บิ๊กมูฟ ทรัพย์ศรีไทย จัดทัพ "เกรฮาวด์" บุกโลก

บิ๊กมูฟ ทรัพย์ศรีไทย จัดทัพ "เกรฮาวด์" บุกโลก

ดีลเล็กปูพรมสู่เป้าหมายใหญ่ ทรัพย์ศรีไทยรุกสู่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ ปั้นเกรฮาวด์ขายแฟรนไชส์ซี ล่าตำแหน่งโกลบอลแบรนด

เป็นอีกดีลที่ปิดฉากซื้อขายกิจการกันเรียบร้อย ระหว่างบริษัท มัดแมน จำกัด ใต้อาณัติของบริษัท ทรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SST ผู้ดำเนินธุรกิจจัดเก็บเอกสาร/ทรัพย์สิน บริการให้เช่าและบริหารพื้นที่รองรับการจัดเก็บสินค้า สต็อกสินค้าและท่าเทียบเรือ ที่เข้าซื้อกิจการ "ธุรกิจเสื้อผ้าและร้านอาหารแบรนด์เกรฮาวด์" ของบริษัท เกรฮาวด์ จำกัด (แฟชั่น) และบริษัท เกรฮาวด์ คาเฟ่ จำกัด (ค่าเฟ่)

ด้วยมูลค่าดีล 1,853.80 ล้านบาท

เบื้องลึกเบื้องหลังดีลเป็นอย่างไรหลายคนอย่างรู้ว่า ทำไมคนอย่าง "ภาณุ อิงคะวัต" ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารกลุ่มบริษัทเกรฮาวด์ ถึงยอมปิดตำนาน 3 ทศวรรษ “เจ้าของแบรนด์ไทย” ที่ยืนหยัดต่อกรกับธุรกิจเสื้อผ้าแบรนด์เนมและธุรกิจร้านอาหารระดับโลก มาขายกิจการให้กับผู้ดำเนินธุรกิจบริการคลังสินค้า ธุรกิจดั้งเดิมของทรัพย์ศรีไทย

หลังดีลจบแต่ธุรกิจเพิ่งเริ่มต้น ที่ทั้งมัดแมน และเกรฮาวด์ พูดตรงกันว่า..

นี่คือก้าวเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา

สำหรับทรัพย์ศรีไทย (มัดแมน) นี่คือการรุกสู่ธุรกิจ “ไลฟ์สไตล์” เสริมอาณาจักรให้บริการคลังสินค้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบันเหลือรายได้ในธุรกิจให้บริการคลังสินค้าอยู่เพียง 10% ของรายได้รวมเครือ โดยมีรายได้จากอาหารและเครื่องดื่ม (Food and beverage : F&B) ภายใต้แบรนด์ในมืออย่าง ดังกิ้นโดนัท โอปองแปง และบาสกิ้นร้อบบินส์ กลายเป็นเรือธง ในสัดส่วนรายได้สูงถึง 80-90%

ขณะที่ธุรกิจอาหารและแฟชั่นอย่าง “เกรฮาวด์” ก็ประกาศกร้าวก้าวสำคัญของธุรกิจหลังขายกิจการให้ทรัพย์ศรีไทยว่า..

งานนี้ขอเดิมพันดันยี่ห้อไทยไป “โกลบอลแบรนด์”

3 คีย์แมน “ภาณุ อิงคะวัต” ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารกลุ่มบริษัทเกรฮาวด์ “พรศิริ โรจน์เมธา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกรฮาวด์ คาเฟ่ จำกัด และ “นาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มัดแมน จำกัด เลือกทำเลร้านอาหารเกรฮาวด์ คาเฟ่ สาขา Groove เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นสถานที่ “เปิดใจ” ถึงดีลและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนธุรกิจของพวกเขานับจากนี้

-ตั้งโต๊ะดีล "เกือบปี"

