"คอโค" ทฤษฎีความสุข ฉบับชุมชน

ข้าวอินทรีย์บรรจุในงานหัตถกรรมฝีมือชุมชน พร้อมส่งมอบถึงคนไทยทั่วประเทศ นี่คือแบรนด์แห่งความสุขฉบับชุมชน คอโค
กล่องกระดาษเปล่า ขนาดบรรจุข้าว 1 กิโลกรัม พลิกดูด้านหลัง มีชื่อของ “นักสิทธิ์ อุ่นจิต” ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรทฤษฎีใหม่ ตำบลคอโค อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
สิ่งที่เราได้รับ คือ “นามบัตร” ขนาดใหญ่ เรียกว่า ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยได้รับมา ซึ่งคนแนะนำตัวให้เหตุผลว่า ‘จะได้จดจำพวกเขาได้’ ไม่ต้องเผลอทำหล่นหายไปไหน นี่คือความประทับใจแรกที่ได้รู้จักกับ แบรนด์ “คอโค” ผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ วิถีสุรินทร์ ผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์และงานหัตถกรรมชุมชน ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรทฤษฎีใหม่ ตำบลคอโค
“แบรนด์คอโค” เพิ่งเปิดตัวสู่ตลาดเมื่อปลายปี พ.ศ. 2556 แต่การพิสูจน์ตัวเองในวิถีเกษตรอินทรีย์ของผู้ชายที่ชื่อ “นักสิทธิ์” เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 ท่ามกลางคนในชุมชนที่ยังคงคุ้นชินกับเกษตรเคมี เน้นผลผลิตปริมาณมาก โดยไม่สนใจผลข้างเคียง ทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
“ช่วงแรกเจอแรงเสียดทานเยอะมาก เหมือนผมบ้าอยู่คนเดียว”
เขาบอกสถานการณ์ใน 3-4 ปี แรก ของความพยายามชักชวนให้ผู้คนหันมาทำเกษตรอินทรีย์ เมื่อไม่มีใครเห็นดีเห็นงาม ก็ต้องเริ่มจาก “ทำให้ดู พิสูจน์ให้เห็น” ค่อยๆ สร้างการ ยอมรับให้เกิดขึ้น เขาบอกว่า ทั้ง “ยาก” และ “ใช้เวลา” แต่ก็ใช่ว่าจะต้องท้อให้กับงานยาก
“ผมมุ่งมั่นอยู่หลายปี เพื่อให้เขาเข้าใจว่า เรื่องสุขภาพไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง คือ ป่วยแล้วไปหาหมอ แต่อยู่ที่อาหารที่เราทานเข้าไป อย่างน้อยๆ ของที่เราปลูกเอง เราก็รู้ที่มา ตั้งแต่ เมล็ดพันธุ์ วิธีการปลูก ถ้าเราทำของดี สุขภาพเราก็ดีด้วย ซึ่งชีวิตไม่ได้ต้องการเงินทองมากมายเลย เพียงมีอาหารที่พออยู่ได้ในชีวิตประจำวัน อยู่แบบพอเพียง เราก็มีความสุขได้”
เขาบอกความคิดที่ตกผลึกกับตัวเอง หลังผ่านชีวิตช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 จากช่างแอร์รายได้ดี ต้องทิ้งวิถีลูกจ้าง กลับมาบ้านเกิดที่สุรินทร์ ภาพที่เห็นคือ การเข้ามาตั้งรกรากของชาวต่างชาติบนผืนดินไทย เพราะประเทศไทยมีทรัพยากร มีความอุดมสมบูรณ์ ขณะที่ลูกหลานเกษตรกรกลับเลือกที่จะหมางเมินคุณค่าเหล่านี้ ทิ้งไร่นามาทำงานในเมือง
และเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยวิถีแห่งความพอเพียง และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการทำเกษตรอินทรีย์ เลยใช้ที่ดินผืนเล็กๆ ของตัวเอง ปลูกข้าวโดยไม่ใช้สารเคมี เมื่อผลผลิตออกมา ก็ไปฝากให้ชาวบ้านในตลาดช่วยขาย เพราะรับว่าทำตลาดไม่เก่ง ปรากฏว่า ถูกแม่ค้าสวมรอยเอาของคนอื่นมาขาย ของดีที่ทำมาเลย “ขายไม่ออก” เหมือนโดยน๊อคกลางอากาศ
นั่นคือที่มาของการคิดเรื่องแบรนด์และการตลาด เมื่อไม่เก่ง ไม่รู้ ก็เลือกเข้าหาหน่วยงานของรัฐที่ให้การสนับสนุน เรียกว่า ไปมาหมดทุกหน่วยงานทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ เพื่อเติมเต็มจุดพร่องให้กับพวกเขา อาทิ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ ศ.ศ.ป. ที่ช่วยพัฒนาเรื่องแบรนด์และการตลาดให้
“ทำข้าวอินทรีย์ดีนะ แต่ถ้าไม่มีแบรนด์คนก็ไม่สนใจหรอก เพราะไม่เกิดความแปลกใหม่ ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่า ของเราหาทานยาก ฉะนั้นการมีแบรนด์จะทำให้ดึงดูดคนซื้อ และ เป็นจุดขายให้เราได้”
