ผ่า DNA คนล้ำโลก กลยุทธ์ปลุกพลัง Google & GE

ผ่า DNA คนล้ำโลก กลยุทธ์ปลุกพลัง Google & GE

ถอดรหัสเคลื่อนองค์กรนวัตกรรมชั้นนำ Google และ GE กับ "กลวิธี" ปลุกพลัง ฝังค่านิยม ทำให้คนทำงานเร็ว เก่ง และสุ

กว่าจะเป็นองค์กรที่สร้างแบรนด์และผลิตภัณฑ์ล้ำโลกได้อย่างน่าทึ่ง กูเกิล (Google) และ จีอี (GE -General Electric) แบรนด์รุ่นใหม่ ปะทะแบรนด์เก๋า มี 2 สิ่งที่เหมือนกันคือ การสร้างแรงขับจากพลังความคิด "พรสวรรค์" และ "พรแสวง" ของเหล่าสาวกพนักงาน ผ่านการจัดวางโครงสร้างและสิ่งแวดล้อมในองค์กร เพื่อกระตุ้นการปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์

จนกลายเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมสินค้า และบริการพิเศษ ไม่เฉพาะโลกยุคนี้

แต่มองไกลไปถึง "ยุคหน้า"

ความสำเร็จของกูเกิล search engine ระดับโลก ฉายให้เห็นจากรายได้ผ่านสื่อโฆษณา กระทั่งติดอันดับองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์ และน่าทำงานด้วยมากที่สุดในโลก ประจำปี 2014 จากนิตยสาร Fortune โดยกูเกิลรั้งตำแหน่งนี้มาแล้วถึง 5 ครั้ง

ทั้งหมดมาจากกลยุทธ์หลอมวัฒนธรรม ปลุกพลังความท้าทายกล้าคิดสิ่งใหม่ เปลี่ยนแปลงโลกให้น่าอยู่ ลงมือทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้

ความอัศจรรย์สร้างสรรค์ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ล้ำโลก ล้วนมาจากการมองเห็น "คุณค่าของคน" (Human Value)

ขณะที่จีอี องค์กรที่มีอายุ 125 ปี (ก่อตั้งเมื่อปี 1889) บริษัทสัญชาติอเมริกัน ผู้สร้างนวัตกรรมพลิกโลก เปลี่ยนผ่านมาแล้วหลายยุค โดยในแต่ละยุคยังคงความเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมเพื่อโลกอนาคต ไว้ได้

+คิดข้ามชอต..อย่างกูเกิล

เมื่อเข้าไปดูกลวิธีสร้างคนแบบกูเกิล องค์กรสุดชิค เท่ๆ เก๋ๆ สบายๆ แต่ล้ำ เก่ง พลิกโลกผ่านสิ่งประดิษฐ์ได้เหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น แว่นตาอัจฉริยะ (Google Glass)ถ่ายวีดีโอด้วยเสียง หรือ ยานยนต์ไร้คนขับ (Self Driving Cars) รถยนต์ขับเคลื่อนผ่านการประมวลผลด้วยตัวเอง

ปัจจุบันองค์กรอายุ 17 ขวบอย่างกูเกิล ยังพัฒนาแพลตฟอร์ม "จัดระเบียบ" ข้อมูลโลก เพื่อบริการผู้ใช้งานกว่า 7,000 ล้านคนทั่วโลกได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากอภิมหาข้อมูล

อริยะ พนมยงค์ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจ ประจำประเทศไทย รับผิดชอบงานขายและพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรในไทย มาอยู่กับครอบครัวกูเกิลเป็นปีที่ 3 องค์กรที่เขาเปรยว่า ชื่นชอบรูปแบบ บรรยากาศและวิธีคิดที่ต่างจากองค์กรอื่น จนเป็นหนึ่งในองค์กรที่อยากร่วมงานด้วย

