พิธาน องค์โฆษิต ทายาทหมื่นล.รุกธุรกิจเครื่องสำอาง

พิธาน องค์โฆษิต ทายาทหมื่นล.รุกธุรกิจเครื่องสำอาง

เขาคือนักธุรกิจหนุ่มฮอตที่น่าจับตาเมื่อเข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัว"เคซีอี"ล้างขาดทุนสะสมจนพลิกทำ "กำไร" ได้

ประหนึ่ง "สามหนุ่มเนื้อทอง" ออกมาเรียงแถวแถลงแผนธุรกิจใหม่เครื่องสำอาง "THE FACESHOP" ในไทยหลังควักกระเป๋ารวมกันหลาย "ร้อยล้านบาท" ซื้อกิจการแบรนด์อันดับ 1 ของเกาหลีมาบริหาร ภายใต้ บริษัททีเอฟเอส (ประเทศไทย) จำกัด โดย 3 ขุนพลนักบริหาร "แอมป์ พิธาน องค์โฆษิต" รั้งตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ตามด้วย "โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ" และ "เอ็ม มหิธร พงษารัตน์" นั่งตำแหน่งกรรมการบริหาร

วงโคจรที่สามหนุ่มมาพบกัน แอมป์ เล่าว่า เกิดจากความอยากทำธุรกิจร่วมกัน เลยคุยกันว่าจะเลือกบริษัทอะไร จนมาลงตัวที่ THE FACESHOP แบรนด์เครื่องสำอางดังจากแดนโสม ที่สำคัญยังอยู่ภายใต้อาณาจักรแอลจี ที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งขององค์กร

ทว่า ก่อนตัดสินใจลงทุนร่วมกัน แอมป์ลงทุนส่งน้องสาวสุดเลิฟบินลัดฟ้าสู่เกาหลี เพื่อสำรวจตลาดเครื่องสำอางหลากยี่ห้อแถมหอบกลับมาเมืองไทยให้หนุ่มๆ ได้เลือกสรรว่ายี่ห้อไหนราคาเหมาะสมและทำตลาดได้กว้าง (Mass) กว่า เมื่อเห็นแล้วว่าไลน์อัพสินค้าแน่น

THE FACESHOP จึงเป็นตัวเลือกแรกในการตัดสินใจลุย !

"เราเลือกแบรนด์ใหญ่ที่สุด ยอดขายสูงสุด เป็นแบรนด์ที่อยู่ในกรุ๊ปใหญ่สุดในเกาหลีสำหรับธุรกิจเครื่องสำอาง"

หลังเทคโอเวอร์สำเร็จเมื่อ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา แอมป์เล่าว่าได้รื้อโครงสร้างธุรกิจหลายๆ ด้าน เริ่มจากการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 6 ล้านบาท เป็น 60 ล้านบาท การจ้างผู้เชี่ยวชาญมาอบรมพนักงานกันใหม่ให้มี Passion (จิตวิญญาณ) ในการทำงานบริการ การแปลงโฉมช็อปใหม่ให้มีกลิ่นอายธรรมชาติมากขึ้น ในอนาคตยังจะทำตลาดเต็มสูบทั้งโฆษณาประชาสัมพันธ์ รุกตลาดออนไลน์

"พอเราเข้าไปเทคโอเวอร์ ก็ปรับโครงสร้างธุรกิจ ฟื้นฟูหลังบ้านให้ดีเพราะมองว่ายังมีช่องทางธุรกิจให้ขยายได้อีก"

ในส่วนของตัวสินค้ายังปรับโครงสร้างราคาใหม่ โดยยอมหั่นราคาขายลงมา 30-40% ให้ใกล้เคียงกับสินค้า"หิ้ว" จากเดิมราคาสินค้าที่วางขายในไทยจะแพงกว่าถึง 2 เท่าตัว ถือเป็นการปรับตำแหน่งสินค้า (Positioning Brand) ให้ลดลงมาเพื่อเจาะเป้าหมายให้กว้างขวางมากขึ้น

