'เอเซียจอยท์'ลุยพลังงานทดแทน

(สัมภาษณ์พิเศษ) "เอเซียจอยท์" ลุยพลังงานทดแทน ปรับภาพธุรกิจก่อนขยับเข้าเซ็ท
"เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า" ล้างภาพหุ้นปั่น ยันผู้บริหารเน้นสร้างธุรกิจให้เกิดกำไร เดินหน้ารุกธุรกิจพลังงานทดแทนปีหน้า รับมีโอกาสเพิ่มทุนอีกครั้ง เพื่อขยับเข้าซื้อในตลาดหลักทรัพย์
นายวรัญญู สุจิวรพันธ์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า (AJP) กล่าวว่า กลุ่มทุนปัจจุบันมีความมุ่งมั่นด้านการดำเนินธุรกิจ และไม่มีนโยบายยุ่งเกี่ยวกับราคาหุ้น
"ยอมรับว่าที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับตัวอย่างหวือหวาและทางตลาดหลักทรัพย์ก็มีการสอบถามถึงสาเหตุที่ราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งบริษัทได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น"
ก่อนหน้ากลุ่มโอสถานุเคราะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนใหม่เข้ามา บริษัทมีธุรกิจหลักคือผู้ให้เช่าช่องทีวีดาวเทียมจำนวน 8 ช่อง และภายหลังกลุ่มทุนใหม่เข้ามา บริษัทได้มีช่องสัญญาณดาวเทียมเพิ่มเป็น 16 ช่อง รวมทั้งได้จับมือกับพันธมิตร ร่วมผลิตรายการโทรทัศน์ เพื่อให้เข้ากฎเกณฑ์ของกสท. นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มธุรกิจใหม่ คือจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อเพิ่มฐานรายได้ให้กับบริษัท
ปัจจุบัน สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรก ประกอบด้วย นายภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์ ถือหุ้นในสัดส่วน 22.16% นายสันติ โกวิทจินดาชัย ถือหุ้นในสัดส่วน 2.91% นายวรพจน์ หิรัณย์ภิวงศ์ ถือหุ้นในสัดส่วน 2.44% บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 2.24% และนายอานนท์ ทองหยาด ถือหุ้นในสัดส่วน 2.01%
สำหรับความคืบหน้าการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท ยูเบสท์ พ้อยท์ มีเดีย จำกัด 5.62 ล้านหุ้น มูลค่า 45 ล้านบาท และสิทธิในสัญญาสัมปทานเช่าเหมาเวลาโฆษณา หรือร่วมผลิตรายการกับบริษัท มีเดีย เอเจนซี ไทย จำกัด มูลค่า 740 ล้านบาท โดยจะชำระราคาบางส่วนเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ AJP ในราคาหุ้นละ 8 บาท
ขณะนี้ได้ผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว และภายหลังการเข้าซื้อหุ้นบริษัท ยูเบสท์ พ้อยท์ มีเดีย ด้วยการชำระราคาบางส่วนเป็นหุ้นสามัญของบริษัท ทางบริษัท ยูเบสท์ พ้อยท์ มีเดีย จะเข้าถือหุ้นบริษัท ในสัดส่วน 20%
"เมื่อมียูเบสท์ มาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจแล้ว ต้นทุนในการผลิตรายการทีวีจะลดลง เนื่องจากยูเบสท์ มีสตูดิโอสำหรับถ่ายทำ ประเมินว่าต้นทุนการผลิตจะลดลงประมาณ 20% นอกจากนี้ ยูเบสท์ยังมีสินทรัพย์อยู่ มูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย อาคารสำนักงาน อุปกรณ์ และที่ดิน"
นายวรัญญู กล่าวว่า แผนธุรกิจปี 2558 บริษัทจะเน้นธุรกิจบริการจัดกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้นหลังจากที่มีพันธมิตรเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจ ขณะที่ธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ ก็จะยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นรายการที่เจาะตลาดเฉพาะ อาทิ รายการเกี่ยวกับการเกษตร เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการแข่งขันต่ำ
บริษัทคาดการณ์รายได้ปีนี้จำนวน 750 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ 150 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 20% ธุรกิจจัดกิจกรรมทางการตลาด 300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% และรายได้จากค่าโฆษณา 300 ล้านบาท คิดเป็น 40% ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิของธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ อยู่ที่ 14% ธุรกิจจัดกิจกรรมทางการตลาดอยู่ที่ 15% และธุรกิจขายเวลาโฆษณามีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 30%
ด้านผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2557 บริษัทมีรายได้รวม 43.08 ล้านบาท ลดลง 7.41% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 46.53 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/2557 จำนวน 5.14 ล้านบาท ลดลง 28% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.14 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2557 บริษัทยังมีผลขาดทุนสะสมอยู่ 50 ล้านบาท
"ปี 2557 จะมีรายได้ประมาณ 150 ล้านบาท จากงวด 9 เดือนที่มีรายได้รวม 115 ล้านบาท ส่วนกำไรปี 2557 คาดการณ์ที่ 20 ล้านบาท และปี 2558 กำไรจะดีกว่าปี 2557 และเมื่อผลประกอบการบริษัทดีขึ้น จะสามารถนำผลกำไรไปล้างขาดทุนสะสมได้ และจะสามารถดำเนินการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้"
นายวรัญญู กล่าวเพิ่มว่า บริษัทยังคงมองหาธุรกิจอื่นเพื่อเข้าลงทุนเพิ่ม โดยเน้นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดสูง มีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะนี้กำลังศึกษาการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวมวล เบื้องต้นคาดว่า จะได้ข้อสรุปเรื่องการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ภายในปี 2558 ล่าสุดได้มีการเจรจากับผู้ประกอบการหลายราย เพื่อเข้าเป็นผู้ลงทุนในโครงการ
สาเหตุที่สนใจลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีผลตอบแทนคุ้มค่า โดยบริษัทคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ประมาณ 12% นอกจากนี้ พลังงานทดแทนยังเป็นธุรกิจที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ประกอบกับช่วงที่ผ่านมา มีผู้ได้ไลเซ่นส์จำนวนมากที่ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงต้องถูกยึดใบอนุญาต และนำมาประมูลใหม่ ทำให้โอกาสในการเข้าลงทุนเพิ่มขึ้น หากบริษัทเข้าลงทุนในโครงการพลังงานแล้ว จะเริ่มได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในปี 2559
หากได้ข้อสรุปเรื่องการลงทุนในพลังงานทดแทน บริษัทยอมรับว่า อาจต้องมีการเพิ่มทุน เพื่อเพิ่มขนาดของบริษัทให้สามารถเข้าลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ หากบริษัทมีการพิจารณาเพิ่มทุน เพื่อลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนแล้ว แนวทางต่อไปคือการขยับเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ธุรกิจประเภทเทคโนโลยีและการสื่อสาร ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่บริษัทสนใจเข้าลงทุน แต่ยังเป็นโครงการในอนาคต