“เพื่อนร่วมงานเต็มไปด้วยคนเก่งกดดันเล็กน้อย แต่ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เรียนรู้งานจากคนเก่ง แม้จะแอบเจ็บปวดนิดนึงที่มีคนเก่งกว่าคุณ" อริยะเล่าถึงการทำงานในกูเกิล ที่สนุกปนความท้าทาย

เมื่อกูเกิลอนุมัติสำนักงานแห่งใหม่ในอาเซียนเป็นแห่งที่ 3 ในไทย ต่อจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย

เนื่องจากมองเห็นโอกาสการเติบโตของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนสมาร์โฟนเติบโตของไทย ที่เพิ่มจาก 24 ล้านคน เป็น 44 ล้านคน หรือจากไม่ถึง 1 ใน 2 ขยายเป็น 2 ใน 3 ของประชากรไทยกว่า 65 ล้านคน ขณะที่คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ มีอยู่ราว 26 ล้านคน

สิ่งที่น่าสนใจ คือ อัตราคนไทยใช้ยูทูบ (Youtube) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จำนวน 12 ล้านคน ที่สำคัญสถิติคนไทยใช้เวลากว่าหลายร้อยล้านชั่วโมงอยู่บนหน้าจอยูทู้บ รวมถึงค้นหาข้อมูลผ่านกูเกิลของคนทั่วโลกกว่า 100,000 ล้านครั้งต่อเดือน (30 ล้านครั้งต่อวัน)

ที่ผ่านมากูเกิลยังประกาศรางวัล ยูทูบ ครีเอเตอร์ (Youtube Creator) มีคนไทยกว่า 12 รายได้รับรางวัลในฐานะผู้ทำสถิติเกิน 1 ล้านวิว จากคนผลิตคอนเทนต์ระดับโลกกว่า 700 รายทั่วโลกถือเป็นอันดับท็อปที่น่าจับตาอริยะ เริ่มต้นเล่าบรรยากาศการทำงานกูเกิล เมื่อมาตั้งสำนักงานในไทยว่า สำนักงานถูกออกแบบให้เป็นลูกผสมกับเอกลักษณ์ความเป็นไทย แต่แฝงไว้ด้วยวิธีคิดตามแบบฉบับคนกูเกิล หรือที่เขาเรียกว่า กูกลีย์ (Googley)

ถ่อมตัว ช่างสงสัย รู้กาลเทศะ มุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ รักการเรียนรู้รับผิดชอบ ปรับตัวได้ และมีความเป็นเจ้าของ

“คนที่กล้าท้าทายซึ่งกันและกัน ไม่ต้องเห็นด้วยกันเสมอไป หากไม่เห็นด้วย ก็ขอให้พูดเลยแต่ต้องมีไอเดียที่แตกต่าง และช่วยกันคิดหาทางออก เราเปิดรับความแตกต่าง” เขาอธิบาย ดีเอ็นเอคนกูเกิล

อริยะ ให้นิยามความเป็นคนกูเกิลที่เด่นชัดคือ กล้าคิดสิ่งใหม่ๆ เปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น กล้าทำ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ 3 ประโยค ที่บ่งบอกว่าคนกูเกิลฉีกกรอบความคิดกว้างไกลกว่าคนธรรมดา คือ ทำดีขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า (10 X) ,มองไกลถึงดวงจันทร์ (Moonshot) ตลอดจน กล้า ท้าทาย หรือกล้าเสี่ยงเพื่อความยิ่งใหญ่ (Big bet)

“หากเราทำดีขึ้นเพียง 10% หมายถึงเรายังคิดทำแต่สิ่งที่เหมือนเดิม แต่หากเรามองข้ามชอตไปถึงการเปลี่ยนแปลงโลก เราต้องคิดถึงการประดิษฐ์สิ่งใหม่เพื่อโลกอนาคต (Reinvent) โจทย์เราคิดล่วงหน้าไป 10 ปีก็ต้องคิดมากกว่าเดิม 10 เท่า หรือมองไกลไปให้ถึงดวงจันทร์ หรือความกล้าที่จะท้าทาย ตัวเอง ท้าทายเพื่อนร่วมงาน และท้าทายกูเกิล”

