'ถามครู' เจ๋งสุด! แอพไทยที่ 1 ในสิงคโปร์

แอพพลิเคชั่นTaamkruกำลังร้อนแรงสุดๆทั้งคว้าแชมป์ที่สิงคโปร์และการเข้าร่วมลงทุนของแหล่งทุนชื่อดัง 500Startups
“คลังข้อสอบอนุบาลที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย”
คือสโลแกนเปิดตัวของแอพพลิเคชั่นสัญชาติไทยแท้ “Taamkru” (ถามครู) ประกาศความแน่! ของแอพหน้าตาพื้นๆ และชื่อแสนจะ “ไท๊ยไทย” ในภูมิภาคนี้
กับผลงานสุดร้อนแรง ตั้งแต่ไปคว้าแชมป์ในการแข่งขัน Echelon Most Promising Startup ปี 2014 เวทีรวมดาวจากกว่า 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย และยังเป็นผู้ชนะในรายการ Reality Show “The StartUP” ทางช่อง Channel News Asia ที่ประเทศสิงคโปร์อีกด้วย
นับเป็นแอพการศึกษาสัญชาติไทยแท้ ที่ขึ้นอันดับหนึ่งในสิงค์โปร์ ประเทศที่ได้ชื่อว่า “การศึกษาดีที่สุด”
ที่เด็ดไปกว่านั้น คือการดึงดูดให้นักลงทุนอย่าง “500Startups” กลุ่มทุนชื่อดังจากซิลิคอน วัลเลย์ ที่นิยมลงทุนสไตล์ “กระจายการลงทุน-กระจายความเสี่ยง” คือไม่เป็นผู้ลงทุนหลัก แต่เลือกลงทุนในหลายบริษัท ด้วยจำนวนเงินที่ไม่มาก แต่วันนี้พวกเขากลับเลือกที่จะ “ฉีกกฎเหล็ก” ด้วยการเป็น “Lead investor” ให้กับสตาร์ทอัพไทยๆ ที่ชื่อ “ถามครู”
“ทีมนี้สุดยอดมาก จนเราอยากยกให้เป็น ‘ข้อยกเว้น’ ”
คือคำตอบที่ “Khailee Ng” จาก 500Startups บอกกับทุกคน เหตุผลของการเป็นแกนนำการลงทุนในถามครูซึ่ง เป็นครั้งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยร่วมกับกลุ่มนักลงทุนจากเอเชีย อย่าง M&S Partners, IMJ Investment Partners,Ookbee , Red Dot Ventures กับเม็ดเงินลงทุนกว่า 20 ล้านบาท!
มีอะไรดีในแอพ “พื้นๆ” แอพนี้ ลองไปส่องกันที่ละเรื่อง
“ถามครู” คือ แอพพลิเคชั่นฝึกทักษะสำหรับเด็กระหว่าง 2-7 ขวบ รวบรวมรายวิชาหลักๆ ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และไอคิว โดยทำเป็น 3 ภาษา ทั้งไทย อังกฤษ และจีน และรวบรวมข้อสอบไว้มากกว่าแสนข้อ! สิ่งที่เด็กได้คือความสนุก เพราะเหมือนเล่นเกม แต่เป็นเกมความรู้บนหน้าจอสมาร์ทโฟน ทว่าที่น่าสนใจกว่านั้น คือ การสามารถเทียบผลคะแนนกับเด็กคนอื่น รวมถึงเด็กจากประเทศอื่นได้ด้วย
“ปัญหาคือที่ผ่านมากระดาษขาวดำน่าเบื่อ แต่ที่น่าเศร้าคือ สมัยก่อนเป็นอย่างไร ถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย พวกผมจึงมองว่า ถ้าจะปฏิรูปการศึกษาไทย ก็น่าจะเริ่มต้นจากจุดตรงนี้ คือ ให้เด็กเกิดความสนใจให้ได้ก่อน”
“กีรติ อินโอชานนท์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (CTO) ถามครู บอกที่มาของไอเดียที่ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเด็ก แต่ “โดนใจ” ผู้ปกครองไปเต็มๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เข้าใจ “หัวอก” ผู้ปกครองคนไทยเท่านั้น แต่คือ คนทั้งภูมิภาคนี้
