมเกาะติดสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด ตั้งกระทู้ถามกันบนโลกออนไลน์จ้าละหวั่น “ทีวีจิดิทัลคืออะไร” “จะรับชมทีวีดิจิทัลได้อย่างไร” “ข้อดีของทีวีดิจิทัลคืออะไร” สารพัดคำถาม แม้กระท่ั่งช่อง 3 จะจอดำหน่อย ก็เรียกร้องให้เยียวยา
ทว่า ผ่านไป 1 ปีเศษความตื่นเต้นกลับ “ซา” ลง เพราะช่องทีวีที่ยังพูดถึงมาก ก็หนีไม่พ้น ช่อง 3 และช่อง 7 แถมถกกันแต่ “ละครน้ำเน่า” ภูมิภิทัศน์สื่อที่ว่าจะเปลี่ยนไป เลยแป้ก !!
“เรทติ้ง” เองก็ไม่สะท้อนการรับชมทีวีมากนัก เพราะอย่าลืมว่า ขณะนี้การอุปกรณ์รับสัญญาณทีวีดิจิทัลที่ยังไม่ครอบคลุม การรับชมยังไม่ทั่วถึง การวัดเรตติ้งก็ยังเป็นแค่ “ภาพเลือนราง” ที่ลวงตาอยู่ดี
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้ง กสทช.เดินตามแผนล่าช้า, คอนเทนต์ละม้ายคล้ายกันทุกช่อง เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ "เม็ดเงินโฆษณาจากเจ้าของสินค้า” เลยไม่เป็นอย่างที่คิด
กลายเป็น สารพัดอุปสรรค ทำให้ผู้ประกอบการ “จ่อคิวเจ๊ง”
++ไททีวี รายแรกยืดอก “เจ๊ง”
"เจ๊งไหม !!! ..การลงทุนคือความเสี่ยง เขาว่าอย่างนั้น ก่อนหน้านี้ท่านประธาน คือพี่ติ๋ม (พันธุ์ทิพา) ได้ศึกษา(การประมูลทีวีดิจิทัล)แล้ว อย่างถ่องแท้ ถ้วนถี่ ด้วยเงื่อนไข ปัจจัยที่ควรจะเป็นไป เหมาะสมแล้วที่ควรจะเข้าร่วมประมูลในธุรกิจนี้ ด้วยความมุ่งหวังที่นักธุรกิจต้องการ นั่นคือกำไร ส่วนตอนนี้มีความเจ๊งอยู่ เจ๊งเลยหรือเปล่า ? ไม่ใช่นะครับ มีเปอร์เซ็นต์อยู่ แต่เท่าไหร่ไม่ทราบพี่ติ๋มเป็นคนพูดตรงๆ บอกว่า ขาดทุนก็ขาดทุน เท่าไหร่ว่าไปเลย ขอโทษที่ใช้คำชาวบ้าน คือไม่หมดตูดนะครับ" นี่เป็นวลีเด็ดของ“ศุภิญโญ มั่นรู้ธรรม”ผู้อำนวยการช่องไทยทีวี บริษัท ไทยทีวี จำกัด ที่ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวกลางรายการของตัวเอง
จากนั้นประโยคสั้นๆ “ครับ” ไล่หลังคำถามว่าจะยุติออกอากาศช่องไทยทีวีและโลก้า ผ่านช่องทางดิจิทัลทีวีหรือไม่ นี่คือการพยายามห้ามเลือดของไทยทีวี ขณะเดียวกันก็ยังคงเดินหน้าสร้างรายได้ ด้วยการจะนำ 2 ช่องทั้งไทยทีวี และโลก้า ไปออกอากาศบนแพลตฟอร์มดาวเทียม
พร้อมโปรยยาหอมว่า พร้อมร่วมงานกับบรรดาเจ้าของสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ที่ไปทำข่าว เรียกว่า “แปรวิกฤติ” เป็นโอกาสไปในตัว
ทว่า การตัดสินใจเช่นนี้ ย่อมกระเทือน “กฎหมาย” โดยเฉพาะหากไทยทีวียุติการออกอากาศ“พละการ” และนั่นอาจนำพาไปสู่การถูกยึดใบอนุญาติประกอบกิจการทีวีดิจิทัล รวมทั้งอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาติทีวีดาวเทียมไปด้วย
ต่อข้อกังวลเรื่องนี้ ศุภิญโญ บอกว่า “เหล่านี้..เป็นความกลัวที่มีอยู่ในประเทศไทย ซึ่งนานมาแล้วขณะที่คนที่ดูแลเราอยู่ (กสทช.) เมื่อเราไม่แฮปปี้ ไม่มีความสุข เราก็ต้องมีทางอื่น เรามีอิสระ เสรีภาพ ที่จะเรียกร้อง ถ้าสมมุติว่าเรามัวแต่กลัวอิทธิพลเหล่านี้ ถามว่าความถูกต้องในสังคม มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ท่านประธาน เจ๊ติ๋ม บอกว่า เราไม่ยอม ที่จะให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไป เราไม่อยากให้ประเทศไทยไปด้วยความขลุกขลักแบบนี้”
พร้อมย้อนถามกลับไปยังกสทช.ว่า ดูแลผู้ประกอบการดีที่สุดหรือยัง โดยใช้ศัพท์แสงวัยรุ่นว่า ..
“เราอยากให้ท่านใจๆ กับเรา กับพี่ๆ น้องที่ร่วมลงทุนทีวีดิจิทัลด้วยกัน” เมื่อท่านไม่ใจพี่ติ๋มเลยทำแบบนี้ ศุภิญโญให้เหตุผล
กล้าขนาดนี้ เลยกังขาว่า ทำไม เจ๊ติ๋มถึงกล้า มีการหารือ “นอกรอบ” กับผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลรายอื่นหรืออย่างไร ศุภิญโญ เล่าอย่างอารมณ์ดีว่า...
"พี่ติ๋มไม่ให้บอกว่า..คุยกันหมดแล้ว..แล้วให้พี่ติ๋มนำหน้า"
โดยมีเสียงสำทับจาก“โดม เจริญยศ” เจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ไทยทีวี จำกัด ที่ยืนยันว่า..
"มีคุยมั้งครับ เห็นคุยกัน..!"
เขาขยายความด้วยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้บริษัทไม่ได้เรียกร้องต่อกสทช.ว่าจะขอเลื่อนจ่ายค่างวดประมูลทีวีดิจิทัล
"เราชัดเจนมากว่าจะขอยกเลิกสัญญา" น้ำเสียงหนักแน่นย้ำว่าสังเวียนนี้ไม่ไปต่อแล้ว จะขอกลับไปเอาดีกับสื่อดั้งเดิม นิตยสารบันเทิงทั้ง 3 เล่ม ได้แก่ ทีวีพูล, สไปซี่ และสตาร์นิวส์ รวมทั้งรุกนิวมีเดีย เช่น เฟสบุ๊ค ไลน์ ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ของบริษัท
เขาบอกด้วยว่า หลังยุติการออนแอร์ทีวีดิจิทัล จะทำให้ปีนี้รายได้กลับมาเป็น “บวก”
"มีดิจิทัลมาถ่วง แต่เมื่อตัดออก รายได้น่าจะมากขึ้น และเราก็เป็นนิตยสารที่มีกำไรมาตลอด มีโบนัสมาตลอด ถ้าเราเลิกทีวีดิจิทัลพนักงานก็จะมีความสุข เพราะเราจะกลับมาได้โบนัส 3 เดือน ในปีหน้า”
ส่วนเหตุผลการทิ้งใบอนุญาติประกอบการทีวีดิจิทัล “สุชาติ ชมกุล” ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย บริษัท ไทยทีวี จำกัด ระบุไม่ต่างจากจดหมายที่ร่อนถึงกสทช. ที่ก่อนหน้ามีการประมูลทีวีดิจิทัล ก็บรรยายสรรพคุณดีอย่างโน้นอย่างนี้ มีผู้ประกอบการจำนวนมากแห่เข้าไปร่วมประมูล เพราะหวังว่าอุตสาหกรรมจะดีอย่างที่กสทช.บรรยายไว้
กลับกันแผนแม่บทของกสทช.ที่ประกาศไว้ กลับไม่คืบ การแจกคูปองทำได้แค่ 20%
