'บ้านปู'คาดถ่านหินปีหน้ายังไม่ฟื้น

"บ้านปู" มองราคาถ่านหินปีหน้าใกล้เคียงปีนี้ เหตุความต้องการขายยังล้น แต่คาดไม่กระทบมากเพราะธุรกิจโรงไฟฟ้าหนุน
นางสมฤดี ชัยมงคล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-การเงิน บริษัท บ้านปูจำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าราคาถ่านหินในปีหน้ายังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากความต้องการขายถ่านหินยังคงมากกว่าความต้องการซื้อ แต่คาดว่าราคาถ่านหินซึ่งอยู่ในระดับต่ำนี้จะไม่กระทบกับรายได้และกำไรของบริษัทมากนัก เพราะปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าช่วยหนุนอยู่ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ส่วนไตรมาส 4 ปีนี้คาดว่าผลประกอบการจะต่ำกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านเนื่องจากราคาถ่านหินมีแนวโน้มอ่อนตัวลง
“ราคาถ่านหินเฉลี่ยในตลาดโลกปีนี้อยู่ที่ 64-65 เหรียญต่อตัน ซึ่งคาดว่าในช่วงต้นปีราคาถ่านหินจะอ่อนตัวลง และจะฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นเพราะความต้องการขายใน อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และรัสเซียยังมีอยู่มาก แม้ในสหรัฐจะลดลงไปมากเช่นกันแต่ยังมีปริมาณน้อยกว่าใน 3 ประเทศข้างต้น อย่างไรก็ตามราคาขายถ่านหินของบริษัทยังสามารถทำได้มากกว่าราคาตลาด โดยราคาขายที่อินโดนีเซียอยู่ที่ 67 เหรียญต่อตัน และที่ออสเตรเลียอยู่ที่ 64.8 เหรียญต่อตัน เนื่องจากถ่านหินของบริษัทมีคุณภาพที่ดี” นางสมฤดี กล่าว
สำหรับปีหน้าบริษัทเตรียมรุกตลาดอินเดียมากขึ้น ทดแทนการขายในประเทศจีน หลังจากที่มีการประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินเพิ่มอีก 6% แต่บริษัทยังมีผลบวกอยู่บ้าง จากการประกาศออกมาว่าการนำเข้าถ่านหินจากอินโดนีเซียจะไม่เสียภาษีใหม่นี้ ส่วนประเทศออสเตรเลียอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองในเรื่องภาษีใหม่นี้
ในขณะที่ความคืบหน้าการเข้าไปลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าซานซี ลู่ กวง ในประเทศจีนนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรออนุมัติ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงต้นปี 2558 แล้วเสร็จในปี 2559 และจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าได้ในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 3 แบ่งเป็นไตรมาสละ 600 เมกะวัตต์ รวม 1,200 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในจีนขณะนี้มีกำลังการผลิตรวม 248 เมกะวัตต์ โดยจะเพิ่มอีกปีละ 25 เมกะวัตต์ เป็น 273 และ 298 เมกะวัตต์ใน 2 ปีข้างหน้า
สำหรับงบประมาณการลงทุนของบ้านปู ปีหน้าจะเป็นปีสุดท้ายของงบประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งกำหนดงบลงทุน 779 ล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 230 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นการลงทุนในโรงไฟฟ้าหงสา 200 ล้านดอลลาร์ และใช้ลงทุนทั่วไป 30 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้คาดว่าบริษัทจะใช้งบลงทุนน้อยกว่าที่ตั้งไว้ ส่วนงบลงทุน 5 ปีถัดไป จะนำเข้าที่ประชุมและสรุปอย่างเป็นทางการในช่วงเดือน ก.พ. 2558
ด้านบล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มูลค่าพื้นฐานปี 2558 น่าจะเท่ากับ 32 บาท จากสัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าที่ทยอยเพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนการเติบโต พร้อมกับช่วยลดความเสี่ยงการดำเนินงานโดยรวมของบริษัท แม้ธุรกิจถ่านหินยังมีแนวโน้มอ่อนแอ แต่ด้วยราคาหุ้นที่มีมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น 0.93 ในปี 2558 ทำให้ความเสี่ยงขาลงมีจำกัด
สำหรับปี 2557 ประเมินว่ากำไรสุทธิจะเท่ากับ 2,550 ล้านบาท ลดลง 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 4 มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่องจากไตรมาส 3 เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงประจำปีโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี พร้อมด้วยการเข้าสู่ช่วงการย้ายอุปกรณ์การผลิตของเหมืองมันดาลอง ในออสเตรเลีย สำหรับปี 2558 คาดว่ากำไรสุทธิจะกลับมาเติบโตเป็น 3,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ด้วยแรงหนุนจากโรงไฟฟ้าหงสาเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าเฟสแรกเดือน ก.ค. ปี 2558 และเฟสสองเดือน พ.ย. ปี 2558 ส่วนเฟสสามคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเดือน มี.ค. ปี 2559 คาดว่าหลังจากดำเนินการครบทั้งสามเฟส จะมีส่วนแบ่งกำไรปีละ 2,500 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจถ่านหินยังคงถูกกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกิน




