'สร้างสุข' องค์กร 'สู้ศึก' AEC

'สร้างสุข' องค์กร 'สู้ศึก' AEC

เออีซี ไม่ได้มีแต่โจทย์ธุรกิจให้แก้แต่การไหลเวียนของแรงงานเสรีกำลังจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมคนทำงานให้ต่างไปจากเดิ

“เราต้องสร้างคนในองค์กรด้วย Happy 8 ต้องวัดระดับความสุขพนักงานด้วย HAPPINOMETER วัดสุขภาวะองค์กรด้วย Happy Workplace เสริมสร้างองค์กรสุขภาวะด้วย Happy Model และให้พนักงานพัฒนาประสิทธิภาพด้วย Happy HeHa ใช้ทุกเครื่องมือชี้วัดองค์กรแห่งความสุข เพราะถ้าคนของเราแกร่ง AEC มาแบบไหนก็ไม่น่ากลัว”

เสียงสะท้อนจาก “พีระพงษ์ สุทรวิภาต” นายกสมาคมบริหารงานบุคคลภาคตะวันออก หนึ่งในผู้ร่วมเสวนา เวที Happy Workplace Forum 2014 ครั้งที่ 4 “HAPPINOMETER : From Happy Workplace to Happy AEC” ที่จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC) ที่ผ่านมา

การมาถึงของ AEC หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2558 คือโจทย์ท้าทายของทุกธุรกิจ ไม่แค่การเตรียมตัวเพื่อรับมือกับคู่แข่งขัน ทว่าการโยกย้ายแรงงานฝีมือในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ทำได้อย่างเสรี จะก่อให้เกิดสถานการณ์ “แย่งชิง” คนทำงานที่มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น

ถ้าไม่อยากสูญเสีย คนเก่ง-คนดี ของเราไป ก็ต้องทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันกับองค์กร ด้วยยาดีที่ชื่อ “ความสุข”

“ถามว่า ความสุข คืออะไร ตอบยากนะ สิ่งที่ผมใช้ชี้วัดคนทำงาน คือ เมื่อไรก็ตามที่คนของเราตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกอยากมาทำงาน โอเค..เราสอบผ่าน แต่ถ้าเมื่อไรเขาตื่นมาด้วยความคิดแวบแรกว่า จะลางานอย่างไรดี แบบนี้องค์กรเรา..ป่วย ฉะนั้นการจะดูว่า องค์กรแฮปปี้แค่ไหนให้ดูจากสถิติการลาของพนักงาน”

หนึ่งเสียงสะท้อนจากนักขับเคลื่อนความสุของค์กร “ภาณุ เสถียรพจน์” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรมนุษย์ บริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน) คนที่เชื่อว่า ผลจากความสุข จะทำให้พนักงานมีความผูกพันกับองค์กร อยากมาร่วมงานด้วย และเมื่อเข้ามาแล้วก็อยากอยู่กับองค์กรต่อไป ที่สำคัญไม่ใช่แค่อยู่เฉยๆ แต่อยากทำงานให้เต็มที่ด้วย

“ในบริษัทต่างชาติ เขาจะสำรวจความพึงพอใจ และความผูกพันของพนักงานบ่อยมาก วัดผลกันทุกปี เพื่อดูว่ายังมีอะไรอีกบ้างที่ทำให้พนักงานไม่มีความสุข ไม่เกิดความผูกพันกับองค์กร จากนั้นก็นำมาแปลงเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ เพื่อหาทางแก้ปัญหา”

เขาบอกประสบการณ์เมื่อครั้งทำงานในบริษัทต่างชาติ ที่ให้ความสำคัญกับ “สุข” ของพนักงาน หัวใจในการเพิ่มผลิตภาพและความรักความผูกพันกับองค์กร

ยิ่งในวันที่สภาพแวดล้อมทางธุรกิจแปรเปลี่ยน โจทย์ใหญ่ไม่ใช่แค่ประเทศไทยหรือคนไทย แต่คือ ความเป็นพลเมืองอาเซียน ตัวเร่งให้ทุกองค์กร ต้องรีบปรับตัวและหันมาใส่ใจในเรื่องนี้