“วันนี้คุณแจกกล่องไปเท่าไหร่แล้ว จาก 22.5 ล้านครัวเรือน แต่คุณแจกไปแค่ 4.2 ล้านครัวเรือน แล้วมีข่าวว่าคุณจะแจกแค่ 14.5 ล้านใบ ก็มีคำถามว่า..อ้าว ! แล้วประชาชนครัวเรือนที่เหลือล่ะ คุณลอยแพเขาไว้ตรงไหน” ทนายโยนคำถามถึงรัฐ
ไม่เพียงเท่านั้นเขาบอกด้วยว่า คูปองที่แจกไปซื้ออุปกรณ์กล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัล กสทช.ก็ไม่เคยไปสำรวจด้วยซ้ำว่าประชาชนใช้รับชมทีวีดิจิทัลได้หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ทิ้งบอมบ์ไว้ว่า“ในวันข้างหน้า เชื่อว่าหลายรายก็คงถอนตัวเช่นกัน”
การันตีสัญญาณร้ายขนาดนี้ เพราะเขาบอกว่า..
“มีคนแย่กว่าเรา แต่คนอื่นไม่แอ๊คชั่น แต่เราไม่กลัวไง” เมื่อมีคนนำร่องตอนนี้เลยทำให้กสทช.หวั่นว่าจะเกิดโดมิโน่ด้วย “ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย” เปรย
ขณะที่การหวนไปทำทีวีดาวเทียม แต่ข้อข้องใจอาจโดนยึดไลเซ่นส์ดังกล่าว สุชาติหวังว่า
“กสทช.คงไม่มารังแกเราขนาดนั้นมั้ง(ยิ้ม) เพราะวันนี้ กสทช.จะทำอะไรไปเขาก็อึดอัดอยู่นะ”
++พลาดประเมินธุรกิจ “ดีสุดโต่ง”
แค่ปีแรก ไทยทีวี ก็สร้างสีสัน และแรงกระเพื่อมให้วงกว้างของอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลครั้งใหญ่ แต่สำหรับผู้ล้มลุกคลุกคลานมาอย่างโชกโชนก่อนยืนหยัดในวงการจอแก้วได้ สำหรับ “เนชั่นทีวี” เมื่อเจอเกมล้มโต๊ะ ของเจ๊ติ๋มเข้า "อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) บอกว่า ..เรื่องนี้เด็กๆ พร้อมยืนยันว่า จะไม่มีปรากฎการณ์“จอดำ” เกิดขึ้นในทีวีดิจิทัลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นแบงก์ที่ปล่อยกู้ (ธนาคารกรุงเทพ) ก็จะถูกยึดแบงก์การันตี
“ไม่ใช่แค่ปีเดียวนะ แต่ถูกยึดทั้งก่อน เขาไม่ยอมอยู่แล้ว”
ขณะที่ไทยทีวีเองก็ต้องหาพันธมิตรมาร่วมกันเดินหน้าต่อไป โดยไม่ผิดหลักเกณฑ์การประมูลตั้งต้นที่ระบุให้บริษัทหนึ่ง “ห้ามมีเกิน 3 ใบอนุญาติ” ซึ่งอดิศักดิ์ พยายามสะท้อนว่า ผู้ประกอบการ 17 รายเดิมที่ประมูลทีวีดิจิทัลไปแล้ว ไม่ควรมาซื้อกิจการหรือสานต่อใบอนุญาติของไทยทีวีและโลก้า แต่ควร “เปิดทาง” ให้ “หน้าใหม่” หรือผู้ที่ “อกหัก” จากการประมูลคราวก่อนได้เข้ามามีสถานีโทรทัศน์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทโพสต์ทีวี จำกัด, กลุ่มสยามสปอร์ต และบริษัทโรสมีเดียแอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เป็นต้น
“ผมยังเชื่อมั่นว่า ยังเป็น 24 ช่องเหมือนเดิม ไม่หาย แต่ถึง 15 ปี (ระยะเวลาของใบอนุญาติประกอบกิจการ) ไหมไม่รู้” อดิศักดิ์ คะเน พร้อมย้ำ
