'ไอคอนสยาม'ดึง'ทาคาชิมาย่า'เปิดสาขาแรกในไทย

ไอคอนสยาม ร่วมทุน ทาคาชิมาย่า ห้างพรีเมี่ยมเก่าแก่ 180 ปี จากญี่ปุ่น ปักธงสาขาแรกในไทย ขยายฐานลูกค้า
ดีเดย์ปี 60 ย้ำแลนด์มาร์คริมเจ้าพระยา สานแผนดันกรุงเทพฯ จุดหมายปลายทางนักท่องเที่ยวทั่วโลก
อภิมหาโครงการ “ไอคอนสยาม” แลนด์มาร์คริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนเนื้อที่ 50 ไร่ มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ภายใต้การร่วมลงทุนระหว่างยักษ์ใหญ่ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น และเครือเจริญโภคภัณฑ์ อยู่ระหว่างเดินหน้าก่อสร้าง ควบคู่ไปกับการเฟ้นหา “พันธมิตรธุรกิจ” ทั้งในไทยและทั่วโลก ร่วมสร้างสัญลักษณ์แห่งเมือง ผลักดันกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงทางด้านการค้าปลีกของเอเชีย และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องการมาเยือน
วานนี้ (21 ต.ค.) บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ “ไอคอนสยาม” และ “ทาคาชิมาย่า” ห้างสรรพสินค้าใหญ่ระดับพรีเมี่ยมจากประเทศญี่ปุ่น ได้ลงนามในสัญญาการร่วมทุน จัดตั้ง บริษัท สยาม ทาคาชิมาย่า จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาห้างสรรพสินค้าทาคาชิมาย่าสาขาแรกในประเทศไทย ภายใต้งบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท
นางพาสินี ลิ่มอติบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า การร่วมทุนกับพันธมิตรหลักรายแรก “ทาคาชิมาย่า” เสริมความแข็งแกร่งไอคอนสยามต่อความเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกภูมิภาคสู่ประเทศไทย
‘ทาคาชิมาย่า’ ลุยอาเซียน
นายโคจิ ซูซูกิ ประธานกรรมการ บริษัท ทาคาชิมาย่า จำกัด กล่าวว่า ไทยและอาเซียนเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในการขยายฐานลูกค้า โดยเตรียมเปิดบริการห้างสรรพสินค้าทาคาชิมาย่า ในโฮจิมินห์ เวียดนาม ปี 2559 และกรุงเทพฯ ในปี 2560
“ไทยโตเร็วมาก ประชากรมีรายได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญเราได้หุ้นส่วนที่ดีจะทำให้ทาคาชิมาย่าประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ”
ทั้งนี้การพิจารณาขยายเครือข่ายสาขาของทาคาชิมาย่าในตลาดต่างประเทศ ไม่ได้มองเฉพาะการเติบโตทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องมีพันธมิตรธุรกิจที่ดี มีเงื่อนไขที่ดีต่อกัน ในการสร้างการเติบโต
อย่างไรก็ตาม 2 ปีก่อนหน้านี้ ทาคาชิมาย่าได้ขยายสาขาในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ภายใต้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีน-ญี่ปุ่น ไม่ราบรื่นนัก ส่งผลต่อยอดขาย โดยบริษัทอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์
ทาคาชิมาย่า ก่อตั้งเมื่อ 180 ปีที่แล้ว เป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าระดับพรีเมี่ยมที่ได้รับการยอมรับและชื่นชมมากที่สุดห้างหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน เปิดบริการ 19 สาขาในญี่ปุ่น และ 3 สาขา ในสิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ และไทเป ปีที่ผ่านมา กลุ่มห้างสรรพสินค้าทาคาชิมาย่ามียอดขายรวม 22 สาขา มากกว่า 9,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3 แสนล้านบาท
ชูสินค้าแตกต่างคู่แข่ง
นายยูทากะ ยามากูชิ กรรมการผู้จัดการโครงการในประเทศไทย กล่าวเสริมว่า การตัดสินใจร่วมทุนกับไอคอนสยามในครั้งนี้ เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าในภูมิภาคได้มากขึ้น
“ประชากรในไทยมีรายได้สูง มีรสนิยมดี เชื่อว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าที่มีอำนาจการจับจ่าย มองหาสินค้าคุณภาพสูงที่มีจำหน่ายในทาคาชิมาย่าได้อย่างรวดเร็ว”
