"สยามแก๊สมินิ" อนาคต "ทาคูนิ กรุ๊ป"

"สยามแก๊สมินิ" อนาคต "ทาคูนิ กรุ๊ป"

ไม่เกิน 5 ปี ยอดขายก๊าซ LPG “ทาคูนิ กรุ๊ป” ต้องขึ้นแท่น 1 หมื่นตันต่อเดือน “ประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์”

“ภรรยาผสมชื่อลูกสาวคนโต “นิตา” กับลูกชายคนสุดท้อง “ฐากูร” เข้าด้วยกันจึงออกมาเป็นชื่อ “บมจ.ทาคูนิ กรุ๊ป” หรือ TAKUNI บริษัทแห่งนี้สัญชาติไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีทุนญี่ปุ่นแม้แต่หุ้นเดียว” “ประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์” ผู้ก่อตั้ง “ทาคูนิ กรุ๊ป” น้องใหม่ IPO ที่มีแผนจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 19 ส.ค.นี้ ราคา 1.60 บาท ถือโอกาสไขข้อข้องใจในคำถามที่ถูกยกมือถามบ่อยที่สุดกับ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week”

ธุรกิจหลักของ “ทาคูมิ กรุ๊ป” คือ 1.ธุรกิจจัดหาจำหน่ายและขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภายใต้เครื่องหมายการค้า “แชมป์เปี้ยนแก๊ส” โดยการจัดจำหน่ายก๊าซ LPG ของบริษัทจะอยู่ภายใต้การทำงานของบริษัทแม่ ซึ่งงานดังกล่าวจะมีลักษณะคล้าย “บมจ.สยามแก๊สแอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์” หรือ SGP ส่วนงานขนส่งก๊าซ LPG จะอยู่ภายใต้การดูแลของ บริษัทในเครือ “จีแก๊ส โลจิสติกส์” หรือ GC โดยธุรกิจจะมีหน้าตาเหมือนบมจ.เกียรติธนา ขนส่ง หรือ KIAT

2.ธุรกิจบริการติดตั้งระบบก๊าซและจำหน่ายอุปกรณ์ ซึ่งอยู่ภายใต้การทำงานของบริษัทในเครือ “ทาคูนิ (ประเทศไทย)” หรือ TT ลักษณะงานคล้ายบมจ.ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น หรือ TRC สุดท้าย คือ ธุรกิจบริการทดสอบและตรวจสอบด้านความปลอดภัยทางวิศวกรรม ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทในเครือ “ราชพฤกษ์วิศวกรรม” หรือ RE โดยลักษณะงานจะเหมือนของบมจ.ไทย เอ็น ดี ที หรือ TNDT และ บมจ.ควอลลีเทค หรือ QLT

ในปี 2556 บริษัทมีรายได้จากการจัดจำหน่ายและขนส่งก๊าซ LPG ,รายได้จากการ บริการติดตั้งระบบก๊าซและจำหน่ายอุปกรณ์,รายได้จากการบริการตรวจสอบความปลอดภัย ทางวิศวกรรม 91.37-5.11-3.52 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ปัจจุบันบริษัทมีคลังเก็บก๊าซ 2 แห่ง เพื่อใช้เป็นจุดกระจายสินค้าและสำรองก๊าซ คือ นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตรปริมาณ 1,000 ตัน และจังหวัดปทุมธานี 400 ตัน

ขณะที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการจัดหาและจำหน่ายก๊าซ LPG ให้กับสถานีบริการก๊าซ LPG ประมาณ 92.74-94.37 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีกประมาณ 4.65 -5.09 เปอร์เซ็นต์ เป็นรายได้จากการจำหน่ายให้กับลูกค้าในกลุ่มอื่นๆ อาทิ โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงและมีถังบรรจุก๊าซ LPG เป็นของตนเอง

หลังบริษัทเข้าตลาดหุ้น ด้วยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน IPO จำนวน 100 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น “ตระกูลตรีวีรานุวัฒน์” จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงจาก 80 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 60 เปอร์เซ็นต์ โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้นไอพีโอจะนำไปลงทุนในสถานีบริการก๊าซ LPG โดยมีเป้าหมาย 10 แห่ง ภายใน 3 ปี เฉลี่ยปีละ 3 แห่ง

“ประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์” กรรมการผู้จัดการ ควงคู่ทายาทคนโตวัย 27 ปี “กี้-นิตา ตรีวีรานุวัฒน์” ในฐานะรองกรรมการ “ทาคูนิ กรุ๊ป” ดีกรีปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 2 สาขาวิศวกรรมศาสตร์ เครื่องกล จาก University of Nottingham และปริญญาโท การเงินจาก Queen Mary, University of London ประเทศอังกฤษ เพื่อมาบอกเล่ายุทธศาสตร์การเติบโต หลังตีตั๋วเป็นสมาชิกตลาดหุ้น

บมจ.สยามแก๊สแอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ หรือ SGP คือ ไอดอลในการทำธุรกิจของบริษัทอนาคตเราอยากเป็น “สยามแก๊สมินิ” พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า บริษัทกำลังจะไต่ระดับขึ้นไปเทียบชั้น SGP “เราไม่กล้า”

เพียงแต่บริษัทมีความฝันว่า ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า (2557-2561) อยากมียอดขายก๊าซ LPG ประมาณ 10,000 ตันต่อเดือน หรือคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณขายก๊าซ LPG ของ SGP ได้ตัวเลขเท่านี้สุดแสนจะมีความสุข ปัจจุบันบริษัทมียอดขายก๊าซ LPG เฉลี่ยเดือนละ 4,500-5,000 ตัน แต่เมื่อคลังก๊าซจังหวัดปทุมธานีเปิดเราจะมียอดขายก๊าซเพิ่มขึ้นอีก 2,000 ตันต่อเดือน

ก่อนจะลงลึกถึงแผนงาน “กี้-นิตา” เล่าว่า หลังเรียนจบปริญญาโท ตัดสินใจเดินไปบอกพ่อว่า มีแผนจะเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินของพ่อให้ได้ 10 เท่า จากปัจจุบันที่มีมูลค่า 400 ล้านบาท แต่จะทำเช่นนั้นได้พ่อต้องยอมนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นนะ

ช่วงแรกๆพ่อลูกทะเลาะกันแทบทุกวัน พ่อถึงขนาดเอ่ยถามเราว่า “จะเอาธุรกิจพ่อไปขายหรอ” ด้วยความที่พ่อไม่เข้าใจเรื่องตลาดหุ้น ทำให้ต้องใช้เวลาในการอธิบายสักพักใหญ่ๆแต่เมื่อพ่อเริ่มเข้าใจมากขึ่น ท่านก็เริ่มออกหาข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ โดยเฉพาะของ SGP เพื่อมาช่วยประกอบการตัดสินใจ

“ประเสริฐ” พูดแทรกลูกสาว ด้วยการเล่าประวัติของตนเองว่า ด้วยความที่ผมเห็นคุณพ่อประสบความสำเร็จในการทำอู่แท็กซี่ 100 กว่าคัน แถวบางขุนเทียน ทำให้ในปี 2527 ผมตัดสินใจเลิกทำร้านขายอะไหล่รถยนต์ เพื่อหันมาเปิดสถานีบริการน้ำมัน ภายใต้ชื่อ “ตรีวีรานุวัฒน์” ทำไปได้สักระยะราคาน้ำมันเริ่มแพงขึ้น ผมจึงหันมาเปิดสถานีบริการก๊าซ LPG แทน ปัจจุบันได้ขายสถานีบริการน้ำมันไปแล้วหลายแห่งคงเหลืออยู่ในมือไม่กี่แห่ง ส่วนใหญ่ให้พี่ชายเป็นคนบริหาร”

