"กำไรอู้ฟู่" นาทีนี้ต้อง IPO

"กำไรอู้ฟู่" นาทีนี้ต้อง IPO

“หุ้นไอพีโอ”สร้างกำไรเฉลี่ย 100% มีหรือ “อดิศร วสุคุปต์ สิงห์สัจจะ” ผู้ก่อตั้ง “ทวินไพน์ คอนซัลติ้ง”จะตกรถไฟ

“อายุ 40 ปี นิดๆ ให้บริการคำปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน คือ อาชีพหลัก เล่นหุ้นและสะสมที่ดิน คือ งานเสริม ” “ริคกี้-อดิศร วสุคุปต์ สิงห์สัจจะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวินไพน์ คอนซัลติ้ง จำกัด ธุรกิจให้บริการคำปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน แนะนำตัวเองกับ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week”

แม้รูปร่างหน้าตาจะไม่มีเค้าโครงความเป็นคนไทย แต่ด้วยความที่ใช้ชีวิตอยู่ในร้านขายผ้าส่งและปลีก จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ “ริกกี้” สามารถพูดภาษาอีสานได้ ทักษะการ “ว่าวภาษาลาว” แม้ไม่เป๊ะ แต่มีส่วนช่วยให้ “ทวินไพน์ คอนซัลติ้ง” คว้าดีลวางแผนระดมทุนให้กระทรวงการเงินลาวในปี 2556 จำนวน 3 ครั้ง ด้วยการออกพันธบัตรลาวสกุลเงินบาท มูลค่ารวม 9,590 ล้านบาท “อดิศร” บอกอย่างนั้น

“ชายต่างชาติแต่สำเนียงไทยชัด” เล่าเรื่องลงทุนส่วนตัวให้ฟังว่า เริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกในปี 2538 ช่วงนั้นตลาดหุ้นกำลังบูม ด้วยความที่ภาคการเงินดีมากๆ ทำให้ตัดสินใจลงทุน “หุ้นกลุ่มแบงก์” ด้วยเงินเพียง “หลักหมื่นบาท” เล่นไปเล่นมาได้กำไรระดับหนึ่งจึงใส่เงินเพิ่มเป็น “หลักแสนบาท” ผลการลงทุนในปีแรกน่าจะได้กำไรประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์

แต่ก่อนจะได้กำไรเคยขาดทุน หุ้น ธนาคารมหานคร ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว บังเอิญบ้านเกิดที่จังหวัดขอนแก่นอยู่ติดกับแบงก์แห่งนี้ เราเห็นว่าลูกค้าเยอะดี ธุรกิจไม่น่าเจ๊ง แต่เมื่อเมืองไทยเจอวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 พอร์ตหุ้นเลยกลายเป็นศูนย์ (หัวเราะ)

หลังวิกฤตต้มยำกุ้งไม่ได้ขายหุ้นในมือออกสักตัว ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเตือนลูกค้าแบงก์ว่าให้ระวังตัว ส่งผลให้พอร์ตหุ้นหลายแสนบาทเหลือเพียงหลักหมื่นบาท ตอนนั้นทำอะไรไม่ได้นอกจากเรียนรู้ความผิดพลาด

เขา เล่าต่อว่า กลับเข้ามาลงทุนเต็มตัวอีกครั้งในปี 2550 แต่ช่วงนั้นตลาดหุ้นไม่ค่อยดี เมื่อเทียบกับการลงทุนใน “ทองคำและโลหะเงิน” จึงตัดสินใจไล่สะสม “ทองคำ” ต้นทุนต่ำสุด ประมาณ 600 เหรียญต่อออนซ์ หรือประมาณ 8,000-12,000 บาท โดยทยอยซื้อมาตั้งแต่ปี 2550-2554 ปัจจุบันมีทองคำแท่งประมาณ 30 บาท ยังไม่คิดจะขายออก แม้วันนี้จะได้กำไรจำนวนมากก็ตาม เพราะยังไม่มีแผนจะนำเงินไปทำอะไร

ขณะเดียวกันยังลงทุนในทองคำและโลหะเงิน ด้วยการซื้อผ่านกองทุนสิงคโปร์ มูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท ต้นทุนเฉลี่ยต่ำสุดของโลหะเงินประมาณ 17 เหรียญต่อออนซ์ ในอดีตราคาโลหะเงินเคยวิ่งขึ้นไปถึง 45 เหรียญต่อออนซ์ ใช้เวลาเพียง 1-2 ปี ช่วงนั้นก็ขายทำกำไรไปเยอะพอควร ปัจจุบันเหลือโลหะเงินประมาณ 200,000 บาท ส่วนทองคำที่ซื้อผ่านกองทุนได้ขายไปแล้วที่ราคา 1,800-1,900 เหรียญต่อออนซ์ จากราคาต้นทุน 800 เหรียญต่อออนซ์