“เห็นชัดเลยว่า ศักยภาพทางการตลาดมีเยอะมาก เพราะพ่อแม่ในภูมิภาคนี้ เอาเงินไปลงในการศึกษาของลูกทั้งนั้น ยอมจ่าย จนในบางครั้งเป็นการจ่ายเงินที่ตัวเองไม่มีด้วยซ้ำ เพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด ซึ่งไม่แค่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นะ แต่คือ เอเชียทั้งหมด มันมหาศาลมาก” หนึ่งในกลุ่มนักลงทุนสะท้อนเอาไว้เช่นนั้น
อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้สตาร์ทอัพน้องใหม่ หอมหวานสุดๆ ในสายตานักลงทุน คือ “ทีมที่แข็งแกร่ง” เรื่องจริงที่แม้แต่พวกเขาเองก็ยังเรียกว่า “โชค” คือ ผู้ก่อตั้งอย่าง “วิชานน์ มานะวาณิชเจริญ” ซีอีโอ , “กีรติ อินโอชานนท์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และ “นรเสฏฐ์ เธียรประสิทธิ์” ผู้อำนวยการด้านการศึกษา เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน “ร่วมฤดี” เรียกว่า รู้จักกันมาเป็น 20 ปี และต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงานในต่างสาขา “วิชานน์” ทำงานที่ P&G เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการขาย “กีรติ” เรียนจบวิศวะคอมพิวเตอร์ที่อเมริกา เคยทำงานที่ “NASA” เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโปรแกรม ส่วน “นรเสฏฐ์” เป็นทายาทเจ้าของโรงเรียนอนุบาล ขณะหุ้นส่วนอีกคนคือ “ดร.หม่อมหลวง จันทน์กฤษณา ผลวิวัฒน์” หัวหน้าบรรณาธิการถามครู แอพพลิเคชั่น ก็เก่งกาจมากๆ ในการพัฒนาคอนเท้นต์เพื่อเด็กเล็ก
จึงกลายเป็นทีมที่เกิดจากความบังเอิญ แต่กลับ “ลงตัว” สุดๆ
“เราเป็นเพื่อนกันมา โตมาด้วยกัน ต่างคนก็มาจากฝั่งที่อีกคนไม่ถนัด เรียกว่าเก่งกันคนล่ะอย่าง แต่พอมารวมกันแล้ว มันลงตัวพอดี ทำให้เรากลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งมาก”
“วิชานน์” ซีอีโอถามครู บอกจุดแข็งของพวกเขา ซึ่งนั้นเป็นเหตุผลเดียวกับที่ “Leslie Loh” นักลงทุนจาก Red Dot Ventures ธุรกิจการศึกษาจากประเทศสิงคโปร์ ตัดสินใจมาลงทุนด้วย
“เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ทีมนี่แหล่ะที่จะเป็นตัวแก้ปัญหา สุดท้ายถ้าทำแล้วไม่เวิร์ค ก็ยังสามารถเปลี่ยนโพรดักส์ เปลี่ยนอะไรต่างๆ ได้ ถ้าทีมมีศักยภาพ” เขาสะท้อนความคิด
อีกความน่าสนใจของถามครู ที่ดึงดูดนักลงทุนเอามากๆ คือการเป็นสตาร์ทอัพที่ “โตเร็ว” เรียกว่าใช้เวลาเพียงปีเศษ (เปิดตัวเดือนมกราคมวันครูปีที่แล้ว) สามารถขยับมูลค่าธุรกิจมาอยู่ที่ 70-80 ล้านบาท โดยพัฒนาโมเดลหารายได้ที่ชัด ตั้งแต่ “In App Purchases” คือ เปิดให้เล่นฟรีในบางเลเวล แต่ถ้าอยากได้เลเวลเพิ่ม ก็ต้องจ่ายเงินซื้อ และสามารถซื้อแบบยกทั้งหมวดได้ หรือจะซื้อเป็นรายเดือนเพราะแบบฝึกหัดอัพเดททุกวัน ในราคาที่คุ้มค่ากว่าหนังสือเล่ม ส่วนหนึ่งมีพื้นที่สำหรับสินค้าที่จะไปลงโฆษณาในหน้าแอพ ตลอดจนโมเดลการขายหลักสูตรเข้าไปตามโรงเรียนต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น
ขณะที่เงินทุนก้อนใหม่ที่เข้ามา “20 ล้านบาท” ก็จะทำให้เกมธุรกิจของพวกเขาชัดเจนขึ้น ชนิดที่ซีอีโอบอกเราว่า ไม่มีใครจะหยุดพวกเขาได้อีกแล้ว!
