'ไพศาล อ่าวสถาพร'1ทศวรรษเคลื่อนทัพโออิชิ

'ไพศาล อ่าวสถาพร'1ทศวรรษเคลื่อนทัพโออิชิ

ช่วง1ทศวรรษผลัดใบผู้นำโออิชิ3คน ไพศาล อ่าวสถาพร รองเอ็มดี ท้ากาลเวลาสนุกกับการพิสูจน์ผลงานนำทัพอาหารบุกอาเซีย

เวลาผ่านไปเร็ว วันนี้ “แซม ไพศาล อ่าวสถาพร” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอาหารของ “โออิชิ” ทำงานในองค์กรแห่งนี้ มาครบ 1 ทศวรรษ

เขามีบทบาทสำคัญไม่น้อยในการปลุกปั้นแบรนด์มากมายภายใต้ร่มเงาโออิชิ ไม่ว่าจะเป็น โออิชิ แกรนด์, โออิชิ บุ๊ฟเฟ่ต์, ชาบูชิ บาย โออิชิ, นิกุยะ โออิชิ ราเมน, คาคาชิ ฯลฯ จนประสบความสำเร็จ แตกไลน์ธุรกิจอาหารแช่แข็ง ไปจนถึงอาหารขบเคี้ยว (สแน็ก)

ที่แน่ๆ ธุรกิจหลักอย่างร้านอาหาร กลายเป็นแบรนด์ในใจ (Top of mind) ของผู้บริโภค ไม่เพียงเท่านั้น ในมุมธุรกิจ เขายังสามารถผลักดันยอดขายหลัก “ร้อยล้านบาท” ทะยานสู่หลัก “พันล้านบาท” ใกล้หลักไมล์ “หมื่นล้านบาท” ใน 3-5 ปีข้างหน้าตามแผน

“ผมทำงานที่โออิชิครบ 10 ปีเมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา นี่ก็เพิ่งย่างเข้าปีที่ 11 ได้ประมาณเดือนเศษๆ” เขาย้อนอดีตการร่วมงานกับโออิชิ เมื่อปี 2547

แม้ 1 ทศวรรรษ โออิชิจะเปลี่ยนแม่ทัพมาแล้ว 3 คน ทั้ง “ตัน ภาสกรนที” ผู้ริเริ่มธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น จนมาสู่ยุคผลัดใบใต้อาณัติ “แมทธิว กิจโอธาน” เพียงปีเศษ ก็ต้องเปลี่ยนผู้นำใหม่อีกครั้ง เมื่อบริษัทแม่อย่าง บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ส่ง “เกี๊ยก มารุต บูรณเศรษฐกุล” มานั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการ สานต่อภารกิจอาหารและเครื่องดื่มของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งค่ายไทยเบฟ ที่มีเบียร์ช้าง เสริมสุข (เอสโคล่า) และโออิชิ อยู่ใต้อาณาจักร

ถามว่า..การสับเปลี่ยนผู้นำมีผลต่อการทำงานของลูกหม้อของไพศาลหรือไม่ ? เจ้าตัวบอกว่า...

“เปลี่ยนผู้นำมา 3 คน ไม่ได้กระทบต่อการขับเคลื่อนธุรกิจอาหาร ตอนนี้พอขึ้นอยู่กับไทยเบฟ มีเจ้านายคนเดียวไม่ต่างกันจากเดิม เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจในการบริหารธุรกิจ จึงไม่มีอะไรรบกวนการทำธุรกิจ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง พิสูจน์ได้จากการเติบโตของธุรกิจ ที่ทำให้ผู้บริหาร Happy”

ไพศาล ยังย้ำว่า ที่ผ่านมาธุรกิจอาหารของโออิชิ "เติบโตเร็วมาก" ปัจจุบันมีสาขาร้านอาหารหลากแบรนด์กว่า 200 สาขาทั่วประเทศ จากจุดสตาร์ท 20 สาขา สะท้อนการเจาะตลาดครอบคลุมทุกพื้นที่ตั้งป้อมป้องคู่แข่งมาแบ่งเค้กได้อีกต่างหาก