“ทำอย่างไรให้คนที่เข้ามาทำงานในไทย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไหน เขาแฮปปี้กับเรา อย่าคิดว่าเขาเป็นพลเมืองชั้นสอง หรือคนขายแรงงานเท่านั้น ในทางกลับกันถ้าเราส่งคนไปอยู่ต่างประเทศ เราจะมีระบบรองรับอย่างไร ที่จะทำให้เขามีความสุข สามารถไปสร้างผลงานให้กับองค์กรได้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดนี้คือโจทย์ของ Happy Workplace”

ความสุขในองค์กร ไม่แค่สร้างความรักความผูกพันระหว่าง "คน" กับ "องค์กร" แต่ทว่ายังทำให้คนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย แม้เมื่อวันที่องค์กรต้องปรับกลยุทธ์ เพื่อสู้ศึก AEC

“สุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล” ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) แบ่งปันประสบการณ์ สมัยยังเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ บริษัท ไทยคาเนตะ จำกัด ผู้ผลิตเสื้อผ้าส่งออก ที่ต้องการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ จากตลาด Mass มาสู่ตลาด Niche นำส่งสินค้าพรีเมี่ยมไปสู่ตลาดสิงคโปร์ ทำให้ต้องใช้ความร่วมมือจากพนักงาน มาทำในสิ่งทีไม่เคยคุ้น แนวทางของไทยคาเนตะ คือ การเตรียมคนให้พร้อม ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างการทำโครงการโรงเรียนในโรงงาน เพื่อให้พนักงานได้มีความรู้เพิ่มขึ้น ดูแลทั้งเรื่องชีวิตความเป็นอยู่และองค์ความรู้ของพนักงาน บนความเชื่อที่ว่า

‘งานที่ดี เกิดจากคนที่มีคุณภาพ และคนที่มีคุณภาพ ก็มักเป็นคนที่ตื่นรู้ต่อสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ’

“พอเปลี่ยนมาเป็นงาน Niche พนักงานบอกว่า จะเอาจริงเหรอ งานนี้ยากมากนะ ล็อตก็เล็ก ทำแล้วไม่คุ้ม ทำได้วันละไม่กี่ตัว แถมยังเสียค่าใช้จ่ายสูงอีก แต่ผมเชื่อว่า นี่เป็นทางเลือกหนึ่งที่เอสเอ็มอีอย่างเราจะรอดได้ เพราะเราจะเติบโตได้ ถ้ามีกลยุทธ์ กล้าแตกต่าง กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ ก็ยืนยันกับพนักงานไปว่าเราจะทำอย่างนี้”

การสื่อสารอย่างใกล้ชิด บวกอบรมและพัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง ทำให้พนักงานเริ่มยอมรับในงานท้าทาย เขาว่า หน้าที่ของผู้นำก็คือ การทำให้คนทำงานได้อย่างมีความสุข เพราะ “ความสุข” จะสร้างประสิทธิภาพของงาน

“เมื่อมีความจำเป็นจะต้องปรับกลยุทธ์สู่อีกรูปแบบหนึ่ง การมีส่วนร่วมกับพนักงานมีความสำคัญมาก ผมมองว่า ความเก่งสอนกันได้ไม่ยาก เพราะสอนไปสักพักก็เก่ง แต่การมีส่วนร่วมไม่สามารถสอนกันได้ จนกว่าเขาจะเปิดใจรับ”

และนั่นคือเหตุผลที่การปรับตัวครั้งนี้ ต้องเริ่มจากนำความสุขมาให้พนักงานก่อน เพื่อดึงความมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้น ผ่านการทำกิจกรรมให้คนมีความสุข และเมื่อพนักงานกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อองค์กรแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของบริษัท ที่จะต้องตอบแทนด้วยผลประโยชน์ที่เขาควรจะได้รับ

“บริษัทจะมีความสุข ก็ต่อเมื่อลูกค้ามีความสุข ถ้าลูกค้ามีความสุขเขาก็จะกลับมาซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น พนักงานก็จะมีความสุขตามไปด้วย เพราะรายได้ตอบแทนจะเพิ่มมากขึ้น”