“จริงๆ เป็นแผนการเติบโตของเกรฮาวด์อยู่แล้ว ที่เราอยากจะไปสู่ภูมิภาคและตลาดระดับอินเตอร์เนชั่นแนลมากขึ้น ซึ่งตรงนี้(ดีล)ถ้าดูในต่างประเทศเป็นเรื่องปกติมากที่แบรนด์ขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ต้องการเพิ่มศักยภาพตัวเองทั้งโนวฮาว(องค์ความรู้) คู่ค้า คู่คิด และเงินทุน เมื่อ win win ทั้งคู่ และเราก็แฮปปี้กับพันธมิตรใหม่ เพราะมี Chemistry ในการทำงานร่วมกัน เหมาะที่จะเติบโตไปด้วยกัน” ภาณุ ฉายภาพ

ทว่า ก่อนที่เคมีจะทำปฏิกิริยาต้องกัน ทั้ง 2 บริษัทหารือกันนาน "ร่วมปี" โดยทรัพย์ศรีไทยส่ง “มัดแมน” มาทาบทามเกรฮาวด์ ซึ่งเป็นจังหวะปะเหมาะเมื่อภาณุก็กำลังศึกษาการร่วมทุนธุรกิจเช่นกัน แถมยัง “เนื้อหอม” เพราะมีหลายบริษัทดอดมาเจรจา

“ตอนนั้นมีทั้งบิ๊กเนม และผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจหลากหลายมาคุย แต่มัดแมนชนะเพราะเคมีเข้ากัน” ภาณุเล่า ก่อนขยายความว่า..บริษัทต้องการนักลงทุนที่เข้าใจและส่งเสริมบริษัทได้ถูกทิศถูกทาง ช่วย “อุด” ช่องโหว่ปิด “จุดอ่อน” และสำคัญสุดคือ "ฟูมฟัก" พนักงานร้านอาหารและเสื้อผ้าร่วม 500-700 ชีวิต ให้ Happy

ด้านหญิงเหล็กอย่าง “พรศิริ” อีกหนึ่งผู้บริหารเกรฮาวด์ คาเฟ่ กล่าวสำทับว่า เคมีที่เข้ากันหมายถึงทุกฝ่าย “นั่งยิ้มด้วยกันได้” จบประโยคก็เรียกเสียงหัวเราะจากพาร์ทเนอร์อย่าง “นาดิม” ซีอีโอมัดแมน ได้ทันที ก่อนจะขยายความว่า การเลือกมัดแมน เพื่อ “เติมเต็ม” ธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานร่วมกัน ส่งผ่านถึงพนักงานได้ด้วย

นี่คือหัวใจหลัก มากกว่าเงินทุนซึ่งเป็นประเด็นรองด้วยซ้ำ เธอเล่า

“อย่าลืมว่าเราโตมาจากเอสเอ็มอี ถ้าเราไปเป็นคู่ ก็จะก้าวได้เร็วก้าวได้ทัน และเข้าเป้าอย่างมีประสิทธิภาพ”

ฟากมิตรใหม่ “นาดิม” ออกตัวว่า "นี่ไม่ใช่การเทคโอเวอร์ แต่เป็นการ Merger หรือ Joint กันมากกว่า"

นาดิมยังบอกด้วยว่า ดีลนี้ถือเป็นการ"ซื้อโอกาส" เพราะแบรนด์สุดเจ๋งอย่างเกรฮาวด์ที่หาไม่ได้อีกแล้ว ก่อนเล่าว่าการผนึกพลังครั้งนี้เหมือนการ “แต่งงาน” ที่ต้องดูตัว ศึกษาบุคลิกภาพ และความคิดของอีกฝ่ายก่อนตัดสินใจจรดปากกาลงนามซื้อขายหุ้น

ถามว่า “กระสุนทุน” จำเป็นไหม? ที่จะเสริมใยเหล็กให้ธุรกิจ ทั้ง 3 ประสานเป็นเสียงเดียวกันว่า “แน่นอน”