จากนั้นในปี 2538 ได้หันมาทำธุรกิจตรวจสอบระบบด้านวิศวกรรม ภายใต้ชื่อบริษัท ราชพฤกษ์วิศวกรรม ทำไมถึงสนใจธุรกิจนี้ “ประเสริฐ” ตอบว่า ด้วยความที่ทำธุรกิจสถานีน้ำมัน และก๊าซมานาน ทำให้รู้ว่า ก่อนจะเปิดธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG ได้ต้องมีการตรวจสอบด้านความปลอดภัยก่อน ช่วงแรกๆ ในการทำธุรกิจ ยอมรับทำไม่เป็นทำให้ต้องจ้างวิศวกรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานแทน เพื่อให้เราได้มีเวลาเรียนรู้ไปเรื่อยๆ

จากนั้นใน 2543 บริษัทเห็นโอกาสในการทำธุรกิจบริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวเราจึงตัดสินใจเปิดบริษัทย่อยอีกแห่งชื่อ “จีแก๊ส โลจิสติกส์” ต่อมาในปี 2545 เราหันมาเปิดบริษัทย่อยอีกหนึ่งแห่ง เพื่อทำธุรกิจบริการติดตั้งระบบท่อก๊าซอุตสาหกรรม ภายใตชื่อ “ทาคูนิ (ประเทศไทย)” ก่อนจะขยายสู่การให้บริการติดตั้งระบบก๊าซรถยนต์

ช่วงที่หันมาทำธุรกิจขนส่งก๊าซ LPG ลูกค้ารายแรกของบริษัท คือ บริษัท เชฟรอน (ประเทศไทย) จำกัด โดยเราได้ขนส่งก๊าซให้เขาเดือนละ 10,000 ตัน ทำได้ 10 กว่าปี “เชฟรอน” เลิกจ้างบริษัท ส่งผลให้เรามีรถว่างอยู่จำนวนมาก ทำให้ในปี 2550 บริษัทตัดสินใจตั้ง “ทาคูนิ กรุ๊ป” เพื่อประกอบธุรกิจจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว ภายใต้เครื่องหมายการค้า “แชมป์เปี้ยน แก๊ส”

เล่าประวัติธุรกิจจบ “ประเสริฐ” โยนเรื่องแผนธุรกิจให้ลูกสาวพูดต่อทันที “นิตา” ไม่รอช้ารีบให้คำมั่นสัญญาว่า ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า รายได้ต้องขยายตัวเฉลี่ย 15 เปอร์เซ็นต์ทุกปี ตัวเลขนี้เราทำได้แน่นอน เนื่องจากธุรกิจจำหน่ายก๊าซของบริษัทที่มีสัดส่วน 90 เปอร์เซ็นต์ แม้จะมีกำไรขั้นต้นต่ำแค่ 6 เปอร์เซ็นต์ แต่ในแง่ของรายได้ธุรกิจนี้ “เติบโตทุกปี”

ธุรกิจใดสร้างกำไรขั้นต้นสูงที่สุดให้บริษัท? “นิตา” ตอบว่า ธุรกิจบริการทดสอบและตรวจสอบด้านความปลอดภัยทางวิศวกรรม ซึ่งธุรกิจดังกล่าวสร้างกำไรขั้นต้นสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2554-2556) ธุรกิจดังกล่าวมีสัดส่วนรายได้ 3.04-3.45-3.11 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งในอนาคตเราจะเน้นทำงานในธุรกิจนี้มากขึ้น

ปี 2558 บมจ.ราชพฤกษ์วิศวกรรม อาจได้รับงานตรวจสอบถังแก๊สของบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่า 9 ล้านบาท หลังจากปี 2557 ได้รับงานตรวจสอบสถานีบริการน้ำมัน ของ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี หรือ PTG มูลค่า 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานที่สามารถรับรู้รายได้ได้ทันที ส่วนตัวเชื่อว่า เมื่อการเมืองนิ่งงานเหล่านี้จะเข้ามาเรื่อยๆ เพราะก่อนหน้านี้ภาคเอกชนไม่มีการลงทุนเลย แต่ตอนนี้การลงทุนเริ่มกลับมาแล้ว

