เชื่อมซัพพลายเชนโลก แผนการณ์ค้า เจ้าสัว "เจริญ"

เชื่อมซัพพลายเชนโลก แผนการณ์ค้า เจ้าสัว "เจริญ"

"ทีซีซี กรุ๊ป" ธุรกิจแสนล้านเจ้าสัวเจริญ วันนี้เริ่มเห็นภาพชัดบนแผนที่โลก กับเกมต่อหาง "ซัพพลายเชน"เคลื่อนทัพบริษัทลูกนับร้อยสู่เอเชีย

ทีซีซี กรุ๊ป บุกโลก !!!

โลกการค้าเสรี ที่ขับเคี่ยวแย่งตลาดขนาด "มหึมา" มูลค่า "มหาศาล" ธุรกิจที่จะคว้าเค้กก้อนโตมาครอบครองได้ จะต้องเพิ่ม "ศักยภาพ" ให้กับองค์กรอย่างครบเครื่อง

"ผลิต ขนส่ง และช่องทางจัดจำหน่าย (ค้าปลีก)"

ใครแกร่งก็ผงาดเป็น "ผู้นำ" ใครที่เป็นจุดอ่อน ย่อมต้องถูก "กำจัด" ให้พ้นทาง

จึงไม่แปลกที่แวดวงธุรกิจจะเห็น "บิ๊กมูฟ" ของ "บิ๊กคอร์ป" อย่าง "บริษัท ไทยเจริญ คอร์ปอเรชั่น จำกัด" หรือ "ทีซีซี กรุ๊ป" ธุรกิจแสนล้านของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เดินเกมระลอกแล้วระลอกเล่า ในการไต่ทัพธุรกิจสู่ระดับ "Regional" โดยอาศัยบทบาทของบริษัทลูกนับร้อย เข้าไปทั้งซื้อและควบรวมกิจการ(เอ็มแอนด์เอ) จดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่ เพื่อมา "ต่อยอด" อาณาจักรแสนล้านให้ยิ่งใหญ่

โดยเฉพาะการไม่ละความพยายามที่จะต่อห่วงโซ่การผลิต (ซัพพลายเชน) ในธุรกิจ "ปลายน้ำ" ให้ครบวงจร แบบขอยืนด้วยลำแข้ง

ในไทย ทีซีซี กรุ๊ป ได้พัฒนาห้างค้าปลีกหลากรูปแบบ ภายใต้แบรนด์ ดิจิตอล เกทเวย์ , พันธุ์ทิพย์ พล่าซ่า, ตะวันนา, เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ผ่านบริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด ผู้ขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่ม ธุรกิจจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุภาพโอเกนกิ (Ogebki)
ในประเทศเพื่อนบ้าน ทีซีซี กรุ๊ป รุกค้าปลีกภายใต้แบรนด์ เอ็มพอยท์ ในลาว, บีส์ มาร์ท (B's Mart) ในเวียดนาม ที่ผ่านมายังพยายามซื้อกิจการ "เมโทร เวียดนาม" ห้างค้าปลีกประเภทชำระเงินสด (แคช แอนด์ แครี่) ในเวียดนาม ผ่านบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค แม้ว่าดีลนี้จะคว่ำไป เพราะกฎหมายการเงินใหม่ของเวียดนามเป็นเสี้ยนตำ แต่บริษัทแม่ ก็ยังพยายามเจรจาเพื่อจะครอบครองกิจการนี้ อย่างไม่ลดละ

ก่อนหน้านี้ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ และบริษัททีซีซี แอสเซ็ท ในเครือทีซีซี ยังผนึกกำลังเทคโอเวอร์ "เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ" หรือ เอฟแอนด์เอ็น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ในอาเซียน ที่มีเครือข่ายการค้าปลีกกว้างขวางในเอเชีย ด้วยมูลค่าดีลกว่า 3 แสนล้านบาท จนกลายเป็นดีล "ประวัติศาสตร์" ในภูมิภาคเอเชียไปแล้ว

นอกจากจะเป็น "ทางลัด" ให้ไทยเบฟ ก้าวขึ้นเป็นยืนอยู่แถวหน้า เป็นยักษ์เครื่องดื่มเบอร์ 3 ของเอเชียแล้ว ดีลนี้ยังพ่วง "ห้างค้าปลีก" เซ็นเตอร์พอยท์ (Centrepoint) ในสิงคโปร์ และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ของเอฟแอนด์เอ็น รวบมาไว้ในพอร์ต

