"ไช่ อี้ หรู" ถ่ายทอดความรู้ คู่ คุณธรรม

ลงหลักทำธุรกิจในไทย ไม่เพียงแค่เผยแผ่อิทธิพลด้านภาษาแต่พันธกิจของ"ไช่ อี้ หรู"คือร่วมยกระดับ "จิตใจ"คนในสังคม
ทุ่มทุน 250 ล้านบาท ดึงองค์ความรู้นำหลักสูตรสอนภาษาจีนโดยใช้คัมภีร์อักษรจงฮว๋า หรือ "มู่หลาน" มาบุกเบิกในไทย หวังให้ลูกหลานเลือดมังกรที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินทองแห่งนี้ ไม่ลืมรากเหง้าของภาษาแม่ กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนก็สามารถสื่อสารพูดคุยกับอากง อาม่าได้
ด้วยเหตุผลที่ต้องติดตามแม่มาทำธุรกิจ โรงงานผลิตอาหารเจในไทย "ไช่ อี้ หรู" หรืออาจารย์คิตตี้ ผู้อำนวยการสถาบันสอนภาษามู่หลาน แลงเกว็จเซ็นเตอร์ ต้องละทิ้งอาชีพการเป็นครูอักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษในไต้หวัน เพื่อมาปักหลักในไทย
ครั้นถามเธอว่าตั้งรกรากที่นี่นานแค่ไหนแล้ว เธอยิ้มกว้าง "ทายดูซิ" พร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ ก่อนต่อประโยคทันทีว่า
"อายุไม่ต้องบอกนะ..อาจารย์อยู่มา 25 ปีแล้ว"
เมื่อธุรกิจโรงผลิตอาหารเจ ถูกส่งไม้ต่อให้พี่ชายผู้เป็นทายาทดำเนินการต่อ แต่ปัจจุบันได้ขายกิจการให้หุ้นส่วนไปแล้ว นั่นเป็นโอกาสที่ทำให้เธอกลับไปสอนหนังสือซึ่งเป็นอาชีพที่เธอรักอีกครั้ง
"ด้วยใจรัก ชอบสอน ตอนอยู่ไต้หวันก็สอนเอกอังกฤษอยู่แล้ว สอนภาษาโดยตรง หลังจากแม่มอบกิจการให้พี่ชายดูแล เลยกลับมายึดอาชีพสอนภาษาจีนและภาษาอังกฤษตามเดิม" เธอเล่าปนรอยยิ้ม
อะไรทำให้ไม่อยากกลับไต้หวันบ้านเกิดเมืองนอน เธอหยิบยกความเชื่ออย่างหนึ่งมาเล่า
"มีข้อกำหนดที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริง ถ้าชาวต่างชาติมาอยู่ประเทศไทยเกิน 5 ปี จะไม่อยากไปไหน" เธอหัวเราะดัง และให้เหตุผลว่าเมืองไทยน่าอยู่ ผู้คนอัธยาศัยดี วัฒนธรรมการเป็นอยู่เรียบง่าย สบายๆ อีกทั้งเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ทุกอย่างเป็นองค์ประกอบที่เอื้อให้หลงรัก
"สิ่งที่ดึงดูดมากที่สุดให้อยากอยู่ที่นี่คือคน"
อยู่ต่างแดนมากกว่าบ้านเกิด เพราะเธอกลับไปเยี่ยมแม่ที่ไต้หวันปีละ 1-3 ครั้ง เท่านั้น
