Slow but Sure กลยุทธ์บิน "บางกอกแอร์เวย์ส"

บางกอกแอร์เวย์ส เล็งยกสนามบินเกาะสมุยเป็น ฮับ แห่งที่ 2 พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ" ให้คำมั่น
“ราคาหุ้นจะซ้ำรอยรุ่นพี่หรือไม่”
ไม่แปลกหากนักลงทุนบางรายจะเกิดอาการลังเลที่จะควักเงินซื้อหุ้น IPO ของ บมจ.การบินกรุงเทพ หรือ BA ผู้ให้บริการสายการบินเต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ “บางกอกแอร์เวย์ส” ซึ่งอยู่ในการดูแลของ “นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” ในฐานะหุ้นใหญ่สัดส่วนการลงทุน 62 เปอร์เซ็นต์ (ตัวเลขหลังเสนอขายหุ้น IPO)
เพราะหากย้อนกลับไปดู “รุ่นพี่ธุรกิจการบิน” อย่างบมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น หรือ AAV และ บมจ.สายการบินนกแอร์ หรือ NOK ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ไปเมื่อปี 2555 และ 2556 ตามลำดับ จะพบว่า ราคาหุ้นเดินเอื่อยๆ ปัจจุบันราคาหุ้น AAV ซื้อขายเฉลี่ย 4.47 บาท จากราคาไอพีโอ 3.70 บาท ขณะที่หุ้น NOK ซื้อขายเฉลี่ย 15.11 บาท ต่ำกว่าราคา IPO ที่อยู่ระดับ 26.75 บาท
“ธุรกิจการบิน” ถือเป็นกิจการที่ต้องเผชิญหน้ากับสารพัดความเสี่ยงที่อยู่เหนือการควบคุม เห็นได้จากการแจกแจง “ปัจจัยความเสี่ยง” ที่มีมากถึง 30 ข้อ ของ “การบินกรุงเทพ” อาทิ ความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เพียงพอ ความเสี่ยงจากการผันผวนในระบบธนาคาร และตลาดเงิน (Credit Market) และเศรษฐกิจทั่วโลก
รวมถึงความเสี่ยงจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมการบินและการแข่งขันจากการคมนาคมขนส่งในรูปแบบอื่น เป็นต้น ซึ่งความเสี่ยงมากมายเหล่านี้มีผลต่อผลประกอบการในแต่ละปี ด้วยเหตุนี้หุ้นสายการบินจึงไม่ค่อยเป็นนิยมของนักลงทุนรายย่อยเท่าไหร่นัก
ทว่าหากลองไล่ดูเนื้อในเรื่องดีๆของบมจ.การบินกรุงเทพจะพบว่า เงินระดมทุนรอบนี้ที่ได้มากกว่า11,960-14,040 ล้านบาท ถือเป็นการทำ IPO ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในตลาดหลักทรัพย์ประจำปี 2557 ส่วนใหญ่บริษัทนำไปขยายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขยายฝูงบิน และปรับเปลี่ยนฝูงบินเดิมประมาณ 8,000 - 9,500 ล้านบาท
รวมถึงนำไปซื้อเครื่องยนต์ อะไหล่ และอุปกรณ์สำรองสำหรับฝูงบินที่เพิ่มขึ้น ตามมาตรฐานของอุตสาหกรรมประมาณ 1,500 - 1,700 ล้านบาท นอกจากนั้นยังนำไปก่อสร้างโรงซ่อมอากาศยานที่สนามบินสุวรรณภูมิ 800 - 1,000 ล้านบาท และใช้ปรับปรุงสนามบินสมุย 800 -1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท 430 - 450 ล้านบาท
ขณะที่ตัวเลขขาดทุนสะสม 3,900 ล้านบาท บริษัทวางแผนไว้ว่า จะนำส่วนล้ำมูลค่ากว่าหมื่นล้าน บาทมาล้างขาดทุนสะสม โดยบริษัทเตรียมนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น หากทุกอย่างได้ข้อสรุปผู้ถือหุ้นมีโอกาสจะได้รับเงินปันผลในปีแรกqทันที ซึ่งบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ
ส่วนเรื่องที่นักลงทุนกังวลว่า อาจมีผลต่อราคาหุ้น BA ในวันแรกของการซื้อขาย คือ การที่ “พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ” เตรียมเสนอขายหุ้น BA ในราคา IPO ต่อนักลงทุนเฉพาะเจาะจงจำนวนไม่เกิน 210,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ บนกระดานรายใหญ่ (Big-Lot Board) หลังเสนอขายหุ้นครั้งนี้จะทำให้ “ปรมาภรณ์” เหลือหุ้น BA ประมาณ 263,709,920 หุ้น คิดเป็น 12.6 เปอร์เซ็นต์