"มั่นใจว่าไม่มีช่องหายไป ส่วนสิ่งที่คุณพันธุ์ทิพาต้องการคือ แสดงให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้น จะต้องได้รับการแก้ไข เพราะที่ผ่านมา คุณพันธุ์ทิพาและพวกเราเอง(ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล) เรียกร้องหลายอย่างจากกสทช. แต่ไม่มีเสียงการตอบรับ มิหนำซ้ำยังเกิดปัญหามากขึ้น และเหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้สังคมเห็นว่า แค่ 1 ปี มีทีวีดิจิทัล 2 ช่อง ที่ไม่สามารถอยู่ได้แล้ว"
ถามว่า มีคนแย่กว่านี้ไหม อดิศักดิ์ ชี้เป้าไปที่ผลประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ หลายรายประเมินอุตสาหกรรมแบบ “เอ็กซ์ตรีม” (สุดโต่ง) เกินไป คาดหวังว่ารายการต่างๆที่เคยอยู่ฟรีทีวีอนาล็อกเดิม เมื่อย้ายมาช่องตัวเองจะ “โขก” ค่าโฆษณาได้เท่าเดิม แต่ผิดคาด!! หลายรายการเรตติ้งดี แต่เอเยนซี่ไม่คิดแบบเจ้าของช่อง
ซ้ำร้ายขอลดราคาค่าโฆษณาด้วย ขณะที่ค่าใช้จ่ายกลับ “สูงขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่กสทช.ที่จะต้องช่วย เพราะหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องช่วยกัน เพราะมีหลายประเด็นที่กสทช.เองเคยบอกว่า “เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของเขา เขาช่วยไม่ได้ ทั้งที่เห็นด้วยที่ต้องทำแบบนั้น อย่างการเลือนจ่ายเงินประมูล แต่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)และอัยการ ไม่เห็นด้วย”
จึงไม่แปลกหากผู้ประกอบการจะรวมตัวกันฟ้อง “ศาลปกครอง” เพราะปัญหามันใหญ่เกินกว่าที่กสทช.จะแก้ไขได้แล้ว
พร้อมเรียกร้องให้ กสทช.ยึดตามหลักเกณฑ์ก่อนการประมูลและ“คำมั่นสัญญา” ที่กสทช.ให้ไว้แก่ผู้ประกอบการให้ครบถ้วน 100% ไม่ใช่แค่มอง 50%
“ครัวเรือนไทย 22.8 ล้านครัวเรือน ต้องสามารถรับชมทีวีดิจทัล ผ่านอุปกรณ์ กล่องรับสัญญาณ หรือทีวีจูนเนอร์ ได้ทุกบ้าน ไม่ใช่รับจากดาวเทียมที่เป็นกฎมัสแคร์รี่ เพราะนั่นถือว่าเป็นทีวดิจิทัลแบบจำแลง”
นอกจากนี้ ที่กสทช.บอกว่า จะไม่แจกคูปองส่วนลดซื้ออุปกรณ์รับสัญญาณทีวีดิจิทัลอีก ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เขายังมองการการสิ้นสุดการออกอากาศทีวีอนาล็อกภายในปี 2561 ด้วยว่า เมื่อสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ช่อง 9 อสมท. ช่อง11 กรมประชาสัมพันธ์ และช่องไทยพีบีเอส พร้อมยุติการออกอากาศในระบบเดิม รวมทั้งช่อง 7 ที่ยอมร่นสัญญายุติการออกอากศในปีดังกล่าว มีเพียงช่อง 3 ที่ยังออกอากาศในระบบอนาล็อกไปจนถึง 24 มี.ค. 2563 ตามสัญญาที่ทำไว้กับอสมท. ประเด็นนี้เขาหวังว่าช่อง 3 จะเห็นพ้องยุติการออกอากาศอนาล็อกก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านพร้อมๆกัน