การผันตัวเองจากครู มาเป็นดูแลธุรกิจในฐานะผู้อำนวยการสถาบันสอนภาษามู่หลาน ควบคู่กันไป เธอบอกว่าเป็นเรื่องที่ยากและแตกต่างกันมาก ทำให้ต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองต่อเนื่อง เพราะการเป็นครูทำหน้าที่ในการบริหารเด็กห้องเรียน การเรียนการสอน ขณะที่ "มู่หลาน" ซึ่งเป็นธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาและเป็นแฟรนไชส์ มีหน้าที่อีกด้านต้องดูแล คือ การควบคุม ทั้งเป็นครูอาจารย์ของบรรดาอาจารย์ผู้สอนภาษาจีนของโรงเรียน รวมทั้งดูในเรื่องของการตลาด เจรจากับผู้ประกอบการที่สนใจแฟรนไชส์ทำอย่างไร ต้องมีบริการ จึงต้องอาศัยทีมงานคนไทยมาเป็นลูกทีม
"ตรงนี้ทำยาก ไม่ใช่ทุกคนทำได้ ต้องอบรมคนให้เขา(ครู) Copy การเรียนการสอน และจิตวิญญาณความเป็นครูให้เหมือนเราให้ได้ บริหารด้านจิตใจ เพราะบางคนไม่ได้จบครูมาก่อน อีกด้านหนึ่งคือเทคนิคการสอน ที่ให้เขาสามารถ follow up ได้ง่าย"
เนื่องจากครูส่วนใหญ่ของที่นี่จะเป็นต่างชาติคือ import ตรงจากแดนมังกร เมื่อมาอยู่เมืองไทยก็จะเกิดอาการคิดถึงบ้านเป็นธรรมดา จึงต้องสร้างระบบความเป็นอยู่ในเป็นแบบพี่เลี้ยง และเคล็ดลับสำคัญไม่ให้ครูต้องถอดใจเสียก่อน อาจารย์คิตตี้บอกว่า
"ในการบริหารที่นี่เราจะใช้ความรัก เอาใจใส่ครูทุกคน ทำให้เขามีความรู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน และเขาจะรักมู่หลาน ไม่ใช่แค่รักแบรนด์ แต่รักด้วยจิตวิญญาณความเป็นครู ต้องการให้นักเรียนมาเรียนที่นี่ เรียนแล้วเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล สุดท้ายคือภาคภูมิใจในความเป็นครู นั่นคือสิ่งที่เราปลูกฝังทัศนคติให้ตั้งแต่ย่างก้าวแรกของการเข้ามาเป็นครูที่มู่หลาน"
ปัจจุบันมีครูสั่งตรงจากแดนมังกรมาสอนหนังสือเด็กหลายสิบชีวิต เพื่อรองรับการเติบโตของความต้องการเรียนภาษาจีน เพราะหากพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจ สังคม เธอมองว่าจากนี้ไปจีนจะมีบทบาทในเวทีโลกอย่างยิ่งยวด
ในเชิงธุรกิจเธอวาดแผนจะขยายสาขา "มู่หลาน" อีก 100 แห่ง ภายใน 3 ปีข้างหน้า ทั้งรูปแบบแฟรนไชส์และลงทุนเอง ขณะเดียวกันยังป้อนหลักสูตรให้กับโรงเรียนเอกชน ส่งครูผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนไปสอนในโรงเรียนต่างๆ ด้วย
ทั้งหมดเพื่อการมุ่งสู่ "เบอร์ 1" ของธุรกิจสอนภาษาจีน จากปัจจุบันรั้งเบอร์ 3 แต่กระนั้นเธอก็ไม่กลัวการแข่งขัน เพราะมั่นใจในแบรนด์และจุดแข็งที่มี ยิ่งผ่านจุดต่ำสุดตอนน้ำท่วมมาได้ เรียกว่าที่เหลือไม่หวั่น