การคิดเช่นนี้ ทำให้กูเกิลประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อโลกอนาคตที่ล้ำๆ เพราะกูเกิลพัฒนาตั้ง "ทีมเอ็กซ์" ที่คอยทำหน้าที่คิดอะไรใหม่ๆ ให้กับโลก กูเกิลในอนาคตจึงไม่ใช่แค่เพียงบริษัทบริการค้นหาข้อมูล แต่จะออกแบบความคิดกว้างไกลทำให้คนกูเกิลคิดเกินกว่าโลกปัจจุบันที่อนาคตธุรกิจกูเกิลจะเป็นมากกว่าที่เห็น

+สลายค่านิยมเอเชีย

อริยะ ยังกล่าวว่า สิ่งที่ปลูกฝังอยู่ในคนกูเกิลผ่านวิธีการปฏิบัติที่เห็นชัดว่าชาวกูเกิลเปิดกว้างคือ การจัดงาน TGIF (Thank God It’s Friday) โดยทุกวันศุกร์ 4 โมงเย็นเหล่ากูกลี่ย์จะปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ และออกมาสังสรรค์กับพนักงานกูกลี่ย์ทั่วโลกทั้ง 52,000 คน โดยมี แลร์รี่ เพจ ประธานกรรมการบริหาร กูเกิล และเซอร์เกย์ บริน ประธานฝ่ายเทคโนโลยี กูเกิล 2 คนผู้ร่วมก่อตั้งจะมาร่วมงานและพูดคุยถึงทิศทางธุรกิจกับพนักงานเกือบทุกครั้ง

เอมี่ กุลโรจน์ปัญญา หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรและมวลชนสัมพันธ์ อินโดนีเซีย และอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง กูเกิล เล่าให้ฟังว่า กิจกรรมร่วมพูดคุยกันทุกวันศุกร์ระหว่างพนักงาน 52,000 คน กับ 2 ซีอีโอ เป็นการตอกย้ำแนวคิดความเท่าเทียมกัน ไม่มีความลับ ทุกคนสามารถถามคำถามโดยตรงกับซีอีโอได้

"แม้บางคำถามมีคนทึ่งว่าเป็นคำถามที่กล้ามาก แต่ก็ถามได้ไม่มีอะไรถามไม่ได้ ทุกคนในองค์กรจะรู้เหมือนกันหมดไม่เหมือนองค์กรอื่นที่ก่อนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่มีคนรู้เพียง 5-10 คน บางคนไม่เห็นด้วยเรื่องนี้ทำไมไปซื้อกิจการนี้ หรือปิดบริการนี้ และหลังจากถามเสร็จ เดินออกจากห้องไปแล้วก็ไม่มีใครมองว่าไปถามแบบนั้นได้อย่างไร"

วิธีแบบนี้เป็นการสร้างวัฒนธรรมความโดดเด่นของอเมริกัน ที่สลายค่านิยมบางอย่างในเอเชีย เช่น ระบบอาวุโส เป็นการแสดงออกให้เห็นว่าคนทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่เพียงประสบการณ์หรืออายุการทำงานน้อยแล้วจะไม่มีสิทธิพูดหรือนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ

เอมี่เล่าต่อว่า กูเกิลจะเป็นองค์กรแห่งความเสมอภาค (Flat) มาก ออกแบบให้เห็นตั้งแต่โต๊ะทำงานไม่มีห้องผู้บริหารทุกคนทำงานบนโต๊ะทำงานที่เหมือนกันกับพนักงานคนอื่น ตามนโยบาย เปิดประตู (Open door policy) ทุกคนสามารถคุยกันได้โดยไม่ปิดกั้นเพราะไอเดียบางครั้งต้องเกิดจากการแชร์ (แบ่งปัน) ด้วยบรรยากาศสบายๆ