"การทำโปรโมชั่นลดราคา คู่แข่งก็ทำ เรา 3 คนเลยคุยกันว่าถ้าอย่างนั้นก็ลดราคาให้ต่ำลงไปเลย เพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ตลอดเวลา หากเราวางตำแหน่งสินค้าให้ถูกลง แต่สินค้ามีคุณภาพ มีความหลากหลาย จะทำให้แบรนด์ไปแข่งขันกับแบรนด์อื่นได้" เขาเผยกลยุทธ์

การขยายสาขาเพิ่มเป็น 70 แห่ง ภายใน 3 ปี ยังเป็นปูพรมให้ลูกค้าขาช็อปเข้าถึงสินค้าในทุกพื้นที่ สานพันธกิจที่ต้องการมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ ขอเป็นแบรนด์เบอร์ 1 ในตลาดเครื่องสำอางเกาหลีในไทย จากปัจจุบันรั้งตำแหน่ง 5-6 รองจาก ETUDE และ SKINFOOD เป็นต้น

"ระยะยาวพวกเราอยากให้ THE FACESHOP เป็นแบรนด์อันดับ 1 ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า" แอมป์ เผย

เขายังบอกด้วยว่า เมื่อดีดลูกคิดรางแก้ว คำนวณออกมาว่า หากมีสาขาครบ 70 สาขาตามเป้าหมาย จะช่วยผลักดันรายได้ให้โตเติบโต "ดับเบิ้ล" ระหว่างปี 2558-60

เริ่มจากปี 2558 ยอดขายน่าจะอยู่ที่ 150 ล้านบาท เพิ่มเป็น 300 ล้านบาทในปี 2559 และเพิ่มเป็น 450 ล้านบาทในปี 2560 ก้าวขึ้นสู่การเป็น Top 3 หรือ 1 ใน 3 ของตลาดเครื่องสำอางเกาหลีในไทย

เขายังขยายความว่า จะว่าไปแล้วธุรกิจเครื่องสำอางไม่ใช่ธุรกิจส่วนตัว "แรก" ที่แยกออกมาทำ โดยก่อนหน้านี้เขาได้แยกมาปั้นธุรกิจเองไปแล้ว 2-3 ประเภท ไม่นับการ "เล่นหุ้น" ซึ่งเป็นอีกบทบาทหนึ่ง นอกจากการกุมบังเหียนธุรกิจครอบครัว ในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้อาณาจักรเคซีอี

ถามว่าการบริหารธุรกิจครอบครัวต่างจากธุรกิจส่วนตัวอย่างไร "พิธาน" เฉลยว่า หลักการบริหารไม่ต่างกัน คือ "ต้องบริหารให้ดีที่สุด" โดยต้องไม่มองว่านี่คือธุรกิจของที่บ้าน นี่คือธุรกิจส่วนตัว

ขณะเดียวกัน ยังต้องรู้จักบริหารเวลาให้ดี โดยเขาแบ่งกันทำงานเช้าถึงเย็นให้กับเคซีอี หลัง 5 โมงเย็น ค่อยเด้งจากเก้าอี้รองเอ็มดี (รองกรรมการผู้จัดการ) บึ่งมาประชุมกับธนา และมหิธร เพื่อวางทิศทางขับเคลื่อน THE FACESHOP

"จะให้เวลาทำงานกับเคซีอีเป็นหลัก THE FACESHOP ก็จะมาทำตอนเย็น อาจต้องเลิกงานจากเคซีอีเร็วหน่อยประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อมาประชุมที่นี่"

ครั้นถามถึงธุรกิจครอบครัวอย่างเคซีอี ที่ในไตรมาสแรกทำกำไรทุบสถิติ ส่งสัญญาณต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 ในเรื่องนี้เขาแง้มให้ฟังปนรอยยิ้มว่า