ล่าสุด ทีซีซี กรุ๊ป ยังคลอดบริษัทน้องใหม่ "บริษัท ทีซีซี โลจิสติกส์ แอนด์ แวร์เฮ้าส์ จำกัด" หรือ TCCLW มาเสริมใยเหล็กในขา "ธุรกิจเกษตร" ในเครือแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยปล่อยหมัดแรก ผุดห้างค้าปลีก ประเภทค้าปลีก-ค้าส่งและแคช แอนด์ แครี่ แบรนด์ "เอ็มเอ็ม เมกะ มาร์เก็ต" (MM Mega Market) เกาะตะเข็บค้าชายแดน ควบคู่กับธุรกิจโลจิสติกส์ "ขนถ่ายสินค้าระหว่างประเทศแบบสองทาง" โดยมีเป้าหมายเชื่อมการค้าใน "ภูมิภาคอาเซียน" เต็มรูปแบบ

กลายเป็น "โซ่ข้อกลาง" ตัวใหม่ ที่เข้ามาเชื่อมธุรกิจเกษตรให้กับทีซีซี กรุ๊ป โดยมือดีอดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ “ศิริพล ยอดเมืองเจริญ” มานั่งเก้าอี้ "ประธานคณะจัดการ" บริษัท ทีซีซี โลจิสติกส์ แอนด์ แวร์เฮ้าส์ จำกัด เป็น "กุนซือ" วางหมาก

เขาเล่าว่า บทบาทของ TCCLW ทำหน้าที่ด้าน "โลจิสติกส์" เป็นหลัก บริหารจัดการ "ขนถ่าย" สินค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ข้ามแดนจากฐานผลิตในลาวมายังฝั่งไทย หรือขนน้ำตาลจากไทยเข้าไปยังกัมพูชา นำสินค้าเกษตรจากกัมพูชาไปเวียดนาม สร้างขุมกำลังเครือข่ายการค้าเป็นใยแมงมุม

เดิมทีพรรณธิอร ว่าจ้างบริษัททั่วไปนอกเครือ (เอาท์ซอร์ส) ให้ขนส่งและกระจายสินค้า เมื่อการขนถ่ายสินค้าโภคภัณฑ์ของเครือมี "มากกว่าครึ่ง" จึงหันมาสร้างทัพโลจิสติกส์เป็นของตนเอง เพื่อบริหารจัดการต้นทุนให้ "ต่ำลง" จากการขนถ่าย "สองทาง" นำสินค้าจากประเทศหนึ่งไปยังประเทศหนึ่ง ลดการขนส่งเที่ยวเปล่า (Back Haul)

ขณะที่ห้างค้าปลีกน้องใหม่ เอ็มเอ็ม เมกะ มาร์เก็ต "ไม่ทำคงไม่ได้" เพราะพันธมิตรคู่ค้าที่เกี่ยวข้องเรียกร้องให้ต่อยอดการค้าให้ครบวงจร มีวัตถุดิบ มีกระบวนการผลิต และการขนส่งกระจายสินค้าแล้ว จะขาด "ช่องทางจำหน่าย" ได้อย่างไร "ศิริพล" เล่า

"เมื่อมีต้นทุนที่เหมาะสมในการขนถ่าย และขนส่งสองทาง เชื่อว่าสินค้าเราที่มีอยู่ในตลาดเขา(ต่างประเทศ) เราสามารถจะแข่งขันได้เต็มที่ และแน่นอนว่า ถ้าเรามีแค่สินค้า แต่ไม่มีช่องทางจำหน่ายก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันที่ประเทศเพื่อนบ้านต้องการนำสินค้าออกมาจำหน่าย จากการขนส่งสินค้าสองทางนี้ เราก็สามารถที่จะนำสินค้าราคาที่ดีเหมาะสมมาจำหน่ายในไทย นี่เป็นแนวทางที่เอ็มเอ็ม เมกะ มาร์เก็ตคิดว่าเป็นช่องทางที่เหมาะสม" เขาเล่าและว่า

หากพิจารณาตามกลยุทธ์การตลาด จะพบว่า ทีซีซีเดินตาม 4Ps การตลาดอย่างเหนียวแน่น เริ่มจาก สินค้ามีความหลากหลาย (Product) โลจิสติกส์มีประสิทธิภาพลดต้นทุนเอื้อต่อราคา (Price) มีช่องทางจำหน่ายเป็นของตัวเอง (Place) มีกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง (Promotion)