แน่นอนว่า กว่าจะเฟ้นหาชาวกูกลีย์มาเป็นสมาชิกบ้านหลังนี้ คนเหล่านั้นไม่ธรรมดา ต้องผ่านกระบวนการสแกน "ดีเอ็นเอ" อย่างละเอียด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาว่ากันว่า มาตรฐานการรับพนักงานเข้มข้นต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์อันหฤโหดถึง 20 คน

แต่วันนี้ลดลงเหลือเฉลี่ย 4 คน ที่สำคัญทุกเสียงจากคณะกรรมการทั้ง 4 คนต้องลงมติเป็นเอกฉันท์ พนักงานคนนั้นจึงจะร่วมงานกับกูเกิลได้

4 คนที่สัมภาษณ์คือหัวหน้างานในหลากหลายแผนก เริ่มจากหัวหน้าที่จะรับเข้ามาทำงาน ผู้บริหารต่างทีม และผู้บริหารจากต่างประเทศ โดย "4 บททดสอบ" ประกอบด้วย

1.ความเป็นคนกูเกิล ดูบุคลิก รูปแบบความคิด รวมถึงการทำงานเข้ากับคนอื่นได้หรือไม่

2.ภาวะผู้นำ หมายถึงความเป็นหัวใจผู้ประกอบการ (Entrepreneur) กล้าคิดริเริ่มสิ่งใหม่ พร้อมจะทำงานตามเป้าหมายที่ตัวเองวางไว้ โดยไม่ต้องรอคำสั่ง

3.ดูความคิดมีเหตุผล ความคิดไม่มีผิดหรือถูก แต่เหตุผลนั้นอยู่บนพื้นฐานที่มีกระบวนการคิด สามารถแก้ไขปัญหาได้

4.มีประสบการณ์สอดคล้องกันกับเนื้อหางาน

“การสัมภาษณ์ไม่ได้ดูแค่เพียงว่าคุณมีความเหมาะสมกับเนื้อหางาน แต่จะดูไปถึงการเติบโตในอนาคต มีโอกาสและความเหมาะสมในการเติบโตต่อไปในตำแหน่งอื่นหากเรายกคุณให้ไปทำงานกับทีมงานในภูมิภาคอื่นก็จะต้องมีความพร้อม” เอมี่เล่า และว่า

เหนือสิ่งอื่นใดคือจะต้องเข้ากันได้กับเพื่อนร่วมงาน เช่น เอมี่ และอริยะ ก่อนเลือกอริยะเข้ามาทำงาน เขาจะต้องผ่านบททดสอบ "วัดเคมี" กับเพื่อนร่วมงาน

นั่นเพราะชาวกูเกิลต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อย หากทั้งคู่ไม่ชอบหน้ากันทำงานไม่เข้าขากัน แต่ต้องร่วมทริปเดินทางไปด้วยกัน เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทั้งคู่ต้องเป็นเพื่อนร่วมทริปที่แลกเปลี่ยนบทสนทนากันได้อย่างสนิทใจ

“ยากที่จะบอกว่าเราจะชอบคนเพื่อนร่วมงานทุกคนทั้ง 100% แต่ที่นี่ผ่านบททดสอบมาแล้วทุกคนสามารถพูดคุยกันได้ เป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน ขณะเดียวกันก็เป็นหัวหน้า มีความเป็นมืออาชีพในการทำงานไปพร้อมกัน” เอมี่ เล่า

อีกหนึ่งวัฒนธรรมอเมริกันที่กูเกิลสร้างให้แทรกซึมในสังคมคนเอเชียได้อย่างแนบเนียน คือ "การกล้าทำผิด" โดยไม่กลัวเสียหน้า มีแคมเปญหรือกิจกรรมหนึ่งที่ให้ผู้บริหารในภูมิภาคเล่าเรื่องราวที่เคยทำผิดพลาดในชีวิตและถ่ายทอดให้กับพนักงานอื่นๆ ฟัง