“พ่อ” พูดเสริมลูกสาวว่า บมจ.ทาคูนิ (ประเทศไทย) และบมจ.ราชพฤกษ์วิศวกรรม จะเป็นบริษัทที่สร้างผลกำไรมากที่สุดของบมจ.ทาคูนิ กรุ๊ป เรียกได้ว่า ขยายตัวแบบ “หวือหวาและก้าวกระโดด” เขาขยายความต่อว่า บมจ.ราชพฤกษ์ เป็นบริษัทที่มีลูกค้าแน่นอน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ให้บริการก๊าซ LPG

ปัจจุบันมีการออกกฎหมายว่า ผู้ประกอบการเหล่านี้จะต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยทุกปี ทำให้ที่ผ่านมาเรามีกำไรเข้ามาสม่ำเสมอเฉลี่ยเดือนละ 700,000-800,000 บาท แต่หากได้งานตรวจสอบในโปรเจคใหม่ๆกำไรก็จะหวือหวามากกว่าเดิม

วางเป้าหมายการทำงานของบริษัทในเครืออย่างไร “ประเสริฐ” รับอาสาตอบเรื่องนี้ว่า บมจ.ทาคูนิ (ประเทศไทย) จะมุ่งเน้นการให้บริการติดตั้งระบบท่อก๊าซอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ เรามีงานรอเซ็นสัญญาแล้วมูลค่า 140 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2558 จะมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนั้นบริษัทดังกล่าวยังเน้นติดตั้งก๊าซรถยนต์ด้วย ส่วนตัวเชื่อว่า หากราคาน้ำมัน แพงขึ้นเรื่อยๆงานนี้จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เขายอมรับว่า ปัจจุบันธุรกิจดังกล่าวไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ เพราะทุกคนกำลังรอดูนโยบายด้านพลังงานว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ทำให้ไม่ค่อยมีรถยนต์มาติดตั้งก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น มีแต่รถเข้ามารับบริการซ่อมบำรุงเท่านั้น

ส่วนบมจ.ราชพฤกษ์วิศวกรรม ปัจจุบันมีกฎหมายบังคับให้ผู้ประกอบการต้องมีการตรวจสอบและวางระบบท่อก๊าซ เขาย้ำ ทำให้เรามีลูกค้าเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ที่ผ่านมาบริษัทได้ งานตรวจสอบท่อก๊าซทุกสาขาของ “บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์” ธุรกิจนี้เราค่อนข้างได้เปรียบ เพราะยังมีผู้ให้บริการน้อยราย

“ประเสริฐ” บอกว่า บมจ.ทาคูนิ กรุ๊ป อยู่ระหว่างก่อสร้างคลังเก็บก๊าซ LPG จังหวัดปทุมธานีความจุ 400 ตัน จำนวน 2 แห่ง บนพื้นที่ 7 ไร่ หากคลังแล้วเสร็จจะทำให้รายได้รวมของบริษัทขยายตัวแบบก้าวกระโดด เพราะคลังก๊าซดังกล่าวจะทำให้เรามีวอลุ่มก๊าซในย่านปทุมธานี นนทบุรี และอยุธยาประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันความต้องการใช้ก๊าชย่านดังกล่าวตกอยู่เดือนละประมาณ 30,000 ตัน

ผลประกอบการปี 2557 อาจเติบโต 10-20 เปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าธุรกิจจัดจำหน่ายและขนส่งก๊าซ LPG ซึ่งเป็นงานหลักจะสร้างความเสถียรทางการเงินให้บริษัทมากที่สุด โดยคาดว่าในปีนี้จะมีปริมาณการจำหน่ายก๊าซสูงขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2555-2556 ที่อยู่ระดับ 56,000 ตัน และ 48,000 ตัน ตามลำดับ

“การจำหน่ายก๊าซ LPG ในประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ภายใต้ระบบโควต้าที่จะต้องซื้อจาก บมจ.ปตท.หรือ PTT ที่เป็นผู้นำเข้าแต่เพียงรายเดียว ทำให้การเติบโตออกแนวไม่หวือหวา” เจ้าของ “ทาคูนิ กรุ๊ป” พูดปิดท้ายบทสนทนา