“ผมไม่ได้ให้เรียกร้องให้กสทช.ทำภายในวันหรือสองวันนะ แต่เรียกร้องให้ทำภายในปี 2561 เพราะทุกวันนี้ดูเหมือนว่า กสทช.จะไม่ค่อยสนใจตัวชี้วัด(เคพีไอ)ของการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกสู่ดิจทัล 100% แต่พูดถึง 50% ซึ่งมันไม่ตรงกับแผนแม่บทที่วางไว้"
การประชาสัมพันธ์ อีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็น “จุดอ่อน” ของกสทช. เพราะประมูลจนช่องเจ๊งไป 2 ช่องภายในระยะเวลา 1 ปี แต่กสทช.เพิ่งจะเคาะงบ 60 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ ขณะที่ผู้ประกอบการต่างก็ขลุกอยู่กับการบริหารจัดการช่องของตัวเอง เลยยังไม่จัดสรรเวลามาทำเพื่ออุตสาหกรรมทั้งระบบ
เขาหวังว่า ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ก็คงจะมา “สมานฉันท์” กันร่วมโปรโมทสร้างการรับรู้ให้กับทีวีดิจิทัลจริงจัง เพราะหากสำเร็จ ผลลัพธ์ที่ตามมา เมื่อครัวเรือนมีกล่องรับสัญญาณ รู้ว่ามีทีวิดิจิทัล 24 ช่อง รีโมทจะถูกดไปช่องไหน เชื่อว่าผู้ประกอบการได้ประโยชน์แน่ๆ
สัญญาณเตือนชัดขนาดนี้ หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่พึงระวังเพราะอาจเกิด เจ๊ติ๋ม เอฟเฟคท์ ไล่หลังมาอีก
อย่าลืมว่านี่แค่ปีแรกของ 24 ช่องทีวีดิจิทัลเท่านั้น เพราะการเปลี่ยนผ่านที่สมบูรณ์ ไทยจะต้องมีทีวีดิจิทัลถึง 48 ช่อง
--------------------------------------
ส่องศักยภาพช่อง ก่อน “ซื้อโฆษณา”
เม็ดเงินในอุตสาหกรรมโฆษณา 7-8 หมื่นล้านบาท แต่ก่อนที่เจ้าของสินค้าจะทุ่มเงินก้อนโตซื้อสื่อโฆษณาผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง ต้องมองทั้งคอนเทนต์ กลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับโจทย์สินค้า ที่สำคัญคือ“เรตติ้ง” ชี้วัดว่าหว่านเงินไปแล้ว สื่อไหน “คุ้มค่า” กับการลงทุนที่สุด
นี่เป็นมุมมองจาก“บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์”ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะบาร์บีคิวพลาซ่า จำกัด
ตั้งไข่มากว่า 1 ปี สำหรับทีวีดิจิทัล ผู้ประกอบการเจ้าของสินค้าก็ยังดูเชิงของอุตสาหกรรมอยู่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด แม้ว่าบรรดาช่องมากน้อยจะงัดดปรโมชั่น “หั่นราคา” โฆษณาจูงใจกันสุดฤทธิ์ แต่สุดท้าย KPI อย่างเรตติ้งก็ยังถูกนำมาชี้ขาดก่อนซื้ออยู่ดี
“เรามีเลือกใช้สื่อทีวีดิจิทัลบ้าง แต่ก็พิจารณาช่องที่ effective หรือมีประสิทธิผลจริงๆ 2-3 ช่องเท่านั้น เนื่องจากแบรนด์และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราเป็นแมส การเลือกซื้อสื่อจริงต้องเลือกตามเรตติ้ง”