เขายังระบุว่า TCCLW ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็น "กองหนุน" ให้ธุรกิจเกษตร มีพื้นที่จำหน่ายสินค้าเกษตรผ่าน "เอ็มเอ็ม เมกะ มาร์เก็ต"

การมีหน้าร้าน ยังจะเป็นการเติมเต็มธุรกิจทีซีซี กรุ๊ป ให้ครบวงจรอย่างแท้จริง ส่วนหนึ่งเป็นช่องทางจำหน่ายให้กับสินค้าในเครือ แต่ที่พ่วงเพิ่มมาคือการเพิ่ม "อำนาจต่อรอง" ทางการค้าให้มากขึ้น
หากจะมองศักยภาพการแข่งขันของทุนไทยในอาเซียน โดยเฉพาะมุมของ "ค้าปลีก" ศิริพล พูดเต็มปากว่า ไทยไม่เป็นสองรองใคร ด้วยสั่งสมประสบการณ์ค้าที่มีมานาน เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในวันที่ 1 ม.ค.2559 ก็ยิ่งจะเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศ นำสินค้าที่ราคาเหมาะสมไปเจาะตลาดเพื่อนบ้าน

โดยมีเป้าหมายจะทำให้ "ขนาดตลาดค้าปลีกตามแนวชายแดน" ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่หลักใหญ่ใจความสำคัญของ TCCLW ศิริพล ย้ำว่า อยู่ที่ความถนัดด้านการขนถ่ายสินค้าสองทาง ใช้โลจิสติกส์เชื่อมกิจการที่ลงทุนในลาว กัมพูชา เชื่อมต่อตลาดเวียดนาม ให้แข็งแกร่ง !
เมื่อ "จุดแข็ง" ของบริษัทคือ "โลจิสติกส์" ไม่แปลกที่จะเห็น "รีเทล" เป็นส่วนหนึ่งที่เสริมความครบวงจรของ "ซัพพลายเชน" ก่อนจะปล่อยให้ธุรกิจนี้ตกอยู่ในมือของต่างชาติมากขึ้น

"เพราะถ้าเราไม่ทำ เราก็จะเสียศักดิ์ศรีการเป็นคนไทยเหมือนกัน เราเชื่อว่าเราทำ ดีกว่าปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนอื่นทั้งหมด นี่เป็นหัวใจ"

"ศิริพล" ยังยกย่องวิธีคิดของเจ้าสัวเจริญและภรรยา ในเรื่องนี้

"ผมว่าวิธีคิดของท่านประทานเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี เป็นวิธีคิดที่ผมชอบและถูกต้องมากที่สุด"

นี่จะเป็นการประกาศศักดาทุนไทย !!

"เราคิดว่าคนไทยทำได้ เห็นหลายๆ ประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลี แม้แต่อินเดีย แบรนด์ที่เขาสร้างขึ้นมาก็ภูมิใจในการทำรีเทล เราก็หวังว่าเราจะทำได้ หวังว่าคนไทยส่วนใหญ่จะเข้าใจและภาคภูมิใจกับเราด้วย"

เมื่อถามถึงเป้าหมายของ TCCLW ศิริพลเอ่ยสั้นๆ ว่า

"ผมพูดตรงๆ นะ ในส่วนของทีมงานที่เรารับผิดชอบ เราวาดภาพกันค่อนข้างลึก แต่ขออนุญาตไม่เผย แต่เราเน้นการทำธุรกิจที่เติบโตถาวร และมีมิตรภาพที่ดีกับทุกคน"

การใช้เงินทุน 200 ล้านบาท จดทะเบียนตั้ง TCCLW อาจถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะนี่คือการเริ่มต้น เติมฝันเจ้าสัวในการมีห้างค้าปลีก ที่ต่อยอดให้ทีซีซี กรุ๊ป เป็นเจ้าแห่งซัพพลายเชนเต็มขั้น

โยงใยเครือข่ายการค้าสัญชาติไทย "บุกโลก" เพิ่มโอกาสยอดขายที่จะไม่หยุดอยู่ที่ 4 แสนล้าน