"ปีที่ทำธุรกิจแล้วแย่ที่สุด คือปีที่น้ำท่วม(หัวเราะ)ช่วงที่น้ำท่วม เปิดกิจการไม่ได้ มีผลกระทบกับเรา แต่ก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ทำให้เราไปพักผ่อน ทำงานมาทั้งปีแล้วพักซะบ้าง 1 เดือน 2 เดือนก็ไม่เป็นไร (หัวเราะ) ก็เลยพาลูกไปเที่ยวระยอง พักผ่อน ไปฮอลิเดย์น้ำท่วม ก็ไม่มีปัญหาอะไร"
ทว่าอีกเป้าหมายหนึ่ง กลับน่าสนใจไม่น้อย เพราะแนวคิดของเธอคือ การเจริญรอยตามคำสอนของนักปรัชญาเมธีชื่อดังของแดนมังกรและโลกยกย่องนาม "ขงจื๊อ"
"ท่านขงจื๊อสอนให้ลูกหลานคนจีน เป็นคนดีมีคุณธรรม โดยใช้ภาษาจีนเป็นสื่อ ดังนั้นสิ่งที่อาจารย์คิตตี้อยากทำ ไม่ใช่แค่ในเชิงธุรกิจเท่านั้น อาจารย์อยากให้มู่หลานเป็นโรงเรียนร้อยปี เผลอๆ เป็นพันปี อยากให้ชาวจีนและชาวต่างชาติสามารถเรียนภาษาจีนจนประสบความสำเร็จ กระทั่งสามารถสื่อและรับรู้ถึงวัฒนธรรมที่ดีงามของชาวจีน ที่มีมายาวนานถึง 5,000 ปี" เธอเล่าเจตจำนง
อาจารย์คิตตี้ ยังวิพากษ์สังคมยุคปัจจุบันว่า "ผู้คนมีปัญหาด้านจิตใจค่อนข้างมาก เราอยากใช้ภาษาจีนเป็นสื่อ เพื่อกอบกู้จิตใจของผู้คนและคุณธรรมที่ตกต่ำ ตลอดจนปัญหาสังคม มันเป็นวิธีการที่ต้องใช้เวลายาวนาน เพื่อช่วยพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น ประเทศชาติเจริญขึ้น นั่นคือเป้าหมายหลัก"
"เรายึดถือคำสอนของท่านขงจื๊อคือ ไม่มีนักเรียนคนไหนที่สอนไม่ได้ มีแต่วิธีการที่ผิดไป"
แน่นอนในเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนที่มีมาตรฐาน ยึดคัมภีร์จงฮว๋า มาถ่ายทอดให้ลูกศิษย์เก่งภาษาจีนแล้ว สิ่งที่จะเพิ่มเติมเข้าไปคือการสอนในเรื่อง "คุณธรรม 8 ประการ" ได้แก่ ความซื่อสัตย์ จงรักภักดี, พี่น้องปรองดอง, กตัญญู, ความสัตย์จริง, มโนธรรม, จริยธรรม, สุจริตธรรมและละอายต่อความชั่ว
หากสามารถประคับประคองตรงนี้ได้ ครอบครัวก็จะมีความรักความอบอุ่น เศรษฐกิจก็จะดี บ้านเมืองก็จะสงบสุข เกิดโลกแห่งสันติภาพ นี่เป็นอุดมการณ์ของท่านขงจื๊อ ที่อยากนำมาเผยแพร่ ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ปกครองสบายใจ ลูกศิษย์ว่านอนสอนง่าย เธอย้ำก่อนฉายภาพว่า
"ทุกวันนี้ครูปวดหัวมากเลยนะตามโรงเรียน เพราะเด็กไม่ยอมเรียน ไม่มีระเบียบวินัย ไม่เคารพอาจารย์ สิ่งที่ทำคือเป้าหมายและเป็นภารกิจของเรา เป็นมิชชั่นของเราที่เราจะช่วยเหลือสังคมโดยใช้ภาษาจีนเป็นสื่อ ก็จะสามารถส่งเสริมคุณธรรมได้"
นานแค่ไหนที่จะได้เห็นภาพนั้น อาจารย์คิตตี้บอกว่า
"ขอทำวันนี้ให้ดีสุด เพราะทุกก้าวที่เดินไปเราย่อมเห็นผล"