"กำไรน่าจะทำนิวไฮท์ถึงไตรมาส 3 และปีนี้จะเห็นยอดขายแตะหมื่นล้าน อาจเกินประมาณ 300-500 ล้านบาท (จากปี 2556 มียอดขายกว่า 9,400 ล้านบาท กำไร 1,173 ล้านบาท)"

โดยปัจจัยหนุนที่ทำให้ธุรกิจเติบโต เกิดจากการเก็บเกี่ยวยอดขายจากโรงงานใหม่ การหาลูกค้าใหม่เพิ่มเติม โดยจ่อเซ็นสัญญาป้อนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ให้ทั้งพานาโซนิค และฟูจิซึ เป็นต้น อีกทั้งคู่แข่งยักษ์ใหญ่ในเวทีโลกอย่างสหรัฐ ระส่ำจากภาวะเศรษฐกิจกดให้ประกบปัญหาขาดทุน

"เราแย่งมาร์เก็ตแชร์ (ส่วนแบ่งการตลาด) จากคู่แข่งได้มากขึ้น ทำให้มีกำไร ขณะที่คู่แข่งในสหรัฐกำลังขาดทุน" นั่นยังเป็นสัญญาณที่ดีการันตีว่า

"ปีนี้จะเป็นปีที่เคซีอีทำกำไรสูงสุดทุบสถิติตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 32 ปี"

กรำงานหลายด้าน เป้าหมายสูงสุดในการทำงานคืออะไร เขาให้คำตอบกระชับว่า..

"ผมจะทำให้ธุรกิจใหญ่ที่สุด"

----------------------------------------------------

"ประธานเราหล่อกว่าคิมซูฮยอน"

ก่อนร่วมกันทำธุรกิจ ทั้ง 3 (แอมป์ โจ้ และเอ็ม) ต่างมีงานประจำอยู่แล้ว และคุยกันอยู่เนืองๆ ถึงความร่วมมือทางธุรกิจ เพราะทุกคนล้วนมีทักษะในการทำธุรกิจ ก่อนจะพบว่าเครื่องสำอางเติบโตสูงสุด และเกาหลีก็บูมสุด มีการวิจัยและพัฒนาสินค้า (R&D) มากที่สุดในโลก

ในงานแถลงแผนธุรกิจใหม่เครื่องสำอาง "THE FACESHOP" "โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ" พูดถึงหนุ่มแอมป์ พิธาน พร้อมกับหัวเราะร่วนว่า

"ประธานเราหล่อกว่าคิมซูฮยอนอีก" (พรีเซ็นเตอร์ THE FACESHOP)

ขณะที่ "เอ็ม มหิธร พงษารัตน์" รู้จักกับธนา เมื่อครั้งทำงานที่ดีแทค เพราะตัวเขามีโอกาสเข้าไปทำงานโฆษณาให้ กระทั่งตามกันไปอยู่ที่แกรมมี่ แต่มารู้จักหนุ่มแอมป์ เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ก่อนจะตกลงปลงใจกับธุรกิจนี้ เอ็มเล่าว่า ใช้เวลาหารือกันนานเป็นปี

เมื่อร่วมหัวจมท้าย หน้าที่ของแอมป์ คือดูแลด้านการเงิน ธนาดูแลภาพรวมธุรกิจ ส่วนตัวเขาดูแลด้านการตลาด นี่คือการดึงความชำนาญของ 3 ทหารเสือมาปั้นธุรกิจเกี่ยวกับความสวยความงาม

ครั้นถามหมัดเด็ดการตลาด ว่าจะดึง "อั้ม พัชราภา" หวานใจหนุ่มแอมป์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ THE FACESHOP ไหม !?

เอ็มหัวเราะพร้อมคำตอบ "คงไม่ครับ แต่วันเปิดตัว 7 ส.ค.นี้ ดาราคงมากันเยอะหน่อย.."