วิธีการเหล่านี้เป็นการบอกกล่าวให้พนักงานทั่วไปเห็นโดยอ้อมว่า ทุกคนสามารถทำผิดพลาดได้ อย่างน้อยก็จะได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ขอเพียงไม่ยอมแพ้ให้ประสบการณ์เป็นบทเรียน ทัศนคติปลุกพลังคิดบวกที่คิดขึ้นมาเพื่อสลายความเชื่อของคนเอเชีย ที่มองว่าความผิดพลาดคือเรื่องน่าอับอาย

กลายเป็นพลังใจที่ทำให้คนกล้าคิดสิ่งใหม่ โดยไม่กลัวความผิดพลาด เพราะมันคือบทเรียนชีวิต

"วิธีการเหล่านี้นำมาจากซิลิคอน วัลเลย์ เหล่าบรรดาผู้ประกอบการมือเก๋าที่ผ่านความล้มเหลวมาโชกโชนจนสำเร็จมาเล่าแชร์ประสบการณ์ความผิดพลาดด้วยความภาคภูมิใจ ว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้และใช้ประสบการณ์เป็นบทเรียนจากความผิดพลาด"

เอมมี่ สรุปทิ้งท้ายว่า การกระตุ้นให้ชาวกูกลีย์กล้าถามแรงๆ หรือ ยิ้มรับกับความผิดพลาดเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนประกอบในชีวิต ที่เราต้องผ่านไปให้ได้อย่างราบรื่น

“ยิ้มกับมัน เพราะ It’s ok พรุ่งนี้คุณก็ยังยืนอยู่ได้ในโลกใบนี้”

ฉะนั้นหลักเกณฑ์ประเมิน หรือที่พนักงานทั่วไปเรียกว่า KPI สำหรับกูเกิลจะออกแบบเกณฑ์การทำงานใหม่ ใช้คำว่า OKRs (Objectives and Key Results) บอกถึงสิ่งที่วางไว้จะทำและสิ่งที่ทำจริงคืออะไร มาเป็นตัววัดมากกว่าดูที่แนวโน้มอย่าง KPI

เอมี่ยังเล่าถึงกลยุทธ์การสร้างแรงจูงใจให้คนเกิดประสิทธิภาพในการทำงานว่า ต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างภาวะแวดล้อมให้คนมีความสุข และสุขภาพดี ให้กับชาวกูกลีย์ การสร้างสิ่งแวดล้อมเหล่านี้มาจากการลงทุนวิจัย องค์ประกอบที่พัฒนาคุณภาพการทำงานของคน

โดยพบว่า เมื่อคนทำงานอย่างมีความสุข จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

"ผลวิจัยระบุถึงแรงจูงใจให้คนมีพลังและความสุขในการทำงาน เริ่มต้นจากอาหารเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผสมผสานกับภาวะแวดล้อมเปี่ยมสุข เชื่อมต่อคนกับธรรมชาติ มนุษย์ควรเป็นส่วนหนึ่งของธรรม กูเกิลจึงสร้างสภาพแวดล้อม การออกแบบแบบผสมกลมกลืนกับธรรมชาติ (Biophilic Design) เช่น มีพื้นที่รับแสงแดด มีความพึงพอใจ มีความสงบทางอารมณ์ เพราะสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เป็นส่วนกระตุ้นเสริมสร้างพลังใจจิตใจ ให้พร้อมกับการทำงาน จิตจะดีพร้อมกันกับความมุ่งมั่นในการทำงาน"

+เปิดออฟฟิสกูเกิล ชูอัตลักษณ์ไทย

พรทิพย์ กองชุน หัวหน้าฝ่ายการตลาด กูเกิล ประจำประเทศไทย เป็นชาวกูกลีย์สายพันธุ์ไทยที่ร่วมงานกับกูเกิลนาน 9 ปี เธอการันตีว่าเธอใช้นามสกุลกูเกิล หากกรีดเลือดข้างในก็จะพบความเป็นกูกลีย์ในตัวจึงไม่มีใครบรรยายความเป็นกูเกิลได้ดีเท่าเธอ