------------------------------------------
"เอฟแอนด์เอ็น-IBHL"
2 หัวหอก เชื่อมโลก


ขณะที่การหน้าที่ของตัวเชื่อมธุรกิจโลจิสติกส์ในธุรกิจอื่นของทีซีซี กรุ๊ป ในส่วนของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จะใช้โครงข่ายของ "เอฟแอนด์เอ็น" ทำหน้าที่จัดจำหน่ายและกระจายสินค้าในอาเซียน ตัวแรกที่เห็นชัดคือความร่วมมือของโออิชิ ในการป้อนเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อย่างชาเขียวโออิชิ ไปเจาะตลาดมาเลเซีย โดยอาศัยเครือข่ายการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าของเจ้าถิ่นอย่างเอฟแอนด์เอ็น

เอฟแอนด์เอ็น ยังเตรียมรับบทบาทเชื่อมตลาดพม่า โดยขณะนี้กำลังซุ่มเงียบสร้างทีมจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าขึ้นมาเอง หลังอกหักหวังจะได้พันธมิตรเบียร์พม่ามาเสริมแกร่ง ล่าสุด เอฟแอนด์เอ็น ยังส่งเครื่องดื่ม "100Plus" แบรนด์ดังจากสิงคโปร์ ข้ามฟากมาทำตลาดไทย โยงใยโครงข่ายการค้าในอาเซียนให้ชัดเจนขึ้น

ขณะที่ตลาดไกลออกไปอย่างทั่วโลก บทบาทสำคัญในการเป็นสื่อกลาง คือ บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เบฟเวอเรจ โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด (IBHL) ที่ทำหน้าที่ทั้งขยายการตลาดและลงทุนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผ่านสำนักงานใหญ่ 6 แห่ง ในสหรัฐฯ อังกฤษและออสเตรเลีย เป็นต้น ควบคู่กับไทยเบฟที่มีผลิตภัณฑ์ในเครือผ่านโรงงานในต่างประเทศ ป้อนสินค้าไปยังตลาด 80 ประเทศทั่วโลก

การผสานกำลังกับเอฟแอนด์เอ็นไม่หยุดแค่นั้น เมื่อ "วิชั่น 2020" ของไทยเบฟ มีกลยุทธ์สำคัญคือการ "การสร้างทีมงานมืออาชีพ (Professionalism)" ที่ปลุกปั้น WAR Team เตรียมพลรบบุกโลก ทำให้บริษัทพึ่งพิง "เพื่อน" อย่างเอฟแอนเอ็น

"ฐาปน สิริวัฒนภักดี" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ไทยเบฟ เผยว่า "มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะเรียนรู้จากที่นั่น(เอฟแอนด์เอ็น) เพื่อสะท้อนมายังไทยเบฟ" นี่จะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้องค์กรสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันทางการค้า

ส่วนบทบาทของบีเจซี เป็นอีกหนึ่งทัพสำคัญ ที่จะแผ่อาณาจักรการค้าให้ผงาดอาเซียน ด้วยการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการตลาดหรือ "Market Infrastructure" เก็บฐานข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคแบบเจาะลึกให้ "รู้เขา" เพื่อจะหากลยุทธ์มัดใจลูกค้าในภูมิภาคได้

"อัศวิน เตชะเจริญวิกุล" กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บีเจซี เคยฉายภาพในฐานะเป็นซัพพลายเชนรายใหญ่ว่า..

"เมื่อได้รับมอบหมายจากท่านประธานเจริญ และรองประธาน คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ที่ต้องการขยายอาณาจักรการค้าให้ทั้งในและต่างประเทศให้มากขึ้น ด้วยการเลือกทำธุรกิจที่เชื่อมโยง Supply chain (ต้นน้ำถึงปลายน้ำ) มากกว่าการเป็นเพียงผู้ผลิต บีเจซีจึงกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ Market Infrastructure ขึ้นมารองรับวิสัยทัศน์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงประเทศใดประเทศหนึ่งในอาเซียนที่เข้าไปลงทุน แต่หมายถึงการเชื่อมโยง ระบบเครือข่ายการค้า ของทีซีซีกรุ๊ปในทุกประเทศที่เข้าไปลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเข้าไว้ด้วยกันเป็นภาพเดียว"