ผลงานที่โดดเด่นของเขาวันนี้คือ การพลิกตำราปั้นโออิชิเป็นราชันย์แห่งธุรกิจอาหาร หรือ King of Japanese Food ตามวิสัยทัศน์องค์กร

"ปัจจุบันเราเป็น King อยู่แล้ว วัดสัดส่วนรายได้ 7,000 ล้านบาท จากตลาดรวม 2.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 30%"

ทว่า..ความสำเร็จที่ว่าไม่ได้ทำให้เขาหยุดแค่นั้น !!

"เป้าหมายใหญ่" ยังรออยู่ข้างหน้า เมื่อเขาต้องการขับเคลื่อนธุรกิจอาหารของโออิชิปักธงในเอเชีย ล้อกับเป้าหมายของไทยเบฟ ที่ประกาศจะขอเป็น 1 ใน 5 ยักษ์อาหารและเครื่องดื่มบนเวทีการค้าระดับ "ภูมิภาค" ให้ได้ภายในปี 2563

บันไดขั้นถัดไปของเขาจึงเล็งไปที่ "อาเซียน" ในการเขาไปยึดหัวหาดทำเลทองเปิดสาขาร้านอาหารทันที ประเดิมด้วย การผนึกเบอร์ 1 ธุรกิจพม่า อย่างกลุ่ม City mart holding ที่มีทั้งอสังหาริมทรัพย์ ห้างค้าปลีก เบเกอรี่แอนด์คาเฟ่ ร้านยา และอีกนานัปการครอบคลุมทุกเซ็กเตอร์ ร่วมกันเปิดร้าน "ชาบูชิ บาย โออิชิ" สาขาแรกในเมืองย่างกุ้ง ปูพรม 5 ปี มี 10 สาขา โดยประเทศรอบบ้านผืนแผ่นดินเดียวกับไทย (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) คือจุดหมายปลายทางที่โฟกัส ก่อนไล่เลียงไปรุกประเทศเกาะแก่ง ให้ครอบคลุมอาเซียนในอนาคต

แต้มต่อสำหรับโออิชิที่ในการบุกตลาดอาเซียน เขาจะใช้การผนึกพลัง (Synergy) ใต้อาณาจักรเจ้าสัวเจริญ อาทิ เอฟแอนด์เอ็น และเบอร์ลี่ยุคเกอร์ ในธุรกิจกระจายสินค้า โดยดึงศักยภาพของบริษัทเหล่านั้นมาช่วยเสริมแกร่ง

ระหว่างลุยอาเซียนสิ่งที่จะทำคู่ขนานคือการรุกคืบสู่เอเชีย "ญี่ปุ่น" คือแดนสวรรค์ของธุรกิจอาหารที่เขาต้องการไปให้ถึงฝั่งฝัน

"เป้าหมายสูงสุดของผม อยากนำธุรกิจอาหารญี่ปุ่นของไทยไปเปิดตลาดที่ญี่ปุ่น เพราะมั่นใจว่าทำได้ดีกว่าเขา (เจ้าบ้านญี่ปุ่น)”

โดยปัญหาหลักที่เป็นเหมือนกระดูกชิ้นใหญ่ที่ขวางอยู่คือ "ภาษา" หาใช่เรื่องรสชาติอาหาร

"ความยากในการทำอาหารญี่ปุ่นให้คนญี่ปุ่นยอมรับและรับประทาน ไม่ต่างจากการทำอาหารไทยให้คนไทยยอมรับ แต่โจทย์ยากที่สุดในการไปญี่ปุ่น สำหรับผมคือภาษา เมื่อไม่เข้าใจก็สื่อสารไม่ได้"

ส่วนความชาตินิยมของคนญี่ปุ่นที่อาจไม่รับทุนข้ามชาติในธุรกิจร้านอาหาร ข้อนี้เขาแย้งว่า ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นเปิดรับธุรกิจต่างชาติมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาญี่ปุ่นเริ่มเปิดรับการลงทุนจากต่างแดนมากขึ้น กลายเป็นเปิดกว้างทางความคิด