ส่วนค่าโฆษณาทีวีดิจิทัลเฉลี่ยต่ำกว่าฟรีทีวีเจ้าเดิมประมาณ 50% แต่เธอบอกว่า มีบางรายที่ยอมเสนอลงโฆษณา“ฟรี” แต่นั่นไม่ได้ทำให้บริษัทตัดสินใจนำแบรนด์ไปลงสื่อช่องนั้นเสมอไป
สถานการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นความพยายาม “ดิ้นรน” ต้องการแจ้งเกิดของเจ้าของช่อง
เธอยังยอมรับว่า ทีวีดิจิทัลหน้าใหม่ ยังมีเรตติ้งและการเข้าถึงคนดูยังน้อย ขณะที่ “ทีวีเจ้าใหญ่” รายเดิม ยังเป็นช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากมายมหาศาล สมกับความเป็น Mass
“ช่องฟรีทีวีเดิม ก็เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและคนดูได้มากกว่า"
นอกจากนี้ เทรนด์ที่เจ้าของสินค้าจะลงโฆษณาผ่านทีวีดิจิทัลช่องต่างๆ ก็เริ่มเห็นเพิ่มขึ้น แต่กว่าจะบูม เธอคาดการณ์ว่า 3-5 ปี ขณะที่กระแสการยกเลิกใบอนุญาติประกอบกิจการบางช่องยิ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัล ส่วนสิ่งที่ตอบโจทย์ให้วงการจอแก้วโลดเล่นเด่นได้
เธอย้ำว่า “คอนเทนต์” เป็นคำตอบสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ“ถ้ายังไม่แตกต่าง อยู่ยาก”
-----------------------------
ภาพลวงตา ขุมทรัพย์ 2 แสนล.
ก่อนการประมูลทีวีดิจิทัล ผู้ประกอบการไม่น้อยมั่นอกมั่นใจว่า อุตสาหกรรมจอแก้วใหม่จะก่อเกิด “ขุมทรัพย์” ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมโฆษณา “แตะ 2 แสนล้านบาท” ภายใน 5 ปี จากปัจจุบันกว่า 1 แสนล้าน
นั่นคือ โอกาส
การคาดการณ์ราคาโฆษณาที่จะทำรายได้ “อื้อซ่า” ให้กับแต่ละช่อง ซึ่งเจ๊ติ๋ม พันธ์ทิพา เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่เทียบบัญญัติไตรยางค์อย่างง่ายว่า
“เม็ดเงินโฆษณา 7-8 หมื่นล้านบาท หากกระจายไปยังทีวีดิจิทัล 24 ช่อง หารเฉลี่ยกัน มีรายได้ 2,900 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 200 ล้านบาทต่อเดือน” เหล่านี้ เป็นข้อมูล “ฟองสบู่” ที่ลวงและแนวโน้มให้ “นักลง” หวังเข้ามาทำ “กำไร” กันไม่น้อย
ทว่า หลายคนอาจลืมไปว่า ธุรกิจมี “ต้นทุนมหาศาล” ซึ่งเป็น อุปสรรค มากมายตั้งแต่ค่าประมูล ค่าโครงข่าย ค่าผลิตคอนเทนต์ ค่าจ้างพนักงาน สารพัดที่จะจ่ายกันทุกวัน ไหนจะ “การแข่งขัน” ที่พี่เบิ้มอย่าง 2 รายใหญ่ อย่างช่อง 3 และช่อง 7 ซึ่งโกยส่วนแบ่งทางการตลาดเม็ดเงินโฆษณาถึง 70%ไม่ยอมที่จะ “เสียส่วนแบ่งตลาด” อย่างง่ายๆ ต้องทำทุกวิถีทางทั้งเชิงรุกและตั้งรับเพื่อ “สกัด” คู่แข่งรักษารายได้ที่เคยมีไว้ให้มากสุด
ดังนั้น จึงไม่ง่าย “ผู้เล่นใหม่” จะเดินดุ่มๆ เข้าไป แล้วหยิบเงินค่าโฆษณาหลักแสนบาทต่อนาทีได้เลย ต้องเริ่มจาก “ลด แลก แจก แถม” หรือให้ฟรีมาก่อน