ปัจจุบันบีเจซี สร้างธุรกิจแข็งแกร่งและครบวงจรมากในเวียดนาม ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าประเทศไทยในเชิงของ "ขนาดประชากร" แม้ปัจจุบันการจับจ่ายใช้สอยยังไม่เท่าไทย แต่นั่นสะท้อนให้เห็นโอกาสการเจริญเติบโตทางธุรกิจอีกมาก

โมเดลธุรกิจในเวียดนาม นับเป็นความสำเร็จหนึ่งของความครบวงจรของ "ซัพพลายเชน" ซึ่งมีตั้งแต่การผลิตบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค(เต้าหู้) มีเครือข่ายกระจายสินค้า มีช่องทางจำหน่าย บีส์ มาร์ท

ขณะเดียวกันบีเจซี ยังเข้าไปในประเทศลาว ที่หลายคนมองข้ามเพราะขนาดตลาดที่เล็ก แต่หากเข้าไปก่อน กินรวบตลาดได้ รายใหม่เข้าไปก็คงไม่ง่าย บีเจซี เข้าไปขยายห้างค้าปลีกแบรนด์ "เอ็มพอยท์" ในลาว 18 สาขา ส่วนพม่านั้น ก็มีโรงงานผลิตสบู่ เพื่อรุกตลาด เรียกว่าสเต็ปการขยายเครือข่ายการค้าแต่ละขั้นนั้นแตกต่างกันไปตามความพร้อมของแต่ละประเทศ

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัท ทีซีซีแลนด์ กรุ๊ป ก็มีการผสานจุดแข็งกับเอฟแอนด์เอ็น ด้วยการส่งทีมบริหารไปเรียนรู้ธุรกิจค้าปลีกใน "เซ็นเตอร์พอยท์" สิงคโปร์ นำมาปรับใช้กับการปรับปรุงห้างดิจิตอล เกทเวย์ เอกมัย ครั้งใหญ่ ดึงพันธมิตรใหม่ๆ มาสร้างแม่เหล็กให้ช่วยดึงดูดผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการ นี่เป็นคำกล่าวของ "ณภัทร เจริญกุล" กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท ทีซีซี แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งสะท้อนภาพว่า การเชื่อมโยงการค้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาช่องทางจำหน่าย หรือเครือข่ายกันเท่านั้น

แต่ยังสามารถแบ่งปัน "องค์ความรู้" หรือ Know how เพื่อเอื้อต่อการขยายกิจการค้า

นอกจากนี้ กิจการของอสังหาริมทรัพย์ที่เอฟแอนด์เอ็นเคยเข้ามาลงทุนในไทย ก็ถูกกว้านซื้อหุ้นและถูกนำมารวมอยู่ในพอร์ตของทีซีซีแลนด์เรียบร้อย ผ่านบริษัทลูกต่างๆ เป็นการ "เขย่าธุรกิจ" รวมกันให้เป็นกลุ่มก่อน

ทีซีซี กรุ๊ป ถือเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่ของไทย มีบริษัทในเครือร่วมร้อย การขยับตัวแต่ละครั้งย่อมมีนัยสำคัญเสมอ

--------------------------------------------
ทีซีซีกรุ๊ป "ปรับทัพ" ทั้งองคาพยพ


ภายใต้ 5 กลุ่มธุรกิจหลักของทีซีซี กรุ๊ป ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, อาหารและเครื่องดื่ม, อุตสาหกรรมและการค้า, ประกันและการเงิน และกลุ่มธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร มียอดขายรวมกันกว่า 4 แสนล้านบาท โดยกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มกินยอดขายเกือบ 50% ของเครือ ที่ผ่านมายังเห็นภาพการ "ปรับทัพ" รับการเติบใหญ่ครั้งใหญ่

นำทัพโดย ไทยเบฟเวอเรจ ที่จับ 5 กลุ่มบริษัทได้แก่ ไทยเบฟ ,บมจ.โออิชิ กรุ๊ป, บมจ.เสริมสุข, เอฟแอนด์เอ็น และ บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เบฟเวอเรจ โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด (IBHL) มาเสริมแกร่งให้กันและกัน กระจายความถนัดของแต่ละบริษัทให้รับผิดชอบเต็มที่ อาทิ เสริมสุข จำกัด แจ้งตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์ ขายเครื่องหมายการค้า เอส (Est) ให้กับ IBHL ไปที่มูลค่า 1,560 ล้านบาท เพื่อให้ IBHL เป็นผู้ทำตลาด โดยเสริมสุจจะยังเป็นโรงงานผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าเท่านั้น