นาดิมลั่นคำนี้สั้นๆ ก่อนจะย้อนถามว่า "คุณรู้จักเอสเอสทีกับน้ำตาลขอนแก่นใช่ไหม นั่น(แหล่งทุน)จะมาช่วยเสริมแกร่ง และการเงิน โดยคุณศุภสิทธิ์ สุขนะนิล(กรรมการ SST)เป็นญาติกับน้ำตาลขอนแก่น โดยน้ำตาลขอนแก่นก็อยากไดเวอร์ซิไฟด์ธุรกิจจากน้ำตาลด้วย เกิดเป็นไอเดียที่ดี เลยได้เงินทุนมา 300 ล้านบาท จากการแลกหุ้นกัน"

ขณะที่ภาณุ บอกว่า "คุณ(นาดิม)เป็นเอทีเอ็มของผม..You are my ATM" ทั้งสามหัวเราะชอบใจคำตอบ

-ดันโมเดล "แฟรนไชส์ซี" โตก้าวกระโดด

นาดิม ยังอธิบายรายละเอียดของดีลว่า ทางเทคนิคของดีลคือการแลกหุ้นบางส่วน เกรฮาวด์เข้าไปถือหุ้นในมัดแมน 15.67% และภาณุ ได้เข้าไปนั่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท(Board of Director)ตั้งแต่วันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเดียวที่รายงานต่อตลาดหลัพทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เช่นเดียวกับ "พรศิริ" หน้าที่อนาคตอาจดึงไปคุมทัพแบรนด์อื่นเพิ่ม ขณะที่นาดิมก็เข้าไปนั่งเป็นบอร์ดของเกรฮาวด์เช่นกัน

เขาขยายความถึงวิธีบริหารธุรกิจของมัดแมนว่า จะมีทีมส่วนกลางสนับสนุน โดยแต่ละแบรนด์จะมีทีมบริหารของตนเองอยู่แล้ว ในส่วนของเกรฮาวด์เขาแสดงเจตนาว่าไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร เพียงแต่ตอนนี้จะทำงานเป็นทีมมากขึ้น

“เป็นเรื่องสำคัญมาก คุณค่าของบริษัทถ้าแมเนจเมนท์ไม่อยู่ต่อ เรารวมธุรกิจกันได้อย่างไร ถ้าคุณภาณุไม่อยู่ต่อเราก็แย่แล้ว คุณพรศิริเองก็ทำอะไรมาเยอะ” นาดิม เล่า และว่า

แนวทางธุรกิจจากนี้ไปทรัพย์ศรีไทยโดย "มัดแมน" จะช่วยปรับระบบ "ซัพพลายเชน" ร่วมกันซื้อสินค้าจากผู้ผลิต(ซัพพลายเออร์) โลจิสติกส์ ไอที ระบบบริการ ณ จุดขาย(POS)ฯ รองรับการบุกตลาดต่างประเทศในอนาคต เมื่อมีแฟรนไชส์ซี (ผู้รับสิทธิ์ดำเนินธุรกิจตามระบบเจ้าของกำหนด) ที่ต้องอ้าแขนรับยอดขายทุกวัน

นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทซึ่งสั่งสมประสบการณ์ธุรกิจมาจนเก๋าเกม ก็ถึงเวลานำความรู้มาปันกัน เพราะฝ่ายหนึ่งเป็นทีมงานที่ก่อตัวจาก "ครีเอทีฟ" ผลงานจึงละเอียดละเมียดละไม

"เราต้อง Share best practice กัน ผมว่าเกรฮาวด์ไม่ใช่แค่เกรฮาวด์ที่จะได้แค่ข้อมูลข่าวสารจากเรา เพราะยิ่งไปดูหลังบ้านของเกรฮาวด์ยิ่ง Impress ยิ่งน่าเรียนรู้ ผมว่านี่เป็นทีมที่มาจากครีเอทีฟ ทั้งสองท่านทำงานละเอียดมาก ของเราอาจไม่ละเอียดเท่า(หัวเราะ) ซึ่งอาจจะมาช่วยสนับสนุนมัดแมนหรือต้องปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำให้สินค้าดูดีขึ้น ดูสวยขึ้น มีมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น" นาดิม เล่า