“ไม่อยากให้รีบลงทุนทอง แม้ราคาทองมีแนวโน้มลดลง แต่อาจสะสมเล็กๆน้อยๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องสะสมทุกเดือน ผมมองว่า ราคาทองมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2558”

“อดิศร” ยอมรับว่า ปัจจุบันได้ลดความสนใจในสินทรัพย์ประเภททองคำและโลหะเงินไปแล้ว เพราะราคามีแต่จะทิ่มหัวลง แต่ได้หันมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นแทน โดยเฉพาะ “หุ้นไอพีโอ” เพราะผลตอบแทนดีมาก หากคิดกำไรตั้งแต่ต้นปี 2557 จนถึงปัจจุบันน่าจะทำได้แล้วประมาณ 400 เปอร์เซ็นต์

“ปี 2557 เป็นปีทองของหุ้นไอพีโอจริงๆ ตอนต้นปีใช้เงินซื้อหุ้นหนึ่งตัวแค่หลักแสนบาท แต่พักหลังๆ เพิ่มเงินเป็นหลักล้านบาทต่อหุ้นหนึ่งตัว ใครให้หุ้นไอพีโอต้องยกมือไหว้ เพราะปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวดีมาก ในขณะที่ราคาหุ้นมีดิสเคาท์ ปีหน้าหุ้นไอพีโอน่าจะยังดีอยู่ แต่ต้องรู้จักเบรคให้เป็น”

วิธีการลงทุนในหุ้นไอพีโอ คือ ปล่อยทำกำไรในวันแรกของการซื้อขาย หากพื้นฐานดีจะรอราคาสะเด็ดน้ำแล้วค่อยหาโอกาสลงทุนต่อ การลงทุนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะร่วม ลงทุนกับเพื่อนๆ โดยใช้ชื่อของเพื่อนรายหนึ่งในการลงทุน

หุ้น สมาร์ทคอนกรีต หรือ SMART คือ หุ้นไอพีโอที่สร้างกำไรสูงสุดของปีนี้ เพราะเปิดมาก็ชนซิลลิ่ง อีกตัวคือ หุ้น เซ็ปเป้ หรือ SAPPE หุ้นตัวนี้เล่นสองรอบ หลังดูกราฟเทคนิคแล้วราคาน่าจะไปต่อบวกกับพื้นฐานที่โอเค อย่างตอนนี้กำลังสนใจ หุ้น เมืองไทย ลิสซิ่ง หรือ MTLS (ยิ้ม)

ถามว่า หุ้นที่ซื้อขายอยู่แล้วในกระดานตัวไหนน่าสนใจบ้าง “ริกกี้” บอกว่า “เด่นสุด” ต้องยกให้ “กลุ่มพลังงานทดแทน” ซึ่งเทรนมาตั้งแต่ปีก่อน “ชอบมาก” ต้องยกให้ หุ้น พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ของ “สมโภชน์ อาหุนัย” ติดตามหุ้น EA มาตั้งแต่ 12 บาท แต่มาเก็บ 18 บาท

กลยุทธ์สำหรับหุ้น EA คือ “ลงเก็บ” เพราะพื้นฐานของบริษัทมีแนวโน้มดีขึ้น ยิ่งประกาศงบไตรมาส 3/57 ออกมามีกำไร 372 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.89 ล้านบาท ยิ่งต้องหาโอกาสช้อน ด้วยความที่บริษัทมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาอย่างดี ฉะนั้นเขาย่อมมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต

นอกจากนั้นยังลงทุนใน หุ้น ซุปเปอร์บล๊อก หรือ SUPER เพราะบริษัทมีแผนจะทำพลังงานทดแทน ต้นทุนหุ้นตัวนี้ประมาณ 9 บาท ปัจจุบันวิ่งไปซื้อขายที่ระดับเฉลี่ย 20 บาท แต่เมื่อบริษัทแจกใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ Warrants และเพิ่มทุนจดทะเบียน ต้นทุนเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 8 บาท ส่วนตัวเชื่อว่าการที่เขามีประวัติการทำงานที่ดีพื้นฐานอนาคตคงดีต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้เคยซื้อหุ้นไอพีโอของบมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ หรือ TSE

“พอร์ตลงทุนปัจจุบันยืนระดับ 40-50 ล้านบาท ส่วนพอร์ตอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าเกือบ 20 ล้านบาท ตอนนี้กำลังเล็งหุ้นกลุ่มก่อสร้าง เพราะการที่รัฐบาลมีแผนลงทุนโครงการใหญ่ หุ้นเหล่านี้น่าจะไปต่อ”