สำหรับนักลงทุนที่แสดงความจำนงขอซื้อหุ้น BA คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL โดยจะซื้อไม่เกิน 105,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งบริษัทและ BBL ไม่ได้มีข้อตกลงที่ว่า BBL จะส่งตัวแทนเข้ามานั่งเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัท ขณะเดียวกันหุ้นในส่วนนี้ไม่ได้มีข้อกำหนดห้ามการขาย ฉะนั้นหาก BBLจะขายหุ้น BA ออกทันทีย่อมทำได้ ปัจจุบัน BBL ถือหุ้น BA จำนวน 105,000,000 หุ้น คิดเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกัน BBL ยังเป็นผู้ให้ยืมเงินแก่บริษัทและบริษัทย่อย “ครัวการบินกรุงเทพ”
“การบินกรุงเทพ” ได้เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 520 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท โดยได้จัดสรรให้กับนักลงทุนรายย่อยที่จองผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร 5 แห่ง เมื่อวันที่ 14-17 ต.ค.2557 ในสัดส่วน 80 ล้านหุ้น โดยนักลงทุนต้องชำระเงินค่าหุ้นที่ระดับ 27 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของการกำหนดช่วงราคา 23-27 บาทต่อหุ้น ล่าสุด “พิเชษฐ สิทธิอำนวย” กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น BA ออกมายอมรับว่า แม้ภาวะตลาดหุ้นจะเข้าสู่ช่วงปรับฐานจนส่งผลกระทบต่อการเสนอขายหุ้น BA บ้าง แต่เชื่อว่าจะสามารถปิดการขายในส่วนของรายย่อยได้ภายในวันที่ 16 ต.ค.
ส่วนนักลงทุนสถาบันและผู้จองพิเศษ รวมถึงนักลงทุนในต่างประเทศสามารถซื้อหุ้น IPO ได้ในวันที่ 21-22 และ 24 ต.ค.2557 โดยหุ้น BA มีแผนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ ในวันที่ 3 พ.ย.นี้
ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ให้บริการเที่ยวบินแบบประจำในเส้นทางการบินภายในประเทศ 14 เส้นทาง โดยครอบคลุมเส้นทางที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญในประเทศไทย เช่น จังหวัดภูเก็ต เกาะสมุย จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดกระบี่ ขณะเดียวกันยังให้บริการเที่ยวบินแบบประจำในเส้นทางการบินระหว่างประเทศอีก 13 เส้นทาง เน้นระยะเวลาบินไม่เกิน 5 ชั่วโมง เช่น ประเทศเมียนม่าร์ ประเทศลาว ประเทศกัมพูชา ประเทศมาเลเซีย ประเทศสิงคโปร์ ประเทศฮ่องกง ประเทศอินเดีย ประเทศบังคลาเทศ และประเทศมัลดีฟส์ เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังเป็นเจ้าของและดำเนินการบริหารท่าอากาศยาน 3 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย, ท่าอากาศยานตราด และท่าอากาศยานสุโขทัย นอกจากนั้นยังให้บริการทางการบินประเภทอื่นๆ กับสายการบินชั้นนำระดับโลก ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ผ่านบริษัท Bangkok Air Catering (BAC) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตอาหาร เพื่อให้บริการแก่ผู้โดยสารในเที่ยวบิน บริษัท Worldwide Flight Services Bangkok Air Ground Handling (BFS Ground) ผู้ให้บริการภาคพื้น และให้บริการในลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น และบริษัท WFS-PG Cargo (BFS Cargo) ซึ่งให้บริการคลังสินค้าระหว่างประเทศ