ขณะที่ภาณุเสริมว่า ทีมงานของเกรฮาวด์ยังเหมือนเดิม โดยพรศิริ ยังนั่งเก้าอี้เอ็มดี ตัวเขาเป็นประธานของเกรฮาวด์ทั้งกรุ๊ป ชลิตา ไววิทยะ กรรมการผู้จัดการ เกรฮาวด์ ก็ยังดูแลเสื้อผ้าเหมือนเดิม ไม่มีอะไรปรับเปลี่ยน แต่นาดิม จะเข้ามาเป็นที่ปรึกษา

-กางยุทธ์ศาสตร์ต่อยอดเกรฮาวด์

ทั้งสามผู้บริหารยังพูดตรงกันว่า แม้ยังไม่สรุปชัดว่าประเทศใดจะมีบทบาทสำคัญที่ทรัพย์ศรีไทยจะพาเกรฮาวด์ไปบุกตลาด แต่โครงร่างที่พอจะเปิดเผยได้คือ ยังคงขยายสาขาร้านอาหาร 3-4 สาขาต่อปี และตั้งตนเป็นแฟรนไชส์ซอว์ (เจ้าของสิทธิ์) ที่จะฟูมฟักแบรนด์ให้เติบใหญ่ แล้วลุยหาพาร์ทเนอร์ทั่วโลกมาเป็นแฟรนไชส์ซีช่วยลงทุนและขยายธุรกิจแบบติด “สปีด”

“เราไม่ต้องการลงทุน แต่ต้องมีพาร์ทเนอร์เก่งๆ ที่เขามีอำนาจ เวลาเซ็นสัญญากับพาร์เนอร์ต่างประเทศ ผมแนะนำว่าควรจะมีกลุ่มใหญ่ที่เปิดร้านได้ 15-20 สาขาต่อปี ถ้าน้อยกว่านั้นอย่าไปเสียเวลาคุยกับเขา นี่เป็นความเห็นของผม”

นาดิม ยังบอกว่า เพราะทรัพย์ศรีไทยมีหลายแบรนด์ที่บริหารอยู่ ทั้งโอปองแปง ดังกิ้นโดนัท บาสกิ้นร้อบบิ้นส์ รวมเปิด 30-40 สาขาต่อปีทั้งที่โอกาสขยายธุรกิจมีมาก แต่ที่ผ่านมามีข้อจำกัดจากเจ้าของสิทธิ์ที่อนุมัติให้เปิดสาขาใหม่ได้เท่านี้ แต่พอถึงทีเป็นเจ้าของสิทธิ์ (เกรฮาวด์) เอง จึงต้องบริหารพอร์ตให้ดี

พรศิริ ฉายภาพว่า เกรฮาวด์คาเฟ่ มีแฟรนไชส์ซีพาร์ทเนอร์ทั้งฮ่องกงและจีนตุนไว้แล้ว และกำลังลงนามบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น (MOU)กับนักลงทุนในมาเลซีย และยังเตรียมศึกษาตลาดดูไบ สิงคโปร์ และประเทศอื่นอีกมาก

แบรนด์ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ พรศิริ ระบุ ในอนาคตยังจะสยายปีกธุรกิจเพื่อต่อยอดแบรนด์แม่อย่างเกรฮาวด์

โดยภาณุ เผยว่า ปีหน้าจะเห็นการสปีดของธุรกิจคู่ขนานทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ตลาดในประเทศ มีแผนจะบุกตลาดภูธร และเมืองท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต หัวหิน ที่เกรฮาวด์ไม่เคยชิมลางมาก่อน

-------------------------------------------------------

Go...Global !!

8 ปีก่อน "กรุงเทพเมืองแฟชั่น" เปิดโลกทัศน์ให้ภาณุ รู้ระบบการทำงานระดับ "อินเตอร์" อย่างแท้จริงว่า “แฟชั่น ซิสเทม” เป็นมากกว่าการผลิต ซื้อมาขายไป ประกอบกับการทำธุรกิจที่สมรภูมิในไทยมีแบรนด์ใหญ่ยักษ์จากต่างแดนเข้ามาเต็มไปหมด รับมือการแข่งขันกระหน่ำ "Sale" ดูดขาช็อป ทำให้แบรนด์ไทยที่เพิ่งคลอด ต้องเสียโอกาสทางการค้ามหาศาล

วันนี้เกรฮาวด์จึงขอก้าวไปเจาะทั้งตลาดระดับภูมิภาค อาเซียน เอเชีย และระดับโลก !!

