'ทีซีซีแลนด์'ผุดเอเซียทีค3เฟส รุกค้าปลีก-โรงแรม-ศูนย์ประชุม

"ทีซีซี แลนด์" รุกขยายธุรกิจรีเทล ตั้งงบลงทุน 5 ปี วงเงิน 1.2 หมื่นล้าน ดึงทีม "เอเชียทีค" หัวหอกพัฒนา
ลุยขยายเอเชียทีคอีก 3 เฟส ขึ้น"โรงแรม-ศูนย์ประชุม-ธุรกิจค้าปลีก" ผุดเอเชียทีค พัทยา-หัวหิน พร้อมปรับโฉม-รีแบรนด์ เกทเวย์ เอกมัย - ดิจิตอล เกทเวย์ สยามสแควร์ ตั้งรับตลาดเออีซี
การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปลายปี 2558 รวบตลาดอาเซียนเป็นหนึ่งเดียว ด้วยประชากรเกือบ 600 ล้านคน ผลักดันให้หลายธุรกิจคึกคัก โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก ล่าสุด"ทีซีซี แลนด์" ธุรกิจค้าปลีกของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประกาศแผนลงทุน พร้อมปรับโฉมธุรกิจค้าปลีก รับโอกาสในหลายโครงการพร้อมกับการขยับค่าเช่า
นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด บริษัทผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบรีเทล (ค้าปลีก) กล่าวถึงแผนลงทุนช่วง 5 ปี (2558-2562) ว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ขยายธุรกิจรีเทล ภายใต้ 3 โครงการ คือ เอเชียทีค ,เกทเวย์ และเซ็นเตอร์ พอยท์ หลังจากได้ปรับโครงสร้างกลุ่มรีเทล จากเดิมที่มี 6 กลุ่ม ยุบเหลือเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่มบริหารศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ตะวันนา ไอทีซิตี้ และกลุ่มที่ตัวเขารับผิดชอบ
"ท่านประธาน (เจริญ สิริวัฒนภักดี) ให้โอกาสในการคิด ไม่มีกรอบจำกัด ทำให้สามารถพัฒนาโครงการตอบโจทย์ลูกค้า โดยทีซีซีแลนด์ เน้นการพัฒนาธุรกิจรีเทล โรงแรมและสำนักงาน เป็นหลัก ไม่เน้นพัฒนาโครงการเพื่อขาย แต่การทำรีเทลต้องคิดเยอะ เพราะมีคนเข้ามาในตลาดเยอะมาก การขยายการลงทุนใหม่บริษัทจะรอจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งรีเทลหากเราไม่มีเครดิต การหาผู้เช่าก็จะยาก" นายณภัทร กล่าว
รุกสร้างแบรนด์ "เอเชียทีค-เกทเวย์"
สำหรับแผนธุรกิจ 5 ปี บริษัทรุกขยายและสร้างแบรนด์เอเชียทีคและเกทเวย์มากขึ้น ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยเฉพาะหัวเมืองท่องเที่ยว ด้วยบริษัทมีความพร้อมเรื่องทีมบริหาร มีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนจากบริษัทแม่ คือ ทีซีซี กรุ๊ป (ไทยเจริญ คอร์ปอเรชั่น) ซึ่งเงินลงทุนของบริษัทจะกู้จากบริษัทแม่100% ในอัตราดอกเบี้ย 5-6% ตามตลาด
“เราไม่ยึดติดกรอบรีเทลทำรูปแบบไหน จะทำรีเทลแบบที่ลูกค้าต้องการ เราจะไม่ทำรีเทลในแบบที่เราอยากทำ เป็นรีเทลที่ไม่มีใครทำมาก่อนในเมืองไทย "
ทั้งนี้เงินลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท ในช่วง 5 ปี แบ่งเป็นขยายการลงทุนเอเชียทีค เฟส 2 พื้นที่ 16 ไร่ ลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท เพิ่มเติมร้านค้าปลีกและร้านอาหารสำหรับครอบครัว ตอบสนองกลุ่มลูกค้าชาวไทยมากขึ้น ปัจจุบันสัดส่วนกลุ่มลูกค้าไทยอยู่ที่ 30% ต่างชาติ 70% โดยต้องการให้สัดส่วนลูกค้าคนไทยและต่างชาติอยู่ที่ 50% เท่ากัน เพื่อกระจายความเสี่ยง รวมทั้งพัฒนาโรงแรม ขนาด 300-600 ห้อง อยู่ระหว่างเจรจาหาเชนที่จะมาบริหาร รวมทั้งห้องประชุมสัมมนา พร้อมทั้งที่จอดรถเพิ่มอีก 1,200 คัน คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการปี2559
ผุด"เคเบิ้ล คาร์"ข้ามแม่น้ำเชื่อมเฟส 3
โดยจะลงทุนเอเชียทีค เฟส 3 ตั้งอยู่ถนนเจริญนคร เนื้อที่ 30 ไร่ ลงทุนประมาณ 5,000 ล้านบาท พัฒนาเป็นพื้นที่ค้าปลีก โรงแรมอีก 2 แห่ง และ "เคเบิ้ล คาร์" ข้ามแม่น้ำเชื่อมต่อระหว่างเฟส1-2 กับเฟส 3 ส่วนเอเชียทีค เฟสที่ 4 ปัจจุบันใช้เป็นพื้นที่จอดรถ อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะพัฒนาในรูปแบบใด นอกจากนี้ จะมีแผนพัฒนาโครงการเอเชียทีค ที่จ.เชียงใหม่ด้วย อยู่ระหว่างซื้อที่ดินเพิ่มเติม
