สยายปีกส่งออก "เอ็กโซติค ฟู้ด"

สยายปีกส่งออก "เอ็กโซติค ฟู้ด"

“จิตติพร จันทรัช” เอ็มดีใหญ่ บมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด การันตีตัวเลขเติบโต 15 เปอร์เซ็นต์ทุกปี พร้อมรุกตลาดอาเซียน

“2 ปี (2558-2559) ยอดขายโตเฉลี่ย 15 เปอร์เซ็นต์”

นี่คือคำมั่นสัญญาของชายไร้ปริญญา “คิด-จิตติพร จันทรัช” กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด หรือ XO ผู้ผลิตจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสและเครื่องประกอบอาหารไทย ภายใต้ตราสินค้า EXOTIC FOOD, THAI PRIDE,FLYING GOOSE, COCO LOTO น้องใหม่ IPO ที่มีแผนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ด้วยการขายหุ้นไอพีโอ 70 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ (พาร์) 0.50 บาท

“แม้ไม่จบปริญญา แต่ผมก็เป็นเจ้าของธุรกิจได้” หุ้นใหญ่ XO สัดส่วน 66.76 เปอร์เซ็นต์ (ตัวเลขหลังขายหุ้นไอพีโอ) พูดความในใจให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟัง “จิตติพร” ย้อนประวัติส่วนตัวก่อนลงลึกถึงแผนธุรกิจว่า “ผมมองเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงตัดสินใจเลิกเรียนปริญญาตรีในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อออกมาทำธุรกิจ หากวันนั้นไม่ตัดสินใจเช่นนี้ วันนี้คงไม่มีโอกาสมาบอกเรื่องราวดีๆให้ฟัง”

ถามถึง “จุดกำเนิด” ของบมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด “ชายวัย 40 ปี” เล่าว่า ช่วงที่เรียนหนังสือในต่างประเทศ เราเห็นว่าวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารไทยค่อนข้างหายากมีเพียงไม่กี่ชนิด เช่น น้ำจิ้มไก่แม่ ประนอม เป็นต้น ทำให้ตัดสินใจบินกลับมาเปิดบริษัทในปี 2542 ร่วมกับน้องสาว แรกเริ่มบริษัทผลิตสินค้า 30 รายการ เช่น กะทิ-น้ำปลา-แกงแดง-แกงเขียว-เครื่องปรุงต้มยำ-ซอสพริก เป็นต้น

จากนั้นในปี 2543 บริษัทตัดสินใจสร้างโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ก่อนจะซื้อที่ดิน 12 ไร่ 3 งาน 2.8 ตารางวา ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี เพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ปัจจุบันโรงงานของบริษัทสามารถผลิตสินค้าและจำหน่ายในแบรนด์ของตัวเอง 75 เปอร์เซ็นต์ และจัดหาและจำหน่าย 25 เปอร์เซ็นต์

สำหรับยอดขายในปีแรกบริษัททำได้เพียง 10 ล้านบาท แต่วันนี้มียอดขายสูงถึง 608 ล้านบาท กลยุทธ์ของบริษัท คือ เข้าไปจำหน่ายผลิตภัณฑ์กว่า 250 สูตร ตามโมเดิร์นเทรดในประเทศต่างๆ ปัจจุบันส่งออกไปจำหน่ายแล้วกว่า 50 ประเทศ โดยมีสัดส่วนการส่งออกกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด

เน้นกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป 77.33 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มประเทศในทวีปอเมริกา 7.76 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มประเทศในทวีปอื่นๆ 14.76 เปอร์เซ็นต์ (ตัวเลขในปี 2556) ส่วนตัวเลขการจำหน่ายในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2557 มีสัดส่วนรายได้ 76.39-6.13-17.38 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

ปัจจุบันบริษัทเน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 5 กลุ่มหลัก คือ ซอสปรุงรสและน้ำจิ้มต่างๆ,เครื่องแกงเครื่องประกอบอาหาร ,เครื่องดื่มจากผักและผลไม้ ,อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน อาหารกึ่งสำเร็จรูป และอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ โดยมีสัดส่วนการจำหน่าย 64.42 -13.58- 8.63- 3.13- 10.24 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

“จิตติพร” บอกถึงปัจจัยที่จะทำให้รายได้ในช่วง 2 ปีข้างหน้าขยายตัวเฉลี่ย 15 เปอร์เซ็นต์ว่า “ตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม” เขาพูดยืนยัน ปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสมีขนาดใหญ่มาก เชื่อหรือไม่!! เมื่อปี 2556 ซอสปรุงรสยี่ห้อ “คิโคแมน” ประเทศญี่ปุ่นมียอดขายสูงถึง 99,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมียอดขายเพียง 608 ล้านบาท ฉะนั้นเรายังมีโอกาสเติบโตในผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสอีกมาก

ในปี 2556 ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสของเมืองไทยมีมูลค่าและปริมาณส่งออก 16,796 ล้านบาท และ 265,364 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีมูลค่า 15,662 ล้านบาท และปริมาณส่งออก 246,132 ตัน โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น,สหรัฐอเมริกา,ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่า สิ้นปี 2556 มีจำนวนโรงงานเครื่องปรุงกลิ่น รส หรือสีของอาหารในประเทศไทยประมาณ 376 โรงงาน