"ถ้าอยู่ในเมืองไทยเฉยๆ ไม่ต้องไปไหนเลย เราก็กำลังแข่งอยู่กับแบรนด์ระดับโลกบนสมรภูการค้าในเมืองไทย" โจทย์นี้เป็นแรงขับให้ทั้งมัดแมนและเกรฮาวด์ กำหนดวิสัยทัศน์ใหญ่ ปั้นแบรนด์ไทยพันธุ์ “เกรฮาวด์” สู่ระดับ “เวิลด์คลาส”

ทว่า..อุปสรรคในอดีตที่เกรฮาวด์นั่นคือการติดกับดักคำว่า“ไม่รู้เขา” ล่าสุดก็ประสบปัญหาในดูไบ ต่างจาก “นาดิม” ที่ยกหูกริ๊ง!เดียว เช็กข้อมูลได้ครบว่า "ใครเป็นใคร" พ่วงตัวเลือกใหม่ให้กับบริษัทคัดสรรเพิ่มเติมด้วย

นี่คือสิ่งที่มัดแมนจะมาเติมเต็มให้เกรฮาวด์

“คุณนาดิมคอนเน็กชั่นเต็มไปหมดเลย” ภาณุจึงต้องพร้อมไปลงทุนในต่างประเทศ ที่ไม่ใช่แค่มีพาร์ทเนอร์ในต่างแดน หรือใช้โมเดล “แฟรนไชส์ซี” หนุนการเติบโต

แต่บริษัทต้องพัฒนาระบบ องค์ความรู้ให้ปึ้ก และเพิ่มขนาดของธุรกิจ ไว้สร้างแต้มต่อและสู้นานาประเทศ เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าแบรนด์ที่มาจากเมืองไทยก็เจ๋งได้ ลบคำสบประมาทจากต่างชาติ

"You 're from Thailand you should be cheap" ทั้งที่สินค้าไทยดีมีคุณภาพไม่แพ้ใคร ซ้ำร้ายประโยคดังกล่าวเป็นภาพลักษณ์ตราสินค้าไทยไปซะแล้ว นาดิมเสริม

“ไปแล้วไม่ใช่ว่าเราตกเป็นลูกไล่คู่แข่งที่โน่น เราต้อง lead (นำ) เขาได้ในระดับหนึ่ง” เขามุ่งมั่นและขยายความว่า

“สิ่งหนึ่งที่คุณนาดิมพูดเสมอ ว่าเกรฮาวด์ไปเติบโตที่อื่นได้ มันมี Thai Flag หรือธงชาติไทยปักไปด้วยนะ เนี่ยคือความภูมิใจที่เขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเอาไทยแบรนด์ออกไปสู่ต่างประเทศ”

พรศิริ บอกว่า บริษัทเดินหน้าสรรค์สร้างคู่มือ วิธีการบริหารงานร้านของเกรฮาวด์เต็มรูปแบบ เพื่อใช้สร้างแบรนด์ให้มี “คุณภาพ” เทียบเท่ากันทุกแห่งทั้งสาขาในและต่างประเทศ นี่คือความท้าทายของธุรกิจโดยเฉพาะ “อาหาร” รวมทั้งมุ่งสร้าง “แบรนด์” ให้แกร่ง โดยมีมัดแมนช่วยเสริมกำลังให้เกรฮาวด์เป็นอย่างดี

"หากโตแบบไม่มีคุณภาพเราก็ไม่เอา แต่วันนี้เราต้องเติบโตในรีจินัลให้แข็งแรงก่อน” พรศิริ กล่าว

