เกียรตินาคินตั้งเป้าเอยูเอ็ม5แสนล้าน

เกียรตินาคินตั้งเป้าเอยูเอ็ม5แสนล้าน

"เกียรตินาคิน" หันจับกลุ่มลูกค้าระดับบนตั้งเป้าเพิ่มเอยูเอ็มเป็น 5 แสนล้านบาทใน 4-5 ปี

นางกุลนันท์ ซานไทโว รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายธนบดีธนกิจ ธนาคารเกียรตินาคิน เปิดเผยว่า ปัจจุบันธนาคารมีฐานเงินฝากรวม 2 แสนล้านบาท ทรงตัวจากสิ้นปีก่อน โดยในช่วง 1 ปีครึ่งหลังจากควบรวมกับภัทรธนาคารได้แบ่งกลุ่มลูกค้ากลุ่มบนหรือกลุ่มผู้มีเงินฝากเกินกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปเรียกว่ากลุ่ม Priority เพื่อให้บริการทางด้านการออมการลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารได้ยกระดับลูกค้าเงินฝากขึ้นมาเป็นกลุ่ม Priority แล้วกว่า 3,000 ราย หรือ 1.2 หมื่นล้านบาท ทำให้มีเงินฝากในกลุ่มดังกล่าวประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ไม่รวมสินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่อยู่กับบลจ.ภัทรอีก 2.6 แสนล้านบาท ทั้งนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายว่าใน 4-5 ปีข้างหน้าจะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารทั้งเงินฝากและเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท

นางกุลนันท์กล่าวว่าในปีนี้ธนาคารได้ปรับนโยบายการแข่งขันเงินฝาก จากเดิมที่จะเน้นเสนอดอกเบี้ยสูงกว่าตลาด 0.25-0.50% เนื่องจากธนาคารมีขนาดเล็กและฐานลูกค้ายังน้อย แต่ในขณะนี้ธนาคารได้หันมามุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการกับลูกค้าเป็นหลัก ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากนั้นยอมรับว่ายังต้องสูงกว่าตลาดเล็กน้อย เหลือเพียง 0.10-0.15% เนื่องจากลูกค้ายังมีความคาดหวังที่จะได้รับดอกเบี้ยสูงอยู่

ขณะเดียวกันได้นำความเชี่ยวชาญของภัทรมาเข้าให้บริการลูกค้ากลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องของงานวิจัยที่ช่วยแนะนำทิศทางการลงทุนของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการรวมพอร์ตเงินฝากและเงินลงทุนไว้ในบัญชีเดียวเพื่อให้เห็นภาพรวมย้อนหลังได้ถึง 5 ปี ขณะเดียวกันธนาคารยังเปิดกว้างสำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุนผ่านกองทุนรวม สามารถเลือกลงทุนได้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอย่างหลากหลายทั้งในและต่างประเทศตามแนวทางOpen Architecture ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยเงินลงทุนในกองทุนต่าง ๆ ผ่านธนาคารในขณะนี้มีประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท ซึ่งแนวทางดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้มากกว่าการเสนออัตราดอกเบี้ยสูงกว่าคู่แข่ง

ในปี 2558 ธนาคารจะหันไปมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากยังมีฐานลูกค้าตามหัวเมือง อีกจำนวนมากที่ขยายฐานได้

นางกุลนันท์ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของภาษีที่ดินรวมถึงภาษีมรดกนั้น เริ่มเห็นลูกค้าตื่นตัวมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นด้านภาษีที่ดิน เนื่องจากภาษีมรดกจะจำกัดผลกระทบอยู่กับผู้ที่มีมรดกเกินกว่า 50 ล้านบาท อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเริ่มเห็นบริษัทต่างชาติเข้ามาจับลูกค้าไทยมากขึ้น เพื่อแนะนำการลงทุนในต่างประเทศให้ลูกค้าหากกฎหมายภาษีมรดกเริ่มบังคับใช้