กะเทาะแก่นคิด "ธีรพงศ์ จันศิริ"

กะเทาะแก่นคิด "ธีรพงศ์ จันศิริ"

“แตกไลน์ธุรกิจ” ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการขยายอาณาจักรอาหารทะเลTUF “ธีรพงศ์ จันศิริ” แม่ทัพใหญ่ เชื่อเช่นนั้น

ไม่บ่อยครั้งนักที่นักธุรกิจแสนล้าน “ช้าง-ธีรพงศ์ จันศิริ” ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือ TUF จะมีเวลานั่งเอนหลังจิบกาแฟยามบ่ายกับนักข่าวแปลกหน้า เขาเลือกห้องบิสซิเนส รูม โรงแรม The Okura เป็นสถานที่บอกเล่าอนาคตของอาณาจักรปลาทูน่า

แม้จะยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง เพราะเพิ่งกลับมาจากงานช่วงเช้า แต่นักธุรกิจรายใหญ่ ก็ไม่รีรอที่จะนั่งแจกแจงแผนธุรกิจควบคู่การทานแซนวิชทูน่าของโปรด เขาจิบน้ำเปล่าดับความเหนื่อยพลางยื่นมือขอเอกสารจาก “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ทันทีที่ถูกตั้งคำถามว่า เหตุใดสัดส่วนการถือหุ้นของเขาและบิดาเชื้อสายจีนแต้จิ๋ววัย 80 ปี “ไกรสร จันศิริ” จึงถูกแทนที่ด้วยบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (สัดส่วนการถือหุ้น 7.53-6.27-6.42 เปอร์เซ็นต์) ตามลำดับ

“สัดส่วนการถือหุ้นเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เขาทำหน้างงๆ ผมไม่ได้ขายหุ้น TUF ออกมาเลยนะ ตรงข้ามอยากซื้อเพิ่มด้วยซ้ำ แต่ไม่มีเงิน (หัวเราะ) แม้บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จะถือหุ้นอันดับหนึ่งแทนที่ผม แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หรือคุณคิดว่ามีอะไรน่าห่วง” เขาย้อนถามกลับ “บิสวีค”

จากการตรวจสอบพบว่า “ตระกูลจันศิริ” ได้รับเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 ประมาณ 282 ล้านบาท หากคิดจากสัดส่วนการถือหุ้น 21.39 เปอร์เซ็นต์ ณ วันปิดสมุดทะเบียน 11 มี.ค.2557 โดยในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว 2,471 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 2.15 บาท เทียบกับปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 2,852 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 2.49 บาท

วันนี้ราคาหุ้น TUF ถือว่าซื้อขายตามพื้นฐานแล้วหรือยัง เขาตอบว่า ทุกวันนี้นักลงทุนให้มูลค่าหุ้น TUF ตามกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้นถ้านักลงทุนเชื่อว่า จากนี้บริษัทจะมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง ราคาหุ้น TUF คงขยับไปมากกว่านี้ “ช้าง” บอกถึงความเชื่อของตัวเอง

วันนี้สภาพคล่องหุ้น TUF อยู่สูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมามีกองทุนเข้ามาขอซื้อหุ้น TUF ตลอด ก่อนเกิดวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ในปี 2551 เราเคยเป็นบริษัทที่มีนักลงทุนต่างชาติถือมากสุดประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ แต่วันนี้มีสัดส่วนอยู่เพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนักลงทุนกองทุนต่างชาติค่อนข้างชอบหุ้น TUF เห็นได้จากการถือระยะยาว

ที่ผ่านมา TUF มีนักลงทุนรายย่อยไม่มาก เพราะหุ้นเรามีความหวือหวาน้อยออกแนวไม่มันส์ (หัวเราะ) เขาย้อนถามบิสวีคว่า คุณคิดว่ากองทุนต่างๆฉลาดหรือไม่ ที่ถือหุ้น TUF ไม่ถือได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมาเราให้ผลตอบแทนทั้งในแง่เงินปันผลและราคาดีตลอด ถามว่านักวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมาย 82 บาท มีความคิดเห็นอย่างไร “ช้าง” ตอบสั้นๆว่า เขาคงวิเคราะห์จากพื้นฐานทั้งหมดของเรา

"ชายผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม” ย้ำป้าหมายผลประกอบการว่า จากนี้ไปพื้นฐานของเรา น่าจะโอเคมากขึ้น ในเรื่องของรายได้เชื่อว่า ในปี 2557 จะยืนระดับ 4,000 ล้านดอลลาร์ ปี 2558 ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ เป้าหมายท้าทายถัดไปคือ ปี 2563 ประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์ หากย้อนดูผลประกอบการในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า เราขยายตัวอย่างต่อเนื่องอาจมีบ้างปีที่ลดลง แต่เป็นการตกลงเพียงสั้นๆแล้วก็ดีดขึ้นมา กราฟรายได้ของเราเปรียบเหมือนกราฟชีวิต เขาทำมือเป็นคลื่นๆ

“เราพยายามจะทำอัตรากำไรสุทธิให้ได้ 5 เปอร์เซ็นต์ทุกปี”

ในปี 2563 อยากเห็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ปลาทูน่าและกุ้งมีอัตราส่วนที่สูงขึ้น วันนี้ปลาทูน่าและกุ้งมีสัดส่วน 48 และ 25 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ฉะนั้นผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงควรขยายตัวแบบ DOUDLE DIGITส่วนปลาซาร์ดีนและปลาแซลมอนต้องขยายตัวแบบ HI SINGLE DIGIT เอาเป็นว่า ผลิตภัณฑ์ทุกตัวควรมีรายได้โตปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ และสัดส่วนรายได้ควรบวกลบ 5 เปอร์เซ็นต์ในแต่ละผลิตภัณฑ์

“เราไม่จำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์ใหม่ หากยังเห็นโอกาสในผลิตภัณฑ์เดิมๆ ถ้าจะแตกไลน์เราต้องถามตัวเองก่อนว่า มีจุดแข็งอะไรไปสู้คนอื่น เพราะทุกผลิตภัณฑ์มีแชมป์อยู่แล้วทุกตัว เงินอย่างเดียวไม่เพียงพอต้องมีความเชี่ยวชาญด้วย”

ที่ผ่านมาเราอยากเห็นธุรกิจเติบโตตลอด เพียงแต่ข้อเท็จจริงทางธุรกิจมักมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ ยกตัวอย่าง ในปี 2556 TUF สะดุด หลังเจอปัญหาโรคกุ้ง และการลงทุนที่ไม่เป็นไปตามแผน หลังฝ่ายบริหารจัดการไม่สามารถทำงานได้ตามแผนที่วางไว้ ส่งผลให้กำไรสุทธิในปี 2556 หายไปครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับปี 2555

เขาขยายความเรื่องปัญหาการลงทุนในปีก่อนว่า เกิดจากบริษัท ยูเอส เพ็ท นูทรีชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์ทั้งแบบแห้งและแบบเปียก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัทได้เข้าลงทุนในสัดส่วน 99 เปอร์เซ็นต์ ช่วงนั้นเขาประสบปัญหาขาดทุนค่อนข้างเยอะ แต่ตอนนี้ TUF แก้ปัญหาเสร็จแล้ว คาดว่าบริษัทดังกล่าวจะเริ่มกลับมาทำกำไรได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2557 หลังได้ปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารใหม่

ถามว่าจะเดินทางไปคว้าเป้าหมาย 8,000 ล้านดอลลาร์ได้ด้วยวิธีใด “ช้าง” ตอบว่า ข้อแรก เพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ตัวเดิมๆ ข้อสอง เพิ่มตลาดใหม่ๆ ข้อสาม เพิ่มการลงทุนใหม่ๆ ทั้ง 3 ข้อต้องก้าวขาไปพร้อมๆกัน โดยปกติในช่วง 5 ปีแรกของการธุรกิจอาหารมักเติบโตก้าวกระโดด ทุกอย่างที่เริ่มจากศูนย์จะเป็นเช่นนี้ แต่หลังจากนั้นธุรกิจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ด้วยการเติบโตประมาณปีละ 10-15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเป็นเช่นนั้นเราต้องพยายามหาการลงทุนใหม่ๆ ต้องทำอะไรที่มากกว่า “Organic Gowth” (เติบโตจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ของบริษัท)

ปัจจุบัน TUF มี 6 กลุ่มธุรกิจหลัก นั่นคือ ปลาทูน่าแช่แข็ง,กุ้งแช่แข็ง,อาหารสัตว์เลี้ยง, แซลมอน ,ปลาซาร์ดีน และอาหารพร้อมทาน ในส่วนของปลาทูน่า วันนี้ฐานการผลิตปลาทูน่าของ TUF ถือว่าครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งเราแข็งแกร่งทั้งกองเรือ และแบรนด์หลักที่สามารถเข้าถึงคอนซูมเมอร์ได้เป็นอย่างดี