-------------------------------------------------------

ดึงแบรนด์ใหม่

เสริมพอร์ตไลฟ์สไตล์

“นาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มัดแมน จำกัด หัวเรือใหญ่คนใหม่ของเกรฮาวด์ แบไต๋ถึงทิศทางธุรกิจของทรัพย์ศรีไทยจากนี้ไป จะมุ่งสู่ธุรกิจไลฟ์สไตล์มากขึ้น เฉพาะการรวมตัวกับเกรฮาวด์ครั้งนี้ จะส่งผลให้ยอดขายของมัดแมนในปี 2557 เติบโต 50% จากยอดขาย 2,000 ล้านบาท เกรฮาวด์อีก 1,000 ล้านบาท โดยในระยะยาวมองอัตราการเติบโต 20% ต่อปี

ปัจจุบันมัดแมนทำรายได้มากกว่า 80% ให้ทรัพย์ศรีไทย ล่าสุดบริษัทขายกิจการน้ำมันพืชทิพ ออกไปหลังขาดทุนสะสมต่อเนื่องกว่า 100 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคลังสินค้าค่อยๆ ปรับตัวขึ้นไม่หวือหวา แต่ EBITDA(กำไรที่เกิดจากการดำเนินงาน)ดีมากประมาณ 50% แต่ขยับขึ้นช้าๆ

ส่วนการ “คืนทุน” หลังซื้อกิจการนั้นยังไม่คำนวณตัวเลข

ดังนั้นระยะยาวจะเห็นการขยายแบรนด์เกรฮาวด์สู่ธุรกิจใหม่ๆ เพิ่ม

“ไม่แน่อาจจะเห็นโรงแรมในชื่อเกรฮาวด์ หรือ Something else ก็ได้ เพราะเมื่อได้ยินชื่อเกรฮาวด์ ผู้บริโภคมีความเชื่อใจในแบรนด์อยู่แล้ว”

นอกจากดีลเกรฮาวด์ นาดิมแง้มอีกว่า ปีนี้อาจได้เห็นทรัพย์ศรีไทยปิดดีลใหม่เพิ่มเติมด้วย เพราะที่ผ่านมามีการเจรจาซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการดึงแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมธุรกิจไลฟ์สไตล์

“ล่าสุด(28ก.ค.57) เราคุยกับแบรนด์ดังจากสหรัฐฯ เขาต้องการให้ลิขสิทธิ์เราขยายตลาดรุกเอเชียแปซิฟิก ซึ่งบริษัทก็พิจารณาอยู่ เพราะต้องการบาลานซ์ระหว่างแบรนด์บริษัทและที่ยืมคนอื่นมา ถ้าถามจริงๆ เป็นแบรนด์ที่อยู่ในโปรไฟล์ของเรา ต้องการดูแลเองดีกว่า และไม่แน่ปีนี้จะมีปิดดีลอีก”

--------------------------------------------------------

จาก "คลังสินค้า" สู่ "ธุรกิจอาหาร"

เปิดเส้นทางการลงทุน “ทรัพย์ศรีไทย” จากธุรกิจ “คลังสินค้าและท่าเทียบเรือ” มุ่งสู่ “ธุรกิจอาหาร” โดย บมจ.ทรัพย์ศรีไทย หรือ SST ก่อตั้งมาตั้งแต่ปลายปี 2519 ประกอบกิจการประเภทคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2537 เดิมเป็นบริษัทในเครือของธนาคารไทยพาณิชย์ ต่อมาประมาณปลายปี 2548 ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ขายหุ้นทั้งหมด 78.29% แบ่งขายให้ กลุ่ม “ศุภสิทธิ์ สุขะนินทร์” ซึ่งเป็นหลานชายตระกูล “ชินธรรมมิตร์” เจ้าของ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น หรือ KSL และ “กมล เอี้ยวศิวิกูล” เจ้าของไมด้า แอสเซ็ท แต่หลังจากนั้นไม่ถึงปี “กมล” ต้องการสภาพคล่องจึงขายหุ้นคืนทั้งหมด