ห้างสรรพสินค้าทาคาชิมาย่า สาขาไอคอนสยาม เปิดบริการปี 2560 มีพื้นที่ 3.6 ตร.ม.รวม 7 ชั้น ประกอบด้วยพื้นที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์หรูหรา อาทิ เครื่องสำอาง เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ของใช้ในชีวิตประจำวัน อาหารและเครื่องดื่มพรีเมี่ยมของไทย ญี่ปุ่น และนานาประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้ ทาคาชิมาย่า มีเครือข่ายจัดหาสินค้าที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และห้างญี่ปุ่นในไทย โดยมีแบรนด์ทาคาชิมาย่า และ ‘Voice File จำหน่ายเฉพาะทาคาชิมาย่า
ย้ำความมั่นใจต่างชาติลงทุนไทย
นายณรงค์ เจียรวนนท์ รองประธานกรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวเสริมว่า การร่วมทุนครั้งนี้ เป็นการผนึกกำลังของผู้ประกอบการค้าปลีกระหว่างประเทศ ที่จะผสานความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการธุรกิจห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
“การเข้ามาทำธุรกิจในไทย ของห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น สะท้อนความเชื่อมั่นศักยภาพและเศรษฐกิจไทย เชื่อมความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศและเปิดตลาดสินค้าไทยในญี่ปุ่นผ่านเครือข่ายของทาคาชิมาย่าอีกด้วย”
การเข้ามาเปิดสาขาของทาคาชิมาย่าในโครงการไอคอนสยาม เป็นหนึ่งในแม่เหล็กสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวกรุงเทพฯ ซ้ำอีกหลายครั้ง
สยามพิวรรธน์เปิดกว้างพันธมิตรร่วมทุน
สำหรับการร่วมทุนระหว่าง ไอคอนสยามและทาคาชิมาย่าครั้งนี้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ธุรกิจใหม่ของทุนไทยยักษ์ใหญ่ “สยามพิวรรธน์” องค์กรกว่า 5 ทศวรรษ เจ้าของและผู้บริหารโครงการสยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน สยามดิสคัฟเวอรี่ และ ไอคอนสยาม ประกาศวิสัยทัศน์ 5 ปี (2558-2562) มุ่งขยายไลน์ธุรกิจทุกรูปแบบรับโอกาสมหาศาล และรับมือคู่แข่งนานาชาติ จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)
นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า ได้จัดสรรงบกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ใช้ลงทุน 5 ปีข้างหน้า โดยจะมีการขยายธุรกิจหลากหลายรูปแบบ ทั้งศูนย์การค้า อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีกประเภทสเปเชียลตี้สโตร์ หรือร้านจำหน่ายสินค้าเฉพาะอย่าง แฟรนไชส์ร้านอาหาร และ “ร่วมทุน” กับพันธมิตรต่างประเทศพัฒนาโครงการบันเทิงระดับโลก ศิลปวัฒนธรรม และธุรกิจค้าปลีก
งบประมาณดังกล่าวแบ่งเป็นการลงทุนเองของสยามพิวรรธน์ 4.2 หมื่นล้านบาท การลงทุนร่วมกับพันธมิตรต่างประเทศ 1 หมื่นล้านบาท อีก 3,000 ล้านบาท สำหรับลงทุนค้าปลีกสเปเชียลตี้สโตร์และร้านอาหาร
โดยมีโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในระหว่างการศึกษาพัฒนา 7-8 โครงการ ในทำเลต่างๆ ทั้งภายในและนอกกรุงเทพฯ รวมถึงต่างประเทศ
สยามพิวรรธน์ ขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเน้นการเป็นสัญลักษณ์แห่งการนำเสนอความแปลกใหม่ให้ชีวิต (The Icon of Innovative Lifestyle) ภายใต้แผนพัฒนาโครงการที่เน้นสร้างความแตกต่างจากโครงการเดิม ทำให้ลูกค้าได้พบกับเอกลักษณ์เฉพาะโครงการไม่ซ้ำคู่แข่ง
“ต้องเป็นคอนเซ็ปต์แปลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในไทย หรือเป็นครั้งแรกในโลก นับเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ทุกโครงการของสยามพิวรรธน์แตกต่างจากคู่แข่งชัดเจน”
เป็นที่มาของการร่วมทุนทาคาชิมาย่าในครั้งนี้
ปัจจุบัน สยามพิวรรธน์ มีพื้นที่ค้าปลีกรวมกว่า 1.5 ล้าน ตร.ม. มีรายได้ 3 หมื่นล้านบาท จากการขยายธุรกิจเชิงรุก คาดรายได้เติบโต “เท่าตัว” ใน 3 ปี โดยบริษัทไม่มีแผนนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่อย่างใด