แต่ในส่วนของแบรนด์ ยอมรับว่า ในแถบยุโรป TUF แข็งแกร่งเพียง 5 ประเทศ นั่นคือ ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี เนเธอร์แลน์ด และไอซ์แลนด์ ฉะนั้นยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ตอนนี้เรากำลังเล็งจะขยายแบรนด์เข้าไปสู่ประเทศเยอรมัน สแกนดิเนเวีย และตะวันออกกลาง โดยจะพยายามเข้าไปในประเทศที่มีขนาดใหญ่ และให้ผลตอบแทนที่ดี

ถามถึงรูปแบบการลงทุน “เจ้าพ่อปลาทูน่า” เผยความลับว่า เราพร้อมพิจารณาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในลักษณะจับมือกับพันธมิตร และลงทุนด้วยตนเองร้อยเปอร์เซ็นต์ เร็วๆนี้จะมีเพื่อนใหม่หรือไม่ “ช้าง” เล่าว่า บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่ถ้าดูจากผลงานในอดีต TUF ไม่เคยหยุดนิ่ง เรามองหาโอกาสการลงทุนตลอดเวลา เพียงแต่ต้องดูโอกาสและจังหวะเวลา ล่าสุด TUF แสดงความสนใจอยากซื้อบริษัท บัมเบิล บีฟู้ดส์ ผู้ผลิตและจำหน่ายปลาทูน่า และปลาซาร์ดีนรายใหญ่ที่สุดของทวีปอเมริกาเหนือ

“จะลงทุนทุกปีหรือไม่คงต้องดูปัจจัยทางการเงินเป็นหลัก ถ้าลงทุนแล้วทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน หรือ D/E สูงขึ้นคงต้องชะลอไปก่อน แต่ถ้ามีโอกาสแบบที่เคยเข้าไปลงทุนในบริษัท แพ็คฟู๊ด จำกัด หรือ PPC ที่ใช้เงินไม่เยอะแบบนี้เราลงทุนได้เลย”

ปกติบริษัทจะแบ่งเงินลงทุนตามขนาด โดยขนาดใหญ่จะมีมูลค่าลงทุนหลักหมื่นล้านบาท ขนาดกลาง 5,000 ล้านบาท และขนาดเล็กจะต่ำกว่าหลักร้อยล้านบาท พูดง่ายๆการลงทุนอะไรที่ทำให้อัตราหนี้สินต่อหุ้นสูงเกิน 1 เท่า TUF จะเรียกว่า ขนาดใหญ่ ปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุนเฉลี่ย 0.8 เท่า นั่นแปลว่า ยังมีช่องว่างในการลงทุนอีกมาก

ผลตอบแทนคุ้มค่าต่อหนึ่งดีลควรอยู่ระดับเท่าไหร่ นายใหญ่ เล่าว่า ถ้าเป็นการลงทุนในประเทศไทย ในแง่ของการผลิตผลตอบแทนควรมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นการลงทุนในแบรนด์ หรือการลงทุนในต่างประเทศยอมรับว่า อาจต่ำเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ ดีลที่ดีควรมีผลตอบแทนสูงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์

“เราต้องมีวินัยเรื่องการลงทุน มันไม่มีเหตุผลที่จะลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะเราลงทุนด้วยผลตอบแทน ไม่ใช่เพราะความอยาก”

วันนี้มีดีลที่อยู่ระหว่างเจรจาหรือไม่ เขาบอกว่า แวดวงนี้ทุกคนรู้จักกันหมด ซึ่งเรามักเป็นอันดับต้นๆที่เขาจะมาชวนลงทุน เชื่อว่า ภายใน 1-2 ปี มีดีลใหม่ๆเกิดขึ้นแน่นอน จริงๆต้องคุยกันเป็นเดือนมากกว่าปีนะ เขาส่งสัญญาณ เราดูงานใหม่ๆตลอด แต่ที่ไม่พูด เพราะขณะที่อยู่ระหว่างการเจรจามันมีโอกาสสำเร็จและไม่สำเร็จ ฉะนั้นขอพูดเมื่อทุกอย่างจบแล้วน่าจะดีกว่า

ขอบอกแบบนี้แล้วกัน TUF จะไม่แตกไลน์ไปในธุรกิจอื่นๆ รับรองไม่มีเซอร์ไพรส์แน่นอน โดยเราจะลงทุนต่อยอดในธุรกิจหลักที่มีอยู่แล้ว ซึ่งอาจขยายตัวไปในประเทศเดิมๆอย่างสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป เพราะประเทศเหล่านี้มีขนาดใหญ่และยังคงน่าสนใจเหมือนเดิม หรืออาจขยายตัวไปในประเทศใหม่ๆ เช่น ประเทศที่กำลังพัฒนา เป็นต้น

หนึ่งดีลใช้เวลาเจรจานานเท่าไหร่ “ประธานกรรมการบริหาร” ตอบว่า ขึ้นอยู่กับขนาดและรายละเอียด ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน แต่บริษัท เอ็มดับบลิว แบรนด์ส เอสเอเอส จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารทะเลบรรจุกระป๋องแบบครบวงจรใช้เวลาเจรจา 1 ปี นานเพราะขนาดใหญ่รายละเอียดยุ่งยาก และมีคนเข้ามาร่วมเยอะ

ถามว่าก่อนตัดสินใจลงทุน TUF ให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรมากที่สุด “ช้าง” ตอบว่าการทำดีลดิลิเจนท์ ทั้งเรื่องการเงิน และกฎหมาย รวมถึงยังให้ความสำคัญในการรสร้างโมเดลขึ้นมาดูว่า อนาคตบริษัทแห่งนี้จะสามารถร่วมมือกับTUF เพื่อทำงานอะไรได้บ้าง และความเสี่ยงมีอะไรบ้าง เรียกว่าพิจารณาทุกรายละเอียด

หากเป็นบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ปกติเขาจะเติบโตในระดับ SINGLE DIGIT (เติบโตด้วยเลขหลักเดียว) แต่เมื่อ TUF เข้าไปร่วมทำงานด้วยแล้ว เขาจะขยายตัวเป็น DOUDLE DIGIT (เติบโตด้วยเลขสองหลัก) ทันที หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ที่สำคัญเมื่อเข้าไปลงทุนแล้ว เราต้องคืนทุนภายใน 6-7 ปี สำหรับบริษัทในประเทศ ส่วนบริษัทต่างประเทศน่าจะใช้เวลาคืนทุน 3-4 ปี

“ธรรมภิบาลของเจ้ของ ถือเป็นเรื่องที่ต้องดูเป็นอันดับแรกๆ ส่วนเรื่องอื่นๆ เราจัดการได้ สำหรับ TUF เรื่องราคา และผลตอบแทนที่เหมาะสมสำคัญที่สุด”

เขาเล่าต่อว่า หากเรามั่นใจว่า ธุรกิจที่จะเข้าลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี บริษัทจะเข้าไปชิมลางด้วยการถือหุ้น 25 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป หลังจากนั้นจะใช้เวลาประเมินและติดตามผลงาน 2-3 ปี หากพบว่าเติบโตในระดับที่ดีอาจพิจารณาถือหุ้นเพิ่มเติม แต่จะมากขึ้นเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของจะให้มากน้อยแค่ไหน และอุตสาหกรรมนั้นขยายตัวเท่าไหร่ ส่วนเรื่องเงินลงทุนเรามักนำมาจากเงินกู้ ขายหุ้นเพิ่มทุน หรือเงินทุนหมุนเวียน

“TUF ไม่ใช่บริษัทดูยาก เราไม่คยทำอะไรนอกเหนือจากที่พูด”

เมื่อถามถึงวิธีเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น “ชายวัย 49ปี” บอกว่า ข้อแรก คือ เพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ (Value Added) ข้อสอง เพิ่มนวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Innovations) ในส่วนของการเพิ่มูลค่าของผลิตภัณฑ์ เราจะมุ่งเน้นทำสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าอุตสาหกรรม ที่ผ่านมาเราตั้งเป้าหมายกำไรขั้นต้นของแต่ละสินค้าไว้ระดับ 15 เปอร์เซ็นต์

แต่ในอนาคตอยากเห็นอัตรากำไรขั้นต้นแต่ละสินค้ายืนระดับ 20 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา สินค้าของเรามีอัตรากำไรขั้นต้น 16 เปอร์เซ็นต์ ในอดีตเคยทำได้สูง 17 เปอร์เซ็นต์ หลังเข้าไปลงทุนบริษัท เอ็มดับบลิว แบรนด์ส เอสเอเสอ จำกัด ซึ่งธุรกิจนี้มีกำไรขั้นต้นสูงมาก

วันนี้กุ้งแปรรูปมีกำไรขั้นต้นต่ำกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ถามว่ากำไรขั้นต้นต่ำแล้วเราจะไม่ทำหรือในเมื่อมันเป็นธุรกิจหลักของเรา ฉะนั้นหน้าที่ของ TUF คือ เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ เพื่อดันกำไรขั้นต้นให้สูงขึ้น เช่น การนำกุ้งมาทำเป็นกุ้งซูชิ หรือกุ้งชุปแป้งทอด เป็นต้น ส่วนเรื่องนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เราเพิ่งลงทุนเรื่อง GLOBAL INNOVATION CENTER ในปีนี้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้เวลา แต่นวัตกรรมจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเช่นกัน

มีงานเร่งด่วนต้องรีบแก้ไขหรือไม่ “ธีรพงศ์” บอกว่า ที่ผ่านมาองค์กรของเราปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะ เช่น ทุกครั้งที่เข้าไปลงทุนในต่างประเทศต้องมีวิธีการจัดการที่รัดกุม เป็นต้น คำตอบนี้กำลังบ่งบอกว่า “ไม่มี” ส่วน “จุดเด่น” ของ TUF คือ มีบุคลากรที่ทุ่มเท, เป็นองค์กรที่ฝักใฝ่ในการเรียนรู้ และมีความตั้งใจพัฒนาองค์กรไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น

เวลาเจอเรื่องไม่คาดฝันมีวิธีจัดการอย่างไร เราต้องเข้าใจก่อนว่า สิ่งที่ไม่คาดฝันมีโอกาสเกิดขึ้นทุกวัน ฉะนั้นเราต้องตอบสนองหรือหาวิธีมารองรับเรื่องเหล่านี้ ดังนั้น TUF ต้องมีภูมิคุ้มกันตัวเองเยอะๆ ที่ผ่านมาคนของ TUF จะเข้าใจว่า ความไม่แน่นอนมีมากมายแค่ไหน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รุนแรง เราเห็นวิกฤติมาแล้วจนชิน

“กำไรสวยหรือไม่สวยไม่สำคัญเท่ากับว่า เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง และเราทำได้ดีกว่าคนที่อยู่ในแวดวงเดียวกันหรือไม่”

ถามเรื่องลงทุนส่วนตัว “ช้าง” เล่าสั้นๆว่า หุ้น,อสังหาริมทรัพย์,ตราสารหนี้ ส่วนใหญ่จะลงทุนสินทรัพย์ประเภทนี้ เพราะไม่ค่อยมีเวลา ที่ผ่านมาไม่ได้แบ่งพอร์ตลงทุน ส่วนใหญ่จะดูตามผลตอบแทนตัวไหนให้มากก็ลงทุนแบบนั้น อย่างในช่วงนี้ตลาดหุ้นดีให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8 เปอร์เซ็นต์

“ที่ผ่านมาอาจเห็นผมซื้อหุ้น IPO นั่นเป็นเพราะผมรู้จักกับเจ้าของ ปัจจุบันมีหุ้น เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป หรือ M นิดหน่อย ผมสนิทกับ “ฤทธิ์ ธีระโกเมน” ตั้งใจจะถือไปเรื่อยๆ”

ปกติชอบหุ้นพื้นฐานดี และไม่ชอบหุ้นหวือหวา ถามว่าหุ้นตัวไหนสร้างผลตอบแทนดีที่สุด เขาส่ายหัวเป็นคำตอบ “ผมจำได้แค่ว่าประทับใจหุ้นตัวเอง (TUF) เพราะลงทุนมาตั้งแต่ต้น ปัจจุบันราคาหุ้น TUF มาไกลมาก ฉะนั้นเราจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป

“ไม่มีใครรู้ว่าหุ้น TUFจะขึ้นไปถึงไหน ผมเองก็ไม่รู้ แต่ถ้ามั่นใจในบริษัทและผู้บริหารก็ค่อยๆลงทุน เพราะหุ้น TUF ให้เงินปันผลเฉลี่ย 2-3 เปอร์เซ็นต์ ลงทุนหุ้น TUF รับรองซื้อแล้ว “นอนหลับสบาย” เราอยู่ในตลาดมา 20 ปี เราไม่ใช่หุ้นใหม่ เรามีสถิติการเติบโตให้คุณดูตลอด”