พรทิพย์เล่าถึงองค์ประกอบความเป็นกูเกิลในไทยพร้อมพาชม สำนักงานใหม่กูเกิลที่ย้ายมาอยู่ที่ชั้น 14 อาคารปาร์ค เวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ เพลินจิต

สำนักงานกูเกิลไทยเป็นการผสมผสานอัตลักษณ์ไทยคู่กับ วัฒนธรรมกูเกิล โลโก้ ลายประจำยาม เช่น รถตุ๊กตุ๊ก ภาพเขียนศิลปะวิถีท้องทุ่งไทย 4 ภาค บวกกับเทคโนโลยี

เหมือนเช่นเคย คือการทำให้พนักงานมีความสุขผ่อนคลาย โดยมีตั้งแต่ครัวเยาวราช พร้อมเสิร์ฟ 3 มื้อและของว่าง มีมุมนั่งเล่น พื้นที่ว่างเพื่อกระตุ้นความคิด กรณีที่คิดงานไม่ออกระหว่างนั่งโต๊ะก็เปลี่ยนบรรยากาศ มีเพลย์กราวด์ โต๊ะสนุกเกอร์ เครื่องออกกำลังกาย วีดีโอเกมส์ รวมถึง มุมนวดไทย คัดสรรให้คนไทยโดยเฉพาะ

นั่นเพราะนวัตกรรมและวัฒนธรรม เป็นส่วนที่ต้องเดินไปพร้อมกัน กูเกิลจึงออกแบบบรรยากาศการทำงานให้กลมกลืนกับพนักงานคนไทยมากที่สุด

เมนูอาหารอย่างไทยที่ถูกจัดตามหลักโภชนาการเพื่อให้ได้รับโปรตีนคุ้มค่าเติมสมองระหว่างวัน แต่มีคนไทยแอบบ่นว่าเนื้อเยอะไปก็ถูกแปลงเนื้อในรูปแบบแซ่บๆ อย่างลาบหมูก็ดูน่าทานมาก หรือแม้กระทั่งสแน็คขบเคี้ยว เดิมเน้นเพียงเมนูถั่วก็เพิ่มช็อกโกแลตมากขึ้น ให้พนักงานชาวไทยได้เติมความหวานและความสุขจากเอ็นโดฟีนระหว่างวันคร่ำเคร่ง

+จีอีองค์กร 100 ปีนวัตกรรม B to B

มาถึง "จีอี" องค์กรล้ำโลกตั้งแต่ยุคผู้ก่อตั้ง โทมัส อัลวา เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟคนแรกของโลกจนปัจจุบันขยายธุรกิจสู่ความหลากหลายใน 4 สายธุรกิจหลัก คือ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน (Building) ,กลุ่มพลังงาน (Powering) ,กลุ่มธุรกิจขนส่ง (Moving) และรักษาพยาบาล (Curing)

สำหรับจีอี โดดเด่นด้านในการเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง เป็นองค์กรที่ติดท็อปรางวัลแบรนด์และองค์กรระดับโลกที่กวาดมาหลายสาขาในปีที่ผ่านมา อาทิ แบรนด์ที่น่าชื่นชมที่สุดในโลก อันดับ 10 ,รางวัลองค์กรนวัตกรรม อันดับ27 ,รางวัลแบรนด์มูลค่าสูง จากฟอร์บส์ อันดับ 7 โดดเด่นที่สุดคือติดอันดับบริษัทสำหรับผู้นำ อันดับ 1 จาก Aon Hewitt และบริษัทโดดเด่นในเรื่องภาวะผู้นำจาก อันดับ 2 จาก Hay Group