ไม่นับจุดอ่อนของตัวเอง หรือการมีจุดแข็งเพียงพอจะต่อกรกับคู่แข่งในสมรภูมิเดียวกันหรือไม่ ดังนั้นหลายรายจึงคะเน 3-5 ปีแรก ว่าชะตากรรมของธุรกิจจะอยู่ในภาวะ “ขาดทุน” และสิ่งที่ผู้ประกอบการพยายามพิสูจน์ตัวเอง คือการสร้าง “คอนเทนต์ น้ำดี” ให้โดนใจ เพื่อดึงคนดูและเรตติ้งสร้าง “โอกาส” และทางรอดให้ธุรกิจ ก่อนจะมี “กำไร” ในอนาคต ส่วนจะทำได้ดั่งใจหวังหรือไม่ผลลัพธ์คงได้เห็นกันชัดขึ้นเรื่อยๆแบบเอชดีแน่นอน
-------------------------------
คอนเทนต์ “ไม่เจ๋ง” รายเล็ก “อยู่ลำบาก”
บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัด วิเคราะห์ภาพรวมธุรกิจทีวีดิจิทัลว่า การที่บริษัท ไทยทีวี จำกัด ในฐานะเจ้าของ ช่องไทยทีวี และช่องโลก้า จะคืนใบอนุญาตทีวีดิจิตอลให้ กสทช. บ่งบอกได้ว่า ธุรกิจทีวีดิจิทัลกำลังตกอยู่ใน “ภาวะความเสี่ยง” โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กที่เป็นหน้าใหม่ของวงการทีวี
แต่สำหรับผู้ประกอบการายใหญ่อย่างช่อง 3 ,5 ,7,9 , Workpoint TV ,ช่อง 8 และ ช่อง ONE ไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากช่องเหล่านี้มีฐานคนดูอยู่แล้ว เพียงแค่อาจต้องพยายามรักษามาร์เก็ตแชร์ให้ได้ ฉะนั้นหากรายเล็กอยากอยู่รอดในวงการต้องรีบปรับตัว เพื่อเรียกเม็ดเงินโฆษณา และสายตาคนดู เพราะเมื่อคนดูมากขึ้น นั่นหมายถึง เรตติ้งที่ดีขึ้น
วิธีการปรับตัวที่ดีที่สุดของผู้ประกอบการรายเล็ก คือ ต้องหาคอนเทนต์ใหม่ๆ มาเป็นตัวดึงคนดู เพื่อให้ช่องเป็นที่รู้จักมากขึ้น ยกตัวอย่าง ช่อง Workpoint TV สาเหตุที่มีเรต ติ้งดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะเขามีรายการวาไรตี้เป็น “จุดแข็ง” ทำให้บริษัทสามารถปรับขึ้นค่าโฆษณาได้อย่างต่อเนื่อง จากนาทีละ 1 หมื่นบาท เมื่อปีก่อน เป็น 3 หมื่นบาทต่อนาที ณ ปัจจุบัน ขณะที่ในอนาคตยังมีโอกาสปรับขึ้นค่าโฆษณาได้อีก เพราะตอนนี้ส่วนต่างระหว่างค่าโฆษณาในฟรีทีวีกับทีวีดิจิทัลยังห่างกันค่อนข้างมาก โดยค่าโฆษณาฟรีทีวีอยู่ระดับประมาณ 1-2 แสนบาทต่อนาที
ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2558 ส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ยังคงเป็นของช่อง 7 ตามมาด้วยช่อง 3 ช่อง Workpoint TV ช่อง 8 และช่อง ONE ส่วนตัวมองว่า การเข้ามาทำธุรกิจทีวีดิจิทัลผู้ประกอบการต้องเผชิญหน้ากับภาวะขาดทุนในช่วง 2-3 ปีแรก แต่การที่มีผู้ประกอบการบางรายขอคืนใบอนุญาตในช่วงนี้อาจเป็นเพราะมีปัญหาเกี่ยวกับสภาพคล่อง และไม่สามารถปรับขึ้นค่าโฆษณาได้