นอกจากจะมีรายได้มาจากธุรกิจสายการบิน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องแล้ว บริษัทยังมีรายได้จากเงินปันผลด้วย ปัจจุบันบริษัทถือหุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BGH ผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลกรุงเทพ จำนวน 1,008,418,690 ล้าน คิดเป็น 6.51 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ “ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” ถือหุ้น BGH จำนวน 3,127,930,240 หุ้น คิดเป็น 20.19 เปอร์เซ็นต์ ในงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทได้รับเงินปันผลจาก BGH แล้วจำนวน 243.8 ล้านบาท
“เพราะแตกต่างจึงเติบโต”
“กัปตันเต๋-พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินกรุงเทพ ลูกชายคนโตในจำนวนพี่น้อง 4 คน ชาย 1 คน หญิง 3 คนของ “นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” บอกความเชื่อให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟัง ก่อนจะฉายภาพธุรกิจว่า การเข้าตลาดหุ้นครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียมตัว หลังประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC จะเปิดปลายปี 2558
เมื่อวันนั้นมาถึง เชื่อว่าการเดินทางในภูมิภาคจะเกิดจุดเปลี่ยน เพราะต่อไปการเดินทางระหว่างเมืองจะมีข้อจำกัดน้อยลง ทำให้ประชากรที่อยู่ในภูมิภาคมีการเดินทางระหว่างเมืองมากขึ้น ปัจจุบันเรามีเส้นทางบินในแถบ AEC อยู่แล้ว แต่เรายังมีเครื่องบินไม่เพียงพอที่จะมารองรับผู้โดยสาร เรื่องนี้ถือเป็นต้นทุนใหญ่ของบริษัท
ฉะนั้นเราจึงตัดสินใจเข้าตลาดหุ้น เพื่อนำเงินมาขยายกิจการ หลักๆ จะนำเงินไปชำระค่ามัดจำเครื่องบิน 300 ล้านเหรียญ และอะไหล่เครื่องบิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนั้นยังนำเงินไปสร้างโรงซ่อมเครื่องบิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มศักยภาพสนามบินสมุย 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
เรื่องปรับปรุงสนามบินสมุย ถือเป็นเรื่องต้องทำ วันนี้เราบินลงสมุย 36 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งสนามบินสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้ 1.8-2 ล้านคนต่อปี แต่เมื่อเพิ่มศักยภาพให้สนามบินสมุย เราจะบินลงสมุย 50 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้มากถึง 4 ล้านคนต่อปี จากนั้นเราจะเพิ่มเป็น 75 เที่ยวต่อวัน สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 60 ล้านคนต่อปี
ยกสนามบินเกาะสมุยเป็นฮับแห่งที่ 2 รองจากสนามบินสุวรรณภูมิ นี่คือแผนใหญ่ของเรา วันนี้เรามีเที่ยวบินไปสมุยเยอะที่สุด เพราะนอกจากจะมีเที่ยวบินสุวรรณภูมิ-เกาะสมุย เรายังมีการให้บริการเที่ยวบินเกาะสมุย-กระบี่ ,สมุย-อู่ตะเภา ,สมุย-เชียงใหม่ ในส่วนต่างประเทศ ก็มีให้บริการ สมุย-ฮ่องกง ,สมุย-สิงคโปร์ และสมุย-กัวลาลัมเปอร์
“สนามบินสมุย คือ บ่อน้ำมันที่เราขุดเจอ เราเชื่อว่าอนาคตจะเติบโตมากกว่านี้”