นี่คือนโยบายที่ชัดเจนของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ “สมจิต ปัญญาศักดิ์” ผู้อำนวยการฝ่ายการวางแผนและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำมาเล่าสู่กันฟัง

การเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีพนักงานอยู่ในมือนับ 8 พันคน การที่จะดูแลให้พนักงานทุกคนมีความสุขได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แนวทางของโตโยต้า พวกเขาใช้คำสามคำ นำสุขสู่องค์กร นั่นคือ “สวัสดี สบายดี สนุกดี”

“สวัสดี เป็นเรื่องของการสื่อสาร พบปะ ทักทายกัน สร้างความคุ้นเคยให้กันและกัน สบายดี เป็นเรื่องของสุขภาพ ที่ดี ส่วนสนุกดี ครอบคลุมแทบทุกอย่าง เพราะถ้าคนทำงานไม่สนุกก็ยากที่จะสัมฤทธิ์ผลตามวัตถุประสงค์ของบริษัทได้”

จากนั้นก็แตกออกมาเป็นนโยบายสร้างสุข อาทิ การให้รายได้ในระดับแถวหน้าของอุตสาหกรรม มีสวัสดิการที่ดีที่สุด ทั้งพนักงานและครอบครัว อบรมการวางแผนทางการเงินให้กับพนักงาน มีนโยบายด้านความปลอดภัยของพนักงาน และการดูแลสุขภาพคนทำงาน มีการสื่อสารกับพนักงาน ตลอดจนพัฒนาบทบาทของผู้จัดการ เหล่านี้เป็นต้น

“ถามว่า AEC เปิดมา กลัวคนของเราไหลไปอยู่ที่อื่นไหม ไม่วิตกเลย เพราะมั่นใจว่า ระบบของเราดี” เขาบอก

ก่อนจะย้ำว่า สำหรับโตโยต้า พนักงานมีความสุขอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องช่วยเหลือสังคมด้วย

ขณะที่ “เสกสรรค์ จันทร์ขวาง” ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขาภาคกลาง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) บอกเราว่า พวกเขาสร้างความสุขให้พนักงาน ด้วยการให้เรียนรู้จากความทุกข์ของลูกค้า ที่มาของ “สุขจากการให้” สุขจากการที่ได้ทำให้คนอื่นพ้นทุกข์ ก่อนทิ้งท้ายประเด็นน่าคิดไว้ว่า

“เรากำลังสร้างสุขให้กับพนักงานในที่ทำงาน แต่กับเด็กรุ่นใหม่ กลัวเขาจะติดกับดักความสุข เพราะเขาอยู่ในยุคที่มีความพร้อมทุกอย่าง ไม่เหมือนรุ่นพี่ที่ต้องขวนขวาย และสร้างสุขขึ้นมาด้วยตัวเอง ฉะนั้นเด็กยุคนี้ เขาจะไม่ตื่นตัวในการทำงาน ไม่ขวยขวายออกไปดูแลลูกค้า นี่คือสิ่งที่องค์กรจะต้องระมัดระวัง เพราะถ้าคนของเราติดกับดักความสุข เมื่อเปิด AEC เราจะเป็นประเทศเดียวที่เสียเปรียบ” เขาสะท้อนความคิด

ปิดท้ายกับผลสำรวจสถานการณ์ความสุขคนทำงานในประเทศไทย ด้วยเครื่องมือวัดระดับความสุของค์กร HAPPINOMETER ที่สำรวจคนทำงานกว่า 96,700 คน จาก 274 องค์กร ในเวลา 3 ปี พบว่า ด้านจิตวิญญาณดีได้คะแนนสูงสุดทุกปี แต่ที่ยังต่ำก็คือ มิติด้าน การผ่อนคลาย สุขภาพการเงิน และสังคม

เหล่านี้คือโจทย์ที่ธุรกิจต้องไปจัดการแก้ไข เพื่อให้องค์กรพร้อมรับมือกับ AEC ด้วยพลังแห่งความสุข