“ที่ผ่านมาได้รับการติดต่อจากนักลงทุนรายใหญ่ 4 ประเทศ คือ สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ที่มาเที่ยวเอเชียทีคแล้ว ต้องการให้บริษัทร่วมลงทุนสร้างโครงการในรูปแบบเดียวกับ เอเชียทีคในประเทศนั้นๆ แต่คงไม่ใช่ในช่วงเวลานี้ อาจจะเป็นอีก 5-10 ปี”
เปิดเอเชียทีค ไพร์ม"พัทยา-หัวหิน"
นอกจากนี้ จะขยายการพัฒนาโครงการ "เอเชียทีค"ไปยัง หัวหิน และพัทยา ลงทุนรวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีที่ดินอยู่แล้วแห่งละประมาณ 15 ไร่ ภายใต้แบรนด์ เอเชียทีค ไพรม์ ขนาดพื้นที่จะเล็กกว่าเอเชียทีค และจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และเตรียมพัฒนาโครงการ เกทเวย์ อีก 1 แห่ง ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ใกล้แนวรถไฟฟ้า ลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาท พื้นที่ 2.5-3 หมื่นตร.ม. ย่านนี้บริษัทยังมีพื้นที่เหลือที่จะพัฒนาโรงแรมหรือที่อยู่อาศัยได้ด้วย
“หลังจากเอเชียทีค คอนเซ็ปท์ ไลฟ์สไตล์ ชอปปิง ติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกได้สำเร็จ เป้าหมายต่อไปการปั้น “เกทเวย์” คอนเซ็ปท์ใหม่ของแหล่งชอปปิงในไทย “คอมมูนิตี้มอลล์ ชอปปิง เซ็นเตอร์ ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าคอมมูนิตี้มอลล์ แต่จะมีพื้นที่เล็กกว่า ชอปปิง เซ็นเตอร์ เป็นโมเดลที่มีอยู่ในสิงคโปร์"
ปรับโฉม 3 โปรเจค-ขึ้นค่าเช่า
นายณภัทร กล่าวว่าสำหรับโครงการเอเชียทีค เฟส 1 ลูกค้าที่ทำสัญญาตั้งแต่เปิดบริการจะหมดสัญญาช่วงกลางปี 2558 จะประเมินร้านค้าว่าเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ สำหรับสัญญาใหม่บริษัทจะปรับขึ้นค่าเช่า 20-70% ขึ้นอยู่กับทำเล ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการวันจันทร์-ศุกร์ จำนวน 2.5-3 หมื่นคนต่อวัน ส่วนเสาร์-อาทิตย์และวันหยุด อยู่ที่ 4-5 หมื่นคนต่อวัน
พร้อมทั้ง จะปรับรูปแบบโครงการ "เกทเวย์ เอกมัย"เป็นรูปแบบ คอมมูนิตี้ ชอปปิง เซ็นเตอร์ ลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ตอบโจทย์ลูกค้าที่อยู่อาศัยโดยรอบ มีทั้งร้านอาหารซีฟู้ด อาหารญี่ปุ่น ซูเปอร์มาร์เก็ต บริการด้านสุขภาพ ความงาม แฟชั่น กีฬา การศึกษา ทั้งชั้น 5 จะมีพันธมิตรชาวญี่ปุ่นมาพัฒนา สโนว์ทาวน์ พื้นที่ 4,000 ตร.ม. และกำลังเจรจากับพันธมิตรอเมริกา พัฒนาด้านสปอร์ต แอดเวนเจอร์ พื้นที่ 3,000-4,000 ตร.ม. คาดว่าจะเปิดให้บริการกลางปี 2558
นอกจากนี้ จะปรับรูปแบบและเปลี่ยนแบรนด์ใหม่ จาก “ดิจิตอล เกทเวย์ สยาม สแควร์”เป็นแบรนด์ “เซ็นเตอร์ พอยท์ ออฟ สยาม สแควร์” จากเดิมที่เน้นด้านไอที ปรับเปลี่ยนเน้นด้านบริการความงาม และเครื่องสำอาง เหมือนย่านฮาราจูกุ ประเทศญี่ปุ่น ใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าอายุ 15-25 ปี โดยจะเชื่อมอาคารกับ "สยามสแควร์วัน" พร้อมทั้งจะปรับเปลี่ยนผู้เช่าใหม่และขึ้นค่าเช่าเพิ่มอีก 20% จากปัจจุบันค่าเช่า 3,000 บาทต่อตร.ม. คาดจะเปิดให้บริการกลางปี 2558
สำหรับผลการดำเนินการของบริษัทปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้จากการเช่าเฉพาะกลุ่มรีเทล ไม่รวมโรงแรมและสำนักงานประมาณ 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มพันธุ์ทิพย์ฯ 1,000 ล้านบาท และกลุ่มเอเชียทีค 500 ล้านบาท ส่วนปี2558 กลุ่มเอเชียทีคฯ คาดจะมีรายได้ค่าเช่า 800 ล้านบาท และมีรายได้ค่าเช่าเพิ่มเป็น 1,200 ล้านบาท ในปี 2560 และมีรายได้ค่าเช่าเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทในปี 2562