"กฎหมาย" ยังเป็นอีกสิ่งที่หนักใจ เพราะแต่ละประเทศมีกฎระเบียบแตกต่างกันไป ไม่นับเรื่องความปลอดภัยในธุรกิจอาหาร และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ซึ่งล้วนมีแต่เรื่องหินๆ

"แม้จะยากแต่ไม่เกินความสามารถ เพราะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องของโอกาสมากกว่า และธุรกิจเราได้มาตรฐานสากลโลก" เขาบอกถึงความพยายาม

เพื่อเสิร์ฟธุรกิจอาหารให้สำเร็จ เขาจึงต้องฝึกวิทยายุทธ์ในสังเวียนกระทะเหล็ก เดินสายไปต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งต่อปี ทั้งจัดแคมเปญการตลาด และเจรจาธุรกิจกับพาร์ทเนอร์ต่างแดน โดยเฉพาะญี่ปุ่น ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่ามีเชฟมิชลินมากสุดในโลก จึงพยายามล้วงลับสูตรพิเศษ นำเชฟชาวไทยไปศึกษาเทคนิคการทำอาหาร ที่ภูมิใจมากเห็นจะเป็นการแข่งขันทอด "เทมปะรุ" ได้สวยงามและอร่อยเฉือนชนะต้นตำรับโชกุน

เพราะไม่ได้ขลุกอยู่แค่ก้นครัว แต่ออกไปค้นโลกกว้าง เลยเห็น "เทรนด์" อาหารที่กำลังมาแรง นั่นคือการบริโภคเมนู "พิเศษ" มีเชฟกระทะเหล็ก เชฟประดับ "ดาว" (Mishelin Star) เชฟชื่อดังกระฉ่อนโลกมารังสรรค์อาหารเด็ดตรงหน้า

เร็วๆนี้อาจจะเห็น "แบรนด์ใหม่" ของโออิชิออกมาเสิร์ฟลูกค้าที่ Niche market

"ผู้บริโภคมีความต้องการรับประทานอาหารที่ไฮเอนด์มากขึ้น นั่นจึงเป็นหนึ่งในเซ็กเมนต์ที่เราจะทำ" เขาแง้มแผนธุรกิจใหม่

นอกจากวิชั่นที่ต้องเติบโตในทิศทางเดียวกับไทยเบฟแล้ว อะไรคือ Goal ของคนทำงาน "ไพศาล" บอกว่า

"อีกหนึ่งความหวังผมอยากเห็นคนไทยตื่นขึ้นมาพบกับเมนูอาหารและสินค้าของโออิชิ ไปตรงไหนก็เจอสินค้าของเรา นั่นเป็นเป้าหมายใหญ่ ถามว่ายากไหม...คิดว่าเราทำได้"

โดยเขามอง Maxim's Group เจ้าแห่งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในฮ่องกงที่มีสินค้าอยู่ทุกหัวระแหง เป็นโมเดลที่เขาอยากปั้นโออิชิเทียบชั้นให้ได้

"ในไทยยังไม่มีใครทำแบบนี้ และโออิชิอยากจะเป็นอย่างนั้น เดินเข้ามาในศูนย์การค้าแล้วพบว่าร้านอาหาร 50% เป็นของโออิชิ นั่นคือเป้าหมาย"

ด้วยท่าทีที่ยังสนุกกับงาน แต่อายุอานาม 48 ปีเข้าไปแล้ว ที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะเกษียณตอน 55 ปี ยังเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่ ? เจ้าตัวหัวเราะก่อนตอบว่า

"ตอนนี้เห็นจะยาก เพราะยังสนุกและมีอะไรในหัวให้อีกตั้งเยอะ คงทำไปเรื่อยๆ ถ้าเกษียณแล้วอยากทำต่อ ก็คงจะไปนั่งเป็นบอร์ด หรือไม่ก็เป็นที่ปรึกษา" เขาทิ้งท้าย