พร้อมกันนี้ไทยเบฟ ยังดึงบริษัทไทยดริ้งค์ มาเป็นหัวเรือใหญ่ ในการกำหนด "กลยุทธ์ร่วม" ในการทำตลาดของบริษัทในเครือ เพื่อผลักดันรายได้ของกลุ่มให้เติบโต "เท่าตัว" ทะลุ 3 แสนล้านบาท ตาม "วิสัยทัศน์ 2020" จากปัจจุบันที่มีรายได้กว่า 1.5 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ หากไล่เลียงไปแต่ละอาณาจักรธุรกิจ พบว่า อาณาจักรอาหารและเครื่องดื่ม นำทัพโดย "ไทยเบฟ" บุกตลาดต่างประเทศมากมาย เช่น มาเลเซีย, สิงคโปร์, พม่า, เวียดนาม, ฮ่องกง, ออสเตรเลียฯ มีเอฟ แอนด์เอ็นและ IBHL เป็นตัวกลางเชื่อมโยงตลาดภูมิภาค และโลก
ขณะที่ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมและการค้า มีหัวหอกสยายปีกธุรกิจคือ "บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์" หรือ บีเจซี ที่วางรากฐานธุรกิจปึ้กในเวียดนาม มีทั้งโรงงานผลิตสินค้าประเภทเต้าหู้ เป็นเบอร์ 1 ,ผลิตขวดแก้วและกระป๋องอะลูมิเนียมเป็นลำดับต้นๆ ของภูมิภาค ,ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายและกระจายสินค้ารายใหญ่ ผ่านไทอัน ภูไท , มีร้านสะดวกซื้อบีส์ มาร์ท ในเวียดนาม ร้านสะดวกซื้อเอ็มพอยท์ในลาว โรงงานผลิตสินค้าในมาเลเซีย เป็นต้น

กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นบทบาทของ "ทีซีซีแลนด์ กรุ๊ป" ที่ดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ครบวงจร ทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างค้าปลีก และที่อยู่อาศัย พัฒนาโครงการในประเทศ และรุกคืบซื้อกิจการโรงแรมในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ดำเนินการภายใต้บริษัท "พรรณธิอร" ที่เข้าไปปักหมุดรุกธุรกิจเกษตรกรรมครบเครื่อง เช่น ปลูกปาล์มแสนไร่ มีโรงสกัดปาล์ม โรงไฟฟ้าในกัมพูชา , ปลูกกาแฟ 2 หมื่นไร่ โรงกะเทาะเปลือก เตรียมสร้างโรงคั่วเมล็ดกาแฟในลาว ปลูกยางพาราทั้งในและต่างประเทศ และยังมีกิจการปุ๋ย โรงงานน้ำตาล ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น โดยมี TCCLW ทำหน้าที่ "เชื่อมโยง"เส้นทางการค้ากับเพื่อนบ้าน

และ กลุ่มธุรกิจประกันและการเงิน ที่ขับเคลื่อนโดย "อาคเนย์ ประกันภัย" แม้จะดูเป็นธุรกิจที่ยัง "เล็ก" รายได้หลักพันล้านบาท แต่อนาคตอาจเห็นการขยับขยายธุรกิจแน่นอน

นี่คือ "ห่วงโซ่การผลิต" ของยักษ์ใหญ่ของไทย ปักฐานทัพทั่วอาเซียน
------------------------------------------


"อิเหนา" ตลาดค้าปลีกใหญ่สุดอาเซียน


ข้อมูลของ Euromonitor ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อ้างอิงโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุถึง "ตลาดค้าปลีกในอาเซียน" ว่า ไทยมีมูลค่าตลาดราว 6.33 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.89 ล้านล้านบาท โดยตลาดใหญ่ยกให้อินโดนีเซีย มีขนาด 1.76 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.28 ล้านล้านบาท ,ฟิลิปปินส์ 5.47 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.64 ล้านล้านบาท ,มาเลเซีย 3.67 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท สิงคโปร์ มีมูลค่า 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.17 แสนล้านบาท
ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ยังระบุว่า มูลค่าค้าปลีกเวียดนามสูงถึง 2.34 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7.2 แสนล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 4.13 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.24 ล้านล้านบาท ในปี 2563