“เราเริ่มจากไม่มีทุน มีคนทำงานแค่ 7 คน แต่ตอนนี้เรามีเงินแล้ว สิ่งสำคัญตอนนี้ คือ ต้องขยายทีม เพราะเราต้องการไปให้ไกลกว่านี้ ไม่ใช่แค่ในไทยและสิงคโปร์ แต่เราจะเข้าไปอยู่ในตลาดให้เยอะกว่านี้ จะพัฒนาคอนเท้นต์ให้แน่นขึ้น พัฒนาด้านเทคนิค และพอเรามีทีมงาน จะไม่มีอะไรหยุดเราได้อีกแล้ว” เขาบอก
เห็นทุกอย่างดูหอมหวาน และดูจะได้ “คู่แต่งงาน” ที่ดีเอามากๆ เรียกว่า ไม่ได้มีแค่ “เงิน” เพราะนั่นไม่สำคัญ เท่ากับการได้ “ความรู้” และ “คอนเนคชั่น” จากพาร์ทเนอร์เหล่านี้ ที่จะต่อยอดโอกาสให้ถามครูได้ แต่พวกเขาย้ำแรงๆ ว่า กว่าจะมีวันนี้ได้ “ไม่ง่าย” ไม่มีกลีบกุหลาบบนถนนเส้นนี้ พวกเขาต้องต่อสู้อย่างหนักมานานถึง 5 ปี มองเห็นธุรกิจตัวเองที่ทำแล้ว “เจ๊ง” ไม่เป็นท่า กินแกลบ ไม่มีเงินขอสาวแต่งงาน จนมาฟื้นคืนชีพได้ก็ตอนทำเว็บดูแลสุขภาพที่ชื่อ “หาหมอดอทคอม” แต่ถ้าพวกเขาหยุดแค่นั้น ก็คงไม่มี “ถามครู” ในวันนี้..
“อย่างคนที่ทำเกม Angry Birds ทราบไหมว่านั่นเป็นเกมที่ 52 ที่เขาทำ ถ้าสมมติเขาล้มเลิกไปตั้งแต่เกมที่ 51 ล่ะ.. มันไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นแบบ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ส่วนใหญ่ชีวิตจริงเราต้องเจอกับความล้มเหลวกันมาทั้งนั้น ฉะนั้นสิ่งสำคัญอย่างเดียวคือ..อย่าล้มเลิก”
พวกเขาทิ้งหัวใจสำคัญของการเป็น “สตาร์ทอัพ” ที่อย่าพ่ายให้กับความล้มเหลว ถ้าเชื่อแล้วว่าสิ่งที่ทำนั้นดีที่สุด ก็จงพยายามต่อไปให้สำเร็จ
ยังมีแหล่งทุนมากมายจากทั่วโลก ที่พร้อมสนับสนุนสตาร์ทอัพเจ๋งๆ จากไทย อย่าง “500Startups” ที่ลงทุนไปแล้วใน 800 บริษัท จาก 50 ประเทศ ทั่วโลก และเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเงินทุนที่ชื่อ “500 Durians” (500 ทุเรียน) จำนวนถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กับเป้าหมายที่จะลงทุนใน 50 บริษัท ในภูมิภาคนี้ ซึ่งปัจจุบันลงไปแล้วใน 12 บริษัท และ 5 บริษัท ในนั้น คือ สตาร์ทอัพสายพันธุ์ไทย
ขอแค่สตาร์ทอัพสามารถตอบโจทย์ “โตเร็ว-ทีมดี-โพรดักส์เวิร์ค” ก็คงเข้าตานักลงทุนกระเป๋าหนักกลุ่มนี้
..................................................
Key to success
เป็นสตาร์ทอัพ “ดึงดูด” นักลงทุน
๐ มีโพรดักส์ที่ดี พิสูจน์แล้วว่ามีศักยภาพในตลาด
๐ มีทีมงานที่แข็งแกร่ง เติมเต็มในทุกจุดอ่อน
๐ มีโมเดลหารายได้ที่ชัด
๐ มีการพัฒนาไม่หยุดนิ่ง
๐ แสวงหาคอนเนคชั่น เข้าหานักลงทุน
๐ เพิ่มทักษะด้านภาษา ปิดจุดอ่อนสตาร์ทอัพไทย
๐เหนื่อยได้ แต่ต้อง “ไม่ล้มเลิก”