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป บอกถึงวิธีการอยู่รอดของผู้ประกอบการรายเล็กในทำนองเดียวกันว่า หากต้องการแข่งขันกับรายใหญ่ ผู้ประกอบการรายเล็กต้องปรับผังรายการใหม่ ด้วยการเพิ่มคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้บริโภค เพื่อเรียกเรทติ้ง และเม็ดเงินโฆษณา เพราะวันนี้อุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลมีการแข่งขันค่อนข้างความรุนแรง ฉะนั้นหากรายเล็กไม่ปรับตัวอาจอยู่ลำบาก
“ปัจจุบันเรทติ้งยังคงอยู่ในช่องเดิมๆ อย่าง ช่อง 7 ,3 ,5 ,9 ดังนั้นผู้ประกอบการรายเล็กๆ จะต้องมานั่งคิดว่า จะทำอย่างไรจึงจะแย่งมาร์แชร์จากรายใหญ่มาได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางระบบการออกอากาศที่ยังไม่สถียรภาพเช่นนี้”
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) บอกว่า บริษัทจดทะเบียนที่เป็นเจ้าของทีวีดิจิทัลที่มีความแข็งแกร่งมากสุดในอุตสาหกรรม คือ WORK ,RS และ MONO เพราะบริษัทเหล่านี้มี “จุดเด่น” เป็นของตัวเอง เช่น WORK ปัจจุบันเป็นช่องทีวีดิจิทัลที่มีเรตติ้งสูงเป็นอันดับ 3 เพราะรายการวาไรตี้ของเขาได้รับความนิยมจากคนดู
ส่วนช่อง 8 เขาเดินกลยุทธ์คล้ายกับช่อง 7 ที่มีทั้งละคร และรายการใหม่ๆ ซึ่งปัจจุบันมีฐานคนดูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับช่อง MONO 29 เขานำซีรีย์เกาหลี ภาพยนตร์ต่างประเทศมาเรียกคนดู ถือเป็นการสร้างความแตกต่าง ซึ่งในช่วง 6 เดือนหลังเขายังมีแผนปรับผังรายการใหม่ด้วย โดยจะเน้นรายการกีฬาเป็นหลัก เพื่อเจาะกลุ่มตลาดใหม่ๆ ที่อยู่ในต่างจังหวัด
สำหรับช่องทีวีดิจิทัลที่ “อ่อนแอมากที่สุด” คือ ช่องไทยทีวี สาเหตุใหญ่ที่ทำให้ช่องดังกล่าวขาดทุนหนักอาจเป็นเพราะกสทช. ขับเคลื่อนกลุ่มผู้ชมล่าช้า โดยเฉพาะความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านช่องทางการรับชม (platform) ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สดใส ทำให้เม็ดเงินค่าโฆษณายังเข้ามาไม่มาก
“หากเศรษฐกิจฟื้นผู้ประกอบการอาจสามารถปรับขึ้นค่าโฆษณาได้บ้าง” นักวิเคราะห์เชื่อเช่นนั้น
นักวิเคราะห์ บอกว่า วันนี้ผู้ประกอบการรายเล็กๆ ยังคงต้องเผชิญหน้ากับ “ความเสี่ยง” อย่างต่อเนื่อง ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า, อุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลมีการแข่งขันสูง, พฤติกรรมผู้บริโภคที่รับชมโทรทัศน์ลดลง และเหตุขัดข้องการเชื่อมต่อเครือข่ายรับสัญญาณทีวีดิจิทัล
“กลยุทธ์การทำธุรกิจของรายเล็ก คือ ต้องหาคอนเทนต์ดีๆมาดึงดูผู้บริโภค ยกตัวอย่าง ช่อง ONE ใช้กลยุทธ์ละครมาดึงตาผู้ชม ซึ่งหากมีฐานคนดูเพิ่มขึ้นก็มีโอกาสปรับค่าโฆษณาได้อีก”