ก่อนจะลงทุนหุ้นสักตัวไหนต้องดูแนวโน้มอุตสาหกรรมก่อนว่า ธุรกิจไหนอยู่ในภาวะ Sunrise และธุรกิจไหนอยู่ในช่วง sunset จากนั้นจึงค่อยจัดพอร์ต อย่างปัจจุบันจะใส่เงินในตลาดหุ้นมากถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือลงในพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ 25 เปอร์เซ็นต์ เงินสด 5 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้หยุดลงทุนในสินค้าคอมมูนิตี้ และพันธบัตรแล้ว

ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2558 อาจโยกเงินลงทุนจากตลาดหุ้นประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ไปลงทุนในพันธบัตร ที่ดินเปล่า และธุรกิจส่วนตัว โดยจะลดน้ำหนักในตลาดหุ้นเหลือเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเราได้กำไรจากตลาดหุ้นมาแล้วระดับหนึ่งต้องเปลี่ยนที่อยู่ของสินทรัพย์ เพื่อลดความเสี่ยง

เขา เล่าต่อว่า ปัจจุบันมีที่ดินเปล่าที่ลงทุนร่วมกับเพื่อนในอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 12 ไร่ ราคาไร่ละ 200,000 บาท ซื้อมาได้ 2 ปี ราคาเด้งขึ้น 5 เท่า วันนี้ราคาพุ่งเป็นไร่ละ 1 ล้านบาท ตอนนี้ปล่อยให้ชาวบ้านเช่าปลูกกระเทียม และยังมีบ้านเรือนไทย อำเภอปาย จำนวน 2 ไร่ ขณะเดียวกันยังมีคอนโดมิเนียม 3 ยูนิต แถวอาร์ซีเอ ตอนนี้ปล่อยเช่าเต็มหมดแล้ว

นอกจากนั้นยังร่วมลงทุนกับรุ่นพี่ ด้วยการซื้อที่ดินเปล่า จังหวัดภูเก็ต 6 ไร่ ขายวันนี้น่าจะได้กำไรประมาณ 2 เท่า ที่เหลือจะลงทุนในทาวน์เฮ้าส์ 2 คู่ จังหวัดภูเก็ต และคอนโดมิเนียม ประเทศสิงคโปร์ ปัจจุบันทาวน์เฮ้าส์หนึ่งหลังได้ขายให้ผู้เช่าแล้ว ส่วนอีกหลังปล่อยเช่าเดือนละ 70,000-80,000 บาท ส่วนคอนโดมิเนียม ประเทศสิงคโปร์ ปล่อยเช่าเหมือนกัน ได้ยินว่าอีก 5 ปี ตรงนั้นจะมีรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน คงต้องมาปรับพอร์ตอีกครั้ง

“ทาวน์เฮ้าส์จังหวัดหนองคาย เลย และขอนแก่น ถือว่าน่าสนใจ เพราะความเจริญกำลังจะไปถึง ตอนนี้กำลังเล็งจะไปซื้อสินทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายร่วมกับเพื่อนๆ ที่คบกันมานานกว่า 10 ปี อย่างเชียงรายอาจซื้อที่ดิน เพื่อปลูกพริกหยวกและเม็ดมะม่วงมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น คงได้เห็นภายใน 3 ปีข้างหน้า”

“นักลงทุนมือฉมัง” วิเคราะห์ว่า หากบริษัทจดทะเบียนแห่งใดอาศัยเงินกู้มากขึ้นเท่าตัว นักลงทุนควรหลีกเลี่ยง เพราะปีหน้าดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ฉะนั้นควรหันไปลงทุนบริษัทที่อาศัยเงินสดมากกว่าเงินกู้ ส่วนตัวเชื่อว่าบริษัทใดที่กู้เงินเยอะๆจะเริ่มเห็นผลไม่ดีในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2558

ฉะนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในตลาดหุ้น แค่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ควรให้น้ำหนักในเการเก็บเงินสดและพันธบัตรประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือให้นำไปลงทุนในที่ดิน หากเจอที่ดินสวยๆ ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์

ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงควรใส่หุ้นไปเลย 60 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือนำไปลงทุนอสังหาริมทัรพย์ 30 เปอร์เซ็นต์ และเก็บเป็นเงินสด 10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางสามารถจัดพอร์ตแบบเสี่ยงสูงได้ ด้วยการบวกลบน้ำหนัก 10 เปอร์เซ็นต์

ในปี 2558 นักลงทุนควรจับตาดูเรื่องอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอมริกาที่มีแนวโน้มว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันต้องจับตาดูว่า โซนยุโรป และญี่ปุ่น จะเพิ่มคิวอีและลดดอกเบี้ยหรือไม่ นอกจากนั้นต้องระวังเรื่องค่าเงินของประเทศออสเตรเลีย หลังเขาพึ่งเศรษฐกิจจีนเยอะเกินไป ซึ่งปีหน้าเศรษฐกิจจีนอาจชะลอ

