'มาม่า'เปิดธุรกิจใหม่ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม

'มาม่า'เปิดธุรกิจใหม่ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม

"มาม่า" เปิดธุรกิจใหม่ ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม ต่อยอดธุรกิจบะหมี่สำเร็จรูป หลังตลาดเติบโตต่ำ

ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ เตรียมแตกไลน์ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เสริมแกร่งกระตุ้นเติบโตระยะยาว หลังตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่งสัญญาณอิ่มตัว เดินหน้าเจรจาพาร์ทเนอร์ไทย-เทศ ร่วมทุน คาดปั้นร้านอาหารญี่ปุ่นแจ้งเกิดนำร่อง ลงทุนสาขาแรกกว่า 10 ล้าน

นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนดำเนินงานในปี 2558 ว่า บริษัทมีแนวทางขยายธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อต่อยอดธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ภายใต้เครื่องหมายการค้า มาม่า ซึ่งธุรกิจเริ่มมีแนวโน้มที่อิ่มตัว เห็นได้จากการเติบโตของตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ เช่นในปี 2557 ตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่า 1.54 หมื่นล้านบาท เติบโตเพียง 1.4%

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรจากต่างประเทศหลายราย เพื่อดึงมาร่วมทุน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการเครือข่ายร้านอาหารญี่ปุ่น (เชน) ยุโรป เชื้อชาติแขก รวมทั้งนักลงทุนไทย

ส่วนโมเดลธุรกิจร้านอาหาร เบื้องต้นเป็นไปได้ที่จะยกรูปแบบร้านอาหารญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดในไทย และเมนูอาหารจะต้องมาจากบะหมี่ เพราะจากการสำรวจตลาดพบว่า ร้านบะหมี่ที่จำหน่ายในไทยมากที่สุด และมีสาขาอยู่ในศูนย์การค้า ชอปปิงเซ็นเตอร์ต่างๆ คือแบรนด์ฮะจิบัง ที่ผ่านมา บริษัทเคยทดลองเปิดร้านอาหารและมีเมนูประเภทยำจากเส้นมาม่า ภายในงานสหกรุ๊ป แฟร์ แต่ยังไม่ลงตัว

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาภาพรวมตลาดอาหารในประเทศที่เจริญแล้ว พบว่าตลาดเบเกอรี่จะมีสัดส่วนที่ใหญ่กว่าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอีกหนึ่งธุรกิจคือเซ็กเตอร์เครื่องดื่ม ที่มีสัดส่วนตลาดใหญ่กว่าตลาดบะหมี่ฯ โดยหลักๆจะเป็นแคทิกอรี่น้ำดื่ม แต่หมวดนี้บริษัทจะไม่เข้าไปแข่งขัน เนื่องจากโครงสร้างอุตสาหกรรมไม่สามารถสู้กับผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยักษ์ใหญ่อย่าง สิงห์และช้างได้ เพราะต้นทุนต่ำมาก รวมทั้งชาเขียว เพราะการแข่งขันสูง จากอดีตมีชาเขียวพร้อมดื่มในตลาดกว่า 30 แบรนด์ แต่ต้องล้มหายตายจากตลาดหมด เหลือผู้เล่นหลักเพียง 2 รายใหญ่ โออิชิและอิชิตัน เท่านั้น

นายสุชัย รัตนเจียเจริญ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัทได้หารือกับพันธมิตรต่างชาติที่เป็นยุโรป ส่วนร้านอาหารญี่ปุ่นคาดว่ามีความเป็นได้มากสุดที่จะเห็นในปีหน้า และหากเปิดให้บริการสาขาแรก คาดว่าจะลงทุนไม่มากนักที่ระดับกว่า 10 ล้านบาทเท่านั้น

"การขยายธุรกิจใหม่ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ของบริษัทคือความท้าทายมากที่สุดสำหรับปีนี้ เพราะเป็นสิ่งที่บริษัทยังไม่เคยทำมาก่อน ส่วนการมองธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เพราะตลาดบะหมี่สำเร็จรูปในประเทศอิ่มตัว จึงต้องหาอะไรที่เพิ่มมูลค่าเข้าไปในสินค้าเดิมมากขึ้น" นายสุชัย กล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ตลาดรวมธุรกิจบริการเกี่ยวกับอาหารในปี 2556 มีมูลค่า 6.69 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดร้านอาหารที่เป็นเครือข่าย(เชน) มูลค่ากว่า 9.74 หมื่นล้านบาท

ขณะที่รายงานข่าวระบุว่า ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยมีมูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านบาท และมีจำนวนร้านมากกว่า 1,000 ร้าน ส่วนธุรกิจเครื่องดื่มมีมากกว่า 3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กว่า 1 แสนล้านบาท และนอนแอลกอฮอล์กว่า 2 แสนล้านบาท