ทำให้ กลุ่มศุภสิทธิ์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ SST ด้วยความเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่เขาเริ่มมองหาแนวทางขยายการลงทุนเพราะธุรกิจเดิมมีการแข่งขันสูงและขยายธุรกิจต่อไปได้ยาก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ทรัพย์ศรีไทยเริ่มเข้าไปซื้อกิจการ บริษัท อุตสาหกรรมวิวัฒน์ จำกัด เพื่อซื้อสิทธิในเครื่องหมายการค้า “น้ำมันพืชทิพ” ของ หม่อมอรพินทร์ ดิศกุล ณ อยุธยา มูลค่าการลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2553 ก็ขายทรัพย์สินส่วนใหญ่ของบริษัท ที่ดิน 9 ไร่ 2 งาน 65 ตารางวา และโกดังเอกสาร 9 หลัง รวมพื้นที่ 15,340 ตารางเมตร มูลค่า 675 ล้านบาท ให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบมีกรรมสิทธิ์ทรัพย์ศรีไทย โดยบริษัทถือหุ้น 33.33% แล้วทรัพย์ศรีไทย เช่าทรัพย์สินจากกองทุนมาบริหารต่อมีระยะเวลา 10 ปี และต่ออายุสัญญาได้อีกคราวละ 10 ปี

ต่อมาในเดือนมกราคม 2555 บริษัทได้เข้าสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ด้วยการ เข้าซื้อหุ้น 100% ในบริษัท มัดแมน จำกัด บริษัท โกลเด้นโดนัท (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เอบีพีคาเฟ่ (ประเทศไทย)จำกัด โดยบริษัท โกลเด้นโดนัท (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทที่ถือ สิทธิในการประกอบธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ “Dunkin Donut” ในประเทศไทย ส่วน บริษัท เอบีพีคาเฟ่ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทที่ถือสิทธิในการประกอบธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม แบรนด์ “Au Bon Pain” ในประเทศไทย หลังจากนั้นบริษัทยังได้ขยายกิจการต่อไปในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยได้ซื้อสินทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจจำหน่ายไอศกรีมแบรนด์ “Baskin Robbins” แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยโดยผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท โกลเด้นสกู๊ป จำกัด

การที่ “ทรัพย์ศรีไทย” ประกาศเข้าซื้อกิจการร้านเบเกอรี่ Au Bon Pain และ Dunkin’ Donuts สาขาในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งครั้งนี้นับว่าเป็นการพลิกโฉมธุรกิจครั้งสำคัญของธุรกิจคลังสินค้าเก่าแก่ของไทย

แต่ผลประกอบการย้อนหลังของ SST ยัง “ขาดทุน” ต่อเนื่องแม้จะมีธุรกิจอาหารเข้ามา โดยปี 2555 บริษัทมีรายได้ 2,222.95 ล้านบาท มีขาดทุนสุทธิ 181.71 ล้านบาท ปี 2556 มีรายได้ 2,201.12 ล้านบาท มีขาดทุนสุทธิ 107.70 ล้านบาท และไตรมาส 1/57 บริษัทมีรายได้ 526.08 ล้านบาท มีขาดทุนสุทธิ 23.81 ล้านบาท

ล่าสุด SST และ บริษัท มัดแมน จำกัด (มัดแมน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้เข้าซื้อหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิทั้งหมดของบริษัท เกรฮาวด์ จำกัด (แฟชั่น) จำนวน 969,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท และหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิทั้งหมดบริษัท เกรฮาวด์ คาเฟ่ จำกัด (คาเฟ่) จำนวน 107,843 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของแฟชั่นและคาเฟ่ ราคารวมทั้งสิ้น 1,853.80 ล้านบาท

โดยการเข้าทำรายการในครั้งนี้มีแหล่งเงินทุน 3 แหล่ง ได้แก่ (1) การออกหุ้นเพิ่มทุนของมัดแมน (2) เงินกู้จากสถาบันการเงิน และ (3) เงินกู้จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของแฟชั่นและคาเฟ่ ซึ่งในสัญญากู้ยืมได้ระบุเงื่อนไขว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลได้ก็ต่อเมื่ออัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้1(DSCR) ซึ่งคำนวณโดยใช้งบการเงินรวมของบริษัทไม่ต่ำกว่า 1.25:1 หรือเป็นการจ่ายเงินปันผลเพื่อบริหารจัดการเงินสดภายในกลุ่มบริษัทหรือเป็นการจ่ายหุ้นปันผล