ฉะนั้นหากมีทรัพย์สินอะไรในประเทศออสเตรเลียอาจต้องขายออกตอนนี้น่าจะดีกว่าเก็บข้ามปี ขณะเดียวกันโซนยุโรปยังไม่มีท่าทีจะฟื้นตัว โดยเฉพาะกรีก โปตุเกส สเปน และอิตาลี เท่าที่วิเคราะห์ประเทศอินเดียมีแนวโน้มจะดีเพียงประเทศเดียว เพราะจะมีการเลือกตั้ง

“ส่วนเมืองไทยต้องระวังเรื่องอสังหาริมทรัพย์ที่อาจเกิด “โอเวอร์ซัพพลาย” โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ไม่ได้อยู่ในแนวรถไฟฟ้า และไม่มีศักยภาพ แม้ราคาจะตกแต่นักลงทุนอย่าเพิ่งเก็บรอไปก่อนอีก 2 -3 ปี”

“ร้อยล้าน” รายได้ปี 58 ทวินไพน์ฯ

หลัง “อดิศร วสุคุปต์ สิงห์สัจจะ” จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจการตลาด มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ อาชีพมนุษย์เงินเดือนแห่งแรก หลังไม่ได้เป็นอาจารย์สอนพิเศษที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เกิดขึ้นในธนาคารเอชเอสบีซี ทำงานได้ 5 ปี เขาตัดสินใจลาออก เพื่อออกมาท่องเที่ยวคนเดียวแบบแบ็คแพ็คเกอร์ (Backpacker) ด้วยการไปปีนเขาที่ประเทศเนปาล จังหวัดกระบี่ และจังหวัดพังงา เป็นต้น

ท่องเที่ยวเกือบ 1 ปี “ริกกี้” ตัดสินใจกลับเข้ามาทำงานอีกครั้งในตำแหน่งฝ่ายบริหารแบรนด์ในบริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล จำกัด ทำได้เพียงหนึ่งปี ก็ย้ายมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ธนาคารสแตนดาร์ดวาร์เตอร์ด (ไทย) จากนั้นก็ออกมาก่อตั้งบริษัทร่วมกับพันธมิตร เพื่อทำธุรกิจกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม สุขภาพ และความงาม แต่ธุรกิจไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร ทำให้จำเป็นต้องยุติการทำธุรกิจ

จากนั้นก็มาเปิดบริษัท ทวินไพน์ คอนซัลติ้ง จำกัด ร่วมกับ “จิริเดชา พึ่งสุนทร” ในปี 2554 ปัจจุบันมีลูกค้าแล้ว 2 ราย เช่น กระทรวงการเงินของสปป.ลาว ด้วยการออกพันธบัตรลาวสกุลเงินบาท 3 ครั้ง ในวงเงิน 9,590 ล้านบาท เป็นต้น

ล่าสุดกำลังคุยกับลูกค้า 5 ราย แต่อาจจบดีลแค่ 2-3 ราย ซึ่งมีทั้งรายเก่าที่ต้องการขยายการระดมทุนและรายใหม่ มูลค่าระดมทุนทั้งหมดประมาณ 12,000 ล้านบาท จากนั้นในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า จะพยายามทำการระดมทุนให้ได้ประมาณ 12,000-15,000 ล้านบาทต่อปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

บริษัทมีเป้าหมายว่า อยากทำการกระดมทุนให้กับ 3 รัฐบาล เช่น พม่า และกัมพูชา อีกประเทศขอเก็บเป็นความลับก่อน อาจได้เห็นเราระดมทุนให้รัฐบาลกัมพูชาในปี 2558 นอกจากนั้นอยากนำบริษัทเอกชนของประเทศนั้นๆมาเข้าตลาดหุ้นไทย หรือออกพันธบัตร รวมถึงจะทำตั้งบอนด์ ฟันด์ หรืออินทราฟันด์ เป็นต้น แต่เรื่องออกฟันด์อาจต้องรอตลาดหลักทรัพย์ออกกฎอย่างชัดเจนก่อน คาดว่ากฎจะออกประมาณไตรมาส 1 หรือ 2 ปี 2558

“ผ่านมา 2 ปี บริษัทมีรายได้ขยายตัวต่อเนื่อง จาก 40 ล้านบาท ในปี 2556 เป็น 80-90 ล้านบาท ในปี 2557 และคาดว่าจะขึ้นเป็น 100 ล้านบาท ในปีถัดไป”