จีอี จึงไม่ใช่เพียงเป็นองค์กรสั่งสมมูลค่าแบรนด์ หรือผลประกอบการที่ดี แต่ตลอดระยะทาง 125 ปี จีอี สั่งสมวิทยาการองค์ความรู้บทเรียนสร้างคนและพัฒนาหลักสูตรผู้นำที่ทั่วโลกยกย่องให้เป็นต้นตำรับ เช่น หลักสูตร LIG (Leader -Innovation-Growth) พัฒนาพนักงานให้คิดอย่างผู้นำ

จีอี ยังเป็นสถาบันอบรมผู้นำที่เลื่องชื่อของโลก ตั้งแต่ในยุคของ แจ๊คเวลช์ ซีอีโอ คนที่ 8 ของบริษัทผู้ทำให้จีอี มีมูลค่าทุนตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงขึ้นถึง 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

จีอียังเป็นองค์กรที่หลอมรวมความหลากหลายต่างวัฒนธรรม ต่างชาติและภาษา จากจำนวนพนักงานกว่า 3 แสนคน กระจายอยู่140 ประเทศทั่วโลก ขับเคลื่อนธุรกิจไปในทิศทางเดียวกันได้

ปัจจุบันจีอี บริหารงานโดย เจฟฟ์ อิมเมลท์ มาตั้งแต่ปี 2001 โดยเขาวางกลยุทธ์การบริหารท่ามกลางความซับซ้อนของและความเปลี่ยนแปลงของโลก สร้างความเชื่อและค่านิยมให้พนักงานทุกคนมีความเชื่อในเป้าหมายเดียวกัน ในทุกกลุ่มธุรกิจ

โกวิทย์ คันธาภัสระ ประธานและประธานกรรมการบริหาร รับผิดชอบดูแลจีอีในภูมิภาคอินโดจีน ประกอบด้วย ไทย ลาว และพม่า ถ่ายทอดแนวคิดการขับเคลื่อนธุรกิจที่เติบโตในรูปแบบเฉพาะตัวของจีอี ตามวิสัยทัศน์ที่ เจฟฟ์ อิมเมลท์ วางไว้คือ การเป็นองค์กรผู้นำนวัตกรรม หรือ Trend Setter

โดยปัจจุบันจะโฟกัสใน 4 กลุ่มธุรกิจ คือ พลังงาน โรงไฟฟ้า พลังงานลม ,ขนส่ง เครื่องบิน รถไฟฟ้า ,โครงสร้างพื้นฐาน และรักษาพยาบาล กลุ่มเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์

นั่นหมายถึงว่า นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ เครื่องมือและเทคโนโลยีจากจีอี จะพัฒนาขึ้นเพื่อให้องค์กรธุรกิจเป็นหลัก เป็นลูกค้า BtoB (Business to Business) มากกว่า B toC (Business to Consumer)

"ลูกค้าของจีอี ซื้อความน่าเชื่อถือและซื้อแบรนด์ที่เป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือมาเป็นร้อยปี ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองลูกค้าจึงไม่เพียงการพัฒนานวัตกรรม ที่ปัจจุบันมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายบนโลก แต่ยังรวมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์บำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ลูกค้าซื้อไป เพื่อยืดอายุการใช้งาน"

โดยรูปแบบการบริการใหม่ที่จีอีกำลังคิดค้น ยังมุ่งเน้นการพัฒนาระบบวิเคราะห์ความคิดทางอินเทอร์เน็ตอย่างอัจฉริยะ (Internet of Think) เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์วิเคราะห์ และคาดการณ์ล่วงหน้าในเครื่องมือต่างๆ เกี่ยวกับอายุการใช้งานและการบำรุงรักษา โดยไม่ต้องถอดอุปกรณ์ออกจากตัวเครื่อง