นั่นคือที่มาของ แบรนด์ “คอโค” ตามชื่อชุมชนของพวกเขา ซึ่งไม่ได้มีแต่ชื่อ ทว่ารวมถึงการปรับแพคเก็จจิ้งใหม่ให้น่าซื้อมากขึ้น โดยไม่ใช่แค่พลาสติกหุ้ม หรือบรรจุลงกล่องกระดาษที่ใครเขาก็ทำกัน แต่พวกเขา “สร้างสรรค์” กว่านั้น
“เรามีวัสดุจากธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่มากมาย อย่างพวก กก หญ้าแฝก ซึ่งก็เป็นวัชพืชในแปลงนาทั้งนั้น เมื่อก่อนแค่ตัดทิ้ง แต่วันนี้เราให้คนในชุมชน เอามาสาน ทำเป็นกล่องบรรจุภัณฑ์ ซึ่งหลังเอาข้าวออกไปทาน ก็ยังนำมาใช้ประโยชน์ต่อได้อีก เช่น ทำเป็นกล่องทิสชู เป็นต้น”
จากปกติข้าวอินทรีย์ ขายที่กิโลกรัมละ 60 บาท แต่พอได้ใส่กล่องหัตถกรรมครบฟังก์ชัน สามารถขยับราคาขายมาที่ 160 บาท ทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ และสร้างงานสร้างรายได้ให้ชุมชนด้วย
เศษวัสดุที่ยังเหลือ ก็เอามาทำสินค้าหัตถกรรมออกขาย เพื่อให้มีรายได้ต่อเนื่อง และขายได้ทั้งปี แม้ไม่ใช่ฤดูข้าว
ทั้งหมดไม่ได้เริ่มที่ตัวเขา แต่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจากการหมางเมินของชุมชน เมื่อเริ่มเห็นว่ามีตลาด ก็สามารถโน้มน้าวใจผู้คนให้หันมาปลูกข้าวอินทรีย์มากขึ้น จนรวมตัวเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีสมาชิกอยู่กว่าร้อยคน ผลิตข้าวอินทรีย์จากดินของชุมชน ใช้วัสดุและแรงงานในชุมชน เอื้อเฟื้อและแบ่งปัน จนมีตลาดที่งดงามอย่างวันนี้
“อดีตเรามีปัญหาเรื่องการตลาด แต่ตอนนี้เราทำสินค้า ไม่พอขาย”
เขาบอกสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หลังผลิตภัณฑ์คอโค ตระเวนไปออกบูธในงานแสดงสินค้าทั่วประเทศ และได้รับการตอบรับที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของกลุ่ม อาทิ ข้าวฮางงอก ข้าวกล้องงอก มหัศจรรย์ข้าวเพื่อสุขภาพ ที่เรียกว่า ใครอยากกินถึงขนาดต้อง “สั่งจอง” ล่วงหน้า ซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่พิสูจน์ความตั้งใจจริงของคนทำตั้งแต่ต้น
ทำเกษตรอินทรีย์สำเร็จ แต่งานของเขายังไม่จบแค่นั้น นักสิทธิ์ ยังมุ่งมั่นตระเวนถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้คน เพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตบนวิถีแห่งความพอเพียง เช่น แนะวิธีลดค่าใช้จ่าย ชี้ทางเพิ่มรายได้ อย่าง การทำบัญชีครัวเรือน การทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมี ทำผลิตภัณฑ์ใช้เองในครัวเรือน และเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นต้น
พร้อมๆ กับ พิสูจน์ให้เด็กรุ่นใหม่ได้เห็นว่า “เกษตรกร” สามารถยึดเป็นอาชีพได้ โดยไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างในเมือง
เจออุปสรรคมาก็มาก แถมยังต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่เหตุผลที่ยังมุ่งมั่นต่อ เพราะเขาบอกว่า เพราะมันคือ “ความสุข”
“นี่เป็นความสุข ที่คนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่เราเห็น ความสุขที่จะได้ใช้ชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินทองมากมาย แค่ได้อยู่แบบพอเพียง มีอาหารที่พออยู่ได้ในชีวิตประจำวัน เท่านี้ก็ มีความสุข แล้ว สมัยก่อนผมเป็นช่างแอร์ รายได้ก็ไม่ได้น้อยนะ แต่ถามตอนนี้ไม่อยากกลับไปเลย เพราะรู้แล้วว่า อะไรคือสิ่งที่จะทำให้เราอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่าง มีความสุข”
แน่นอนว่า แนวคิดนี้ ไม่ได้ต้องการแค่เพียงให้สถิตอยู่ในใจเขา ทว่ายังอยากถ่ายทอดออกไปถึงคนไทยทุกคน ให้ได้ตระหนักคิด ถึงชีวิตที่พอเพียง ผ่านเมล็ดข้าวของชาวคอโค
ก่อนปิดบทสนทนา เจ้าของนามบัตรขนาดใหญ่ ย้ำกับเราว่า คนไทยโชคดีมาก ที่มีในหลวง มีแผ่นดิน และมีพระพุทธศาสนา เราอยู่บนความโชคดี ก็ควรเห็นคุณค่าในสิ่งนี้ และดำรงชีวิตที่เป็นประโยชน์และมีความสุขด้วยพื้นฐานของสิ่งที่เรามี
และนี่คือ “ทฤษฎีความสุข” ที่ไม่ได้เล่าเรียนจากตำรา แต่พิสูจน์ด้วยการลงมือทำ