เขา เล่าต่อว่า ปี 2558 บริษัทจะเน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในแถบอาเซียนและสหรัฐอเมริกามากขึ้น โดยในแถบอาเซียนเราจะเข้าไปในประเทศสิงคโปร์,มาเลเซีย,ฟิลิปินส์ และอินโดนีเซีย เบื้องต้นคาดว่าจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 10-15 รายการ โดยเราจะปรับปรุงรสชาติให้เข้ากับคนเอเชียมากขึ้น จากนั้นในปี 2559 จะเจาะตลาดเมืองจีนและออสเตรเลียเป็นประเทศต่อไป

“ที่ผ่านมาเรานำผลิตภัณฑ์ออกไปแสดงสินค้าในประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาลูกค้ารายใหม่ๆ ในอดีตเคยนำแสดงสินค้าแล้วได้ลูกค้ารายใหญ่กลับมา 2 ราย”

ปัจจุบันกำลังการผลิตของบริษัทเกือบเต็ม “ร้อยเปอร์เซ็นต์” แล้ว ฉะนั้นเราจึงมีแผนขยายกำลังการผลิตโรงงานใหม่ในช่วงไตรมาส 4/2557 ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ มูลค่าลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้างโรงงาน 80 ล้านบาท และซื้อเครื่องจักร 170 ล้านบาทหลังเดินเครื่องผลิตได้ในช่วง 4/2558 บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

ถามถึงแผนธุรกิจในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า “หุ้นใหญ่” ตั้งเป้าหมายว่า ยอดขายต้องแตะระดับ 1,000 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนรายได้กลุ่มประเทศในทวีปยุโรปจะเปลี่ยนเป็น 65 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 35 เปอร์เซ็นต์ จะกระจายอยู่ในทวีปอื่นๆทั่วโลก ซึ่งโรงงานแห่งใหม่จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดขายก้าวกระโดด เพราะจะทำให้เรามีตลาดใหม่ๆเกิดขึ้น

เขา พูดถึงยอดขายในปี 2557 ทิ้งท้ายว่า คงขยายตัวไม่ต่ำกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในแง่ของอัตรากำไรสุทธิน่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติระดับ 8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนที่อยู่ระดับ 1.5 เปอร์เซ็นต์ โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ 7.8 เปอร์เซ็นต์ เหตุผลที่ปีก่อนบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิระดับต่ำ เพราะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนระบบบัญชีแบบใหม่

ในช่วงไตรมาส 1/2557 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า 179.17 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 114.34 ล้าน บาท ขณะเดียวกันยังมีอัตรากำไรขั้นต้น 59.26 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ 22.09 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีกำไรสุทธิ 14.02 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 2.95 ล้านบาท

“ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกว่าอนาคตจะมีแต่เรื่องดีๆ”

ลงทุนตามเพื่อนวีไอ

“จิตติพร จันทรัช” เล่าเรื่องลงทุนส่วนตัวให้ฟังว่า หลังเรียนจบวิชาที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในโรงเรียนนานาชาติ ทำให้เกิดความคิดอยากลงทุนทันที แต่อายุแค่ 17 ปี ทำให้ไม่มีเงินลงทุนจึงตัดสินใจไปขอให้พ่อเปิดพอร์ตลงทุน โดยที่เราจะเป็นคนซื้อขายด้วยตัวเอง หุ้นตัวแรก คือ หุ้น กฤษดามหานคร หรือ KMC ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.เอคิว เอสเตท หรือ AQ ตอนนั้นซื้อมา 60 บาท และขายตอน 100 กว่าบาท

ถามถึงกลยุทธ์ลงทุนในปัจจุบัน เขาบอกว่า ส่วนใหญ่จะซื้อตามเพื่อนสนิทที่เป็นนักลงทุนวีไอ เพื่อนคนนี้เก่งมากและพอร์ตใหญ่ หลักการลงทุนง่ายๆ คือ เพื่อนจะเป็นคนเลือกหุ้นพื้นฐานดี และราคาไม่แพง โดยใช้หลักเกณฑ์ของวีไอ สาเหตุที่เลือกซื้อตามเพื่อน เพราะเราไม่มีเวลานั่งดูหุ้นต้องทุ่มเวลาทั้งหมดในการทำงาน

ปัจจุบันมีหุ้นในมือไม่ถึง 10 ตัว อาทิ หุ้น เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป หรือ MAJOR ที่เลือกลงทุนหุ้นตัวนี้ เนื่องจากบริษัทมีแผนขยายสาขาออกไปในต่างจังหวัดมากขึ้น หุ้น แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ หรือ GRAND ชอบเพราะในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีการรับรู้รายได้ค่อนข้างเยอะ สุดท้าย คือ หุ้น สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ หรือ SGP หุ้นตัวนี้เพื่อนแนะนำ

“ผมชอบหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 5-7 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันมีพอร์ตลงทุน “หลักสิบล้านบาท” ขอแค่พอร์ตเติบโตปีละ 20-25 เปอร์เซ็นต์ แค่นี้ก็พอใจแล้ว”