เขาย้อนไปเล่าเรื่องใช้เงินซื้อเครื่องบินใหม่ว่า เหมือนที่เราได้ให้ข่าวไปว่า ภายในปี 2561 เราจะขยายฝูงบินจาก 25 ลำ เป็น 43 ลำ ส่วนหนึ่งจะนำไปทดแทนเครื่องบินลำเก่า ล่าสุดเราได้สั่งซื้อเครื่องบิน ATR-600 ไปแล้ว 9 ลำ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณา ขณะนี้ได้มีการเจรจากับทางแอร์บัสไว้บ้างแล้ว การสั่งซื้อเครื่องบิน ถือเป็นการทำงานตามนโยบายที่จะเน้นบินในประเทศและภูมิภาค บริษัทไม่มีนโยบายบินไกล แต่จะใช้วิธีไปจับมือกับสายการบินอื่นๆ เพื่อเชื่อมต่อกัน ปัจจุบันเรามีการร่วมมือกับ 14 สายการบิน
“บริษัทเปรียบเหมือน บมจ.การบินไทย หรือ THAI บวก บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT เพียงแต่เป็นไซด์เล็กๆ เพราะเราเป็นทั้งผู้ให้บริการสายการบิน และผู้ให้บริการสนามบิน”
ปลายเดือนต.ค.นี้ เราจะเปิดเส้นทางบินใหม่ โดยการใช้สนามบินเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางจำนวน 4 เส้นทาง คือ เชียงใหม่-ภูเก็ต และเชียงใหม่-อุดรธานี ส่วนเที่ยวบินต่างประเทศ คือ เชียงใหม่-ย่างกุ้ง และเชียงใหม่-มัณฑะเลย์ เรามองว่าสนามบินเชียงใหม่จะเป็นอีกหนึ่งฮับใหญ่ของเรา นอกจากนี้เรายังจะมีการเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางเดิม คือ กรุงเทพ-สมุย ,กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ,กรุงเทพฯ-สุโขทัย และกรุงเทพฯ-กระบี่
“กัปตันเต๋” เล่าต่อว่า ที่ผ่านมาผลประกอบการของเรามักเติบโตเฉลี่ยปีละ 17-18 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่จำนวนผู้โดยสารจะขยายตัว 17-18 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน ถือเป็นตัวเลขการเติบโตที่สม่ำเสมอ เราเชื่อว่าอนาคตจะยังคงรักษาระดับการเติบโตอย่างนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
สัดส่วนรายได้ของบริษัท ปัจจุบันมาจากธุรกิจสายการบิน 80 เปอร์เซ็นต์ และ13 เปอร์เซ็นต์ มาจากธุรกิจที่ได้สัมปทานจากสนามบินสุวรรณภูมิ อาทิ ธุรกิจผลิตอาหารให้ผู้โดยสารบนเครื่องบิน , ธุรกิจบริการคลังสินค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจให้บริการภาคพื้น ที่เหลือเป็นธุรกิจอื่นๆ เช่น สนามบินเกาะสมุย, สุโขทัย และตราด
“ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีรายได้ 10,980 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 10,256 ล้านบาท โดยมาจากรายได้จากการดำเนินงานกว่า 10,700 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 200 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 881 ล้านบาท เหตุผลที่มีกำไรลดลงเป็นเพราะในช่วงครึ่งปีแรกเราประสบปัญหาธุรกิจท่องเที่ยวซบเซา จากปัญหาทางการเมือง ประกอบกับ ต้นทุนการขยายเที่ยวบินเพิ่มขึ้น แต่จำนวนผู้โดยสารไม่เป็นไปตามเป้าหมาย”
“กรรมการผู้อำนวยการใหญ่” ทิ้งท้ายว่า แม้ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการบินจะมีการแข่งขัน “ดุเดือด” โดยเฉพาะการมีสายการบินต้นทุนต่ำ หรือโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ เปิดให้บริการเส้นทางใหม่หลายทาง ทำให้เกิดการบริการทับเส้นทางบินที่เราเปิดอยู่แล้ว แต่การที่เราวางตัวเองเป็น “สายการบินระดับพรีเมี่ยม” ทำให้ผู้โดยสารไม่เปลี่ยนใจไปใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ
“ปัจจุบันบริษัทยึดแนวทางการบินมาในลักษณะ conservative แตกต่างจากอดีตที่ออกแนวบู้ 1 เดือนเ ปิด 3 เส้นทางใหม่ แต่วันนี้ก่อนจะเปิดเส้นทางใหม่ต้องศึกษาให้แน่ใจมั่นใจก่อน ออกแนวช้าแต่ขอให้ชัวร์”