“เรามีวิธีคิดคนละอย่างจากกลุ่มธุรกิจทั่วไป ทำให้คนเข้ามาแข่งในธุรกิจนี้ยากขึ้น ท้ายที่สุดทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจจะถูกขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ข้อมูลที่ทางจีอีคิดค้นและวิจัย แม้จะไม่ตื่นเต้นหวือหวา เพราะไม่ได้พัฒนาสินค้าเข้าไปแตะกลุ่มผู้บริโภค (Consumer) โดยตรง เหมือนแอปเปิ้ล ที่กล้าคิดสิ่งที่แตกต่างกว่าโดยใจผู้บริโภคทั่วโลก"

อธิบายให้ชัดคือ การเป็นองค์กรนวัตกรรมอยู่ในดีเอ็นเอ ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่ยุคก่อตั้ง จากนั้นก็มีสิ่งประดิษฐ์ล้ำๆ จากจีอีมากมาย

ปรากฏชัดเจนที่สุดคือ การลดความสูญเสียระหว่างการแปลงก๊าซธรรมชาติเป็นไฟฟ้า จากที่เคยลดการสูญเสียได้จาก 47% เป็น 60%

โกวิทย์ ยังระบุถึง 5 ความเชื่อที่จะหล่อหลอมให้คนในองค์กรมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงาน คิดสิ่งประดิษฐ์เพื่อตอบโจทย์ให้กับ 4 กลุ่มกิจ คือ

1. ลูกค้าคือผู้กำหนดความสำเร็จของเรา

2. องค์กรที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อความคล่องตัวสูง

3. พร้อมเรียนรู้และปรับตัวเพื่อความสำเร็จ

4. เปิดโอกาสและเป็นกำลังใจให้กันและกัน

และ 5. มีคำตอบให้กับทุกสถานการณ์

วัฒนธรรมองค์กรจากความเชื่อ ค่านิยมที่หล่อหลอมในองค์กรจะปลูกฝังอยู่ในกระบวนการทำงานของทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเพียง "บทบัญญัติ" ให้ท่องจำ แต่คือสิ่งที่ทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติทุกวัน

สิ่งที่เป็นความท้าทาย คือ การสร้างมูลค่าเชื่อมต่อกับโลกภายนอก (External Focus) ที่ยังต้องเข้าไปทำความเข้าใจและสื่อสารให้ความรู้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้วยการวางเป้าหมายที่ชัดเจน โดดเด่น และเป็นพันธสัญญาของจีอี (Clear Thinker)

สิ่งที่จีอีจะตอบโจทย์เชิงมูลค่าได้ คือการตอบโจทย์ไปสู่โลกอนาคต (Imagination Courage) นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ แม้จะเป็นความเสี่ยง แต่ต้องเรียนรู้สู่ความสำเร็จ จากสิ่งที่ล้มเหลว

คนจีอีจะต้องมองทั้งในเชิงกว้างและลึกอย่างบูรณาการ (Inclusiveness) เปิดรับแนวคิดใหม่ รับฟัง ถ่อมตน และสร้างการมีส่วนร่วม เคารพความเป็นปัจเจกบุคคล ก่อนหลอมรวมความแตกต่างให้เชื่อมต่อเป็นจุดเดียวกัน

โกวิทย์ ยังระบุนิยามความเชื่อในแบบของจีอีว่า ยังท้าทายในทางปฏิบัติ เมื่อเข้ามาโฟกัสที่ตลาดเป้าหมาย คือ กลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) เช่น อาเซียน จีน รวมถึง แอฟริกา ซึ่งเป็นตลาดกำลังเติบโตที่ต้องการเทคโนโลยีเหล่านี้ไปพัฒนาประเทศ

ความท้าทายสำหรับการเป็นผู้บริหารสำหรับเขาที่เป็นองค์กร 100 ปี คือการสร้างความน่าเชื่อถือ (Trust) ต่อผู้บังคับบัญชา ทีมงาน และลูกค้า ดังนั้นจึงต้องรักษาผลงาน และคำพูด ในการสร้างความไว้วางใจกับผู้ร่วมงาน