'คนดนตรี'เวิ้งนาครเขษม ฟ้องกลับพิทักษ์ธุรกิจพ่อ

'คนดนตรี'เวิ้งนาครเขษม ฟ้องกลับพิทักษ์ธุรกิจพ่อ

"หากชนะคดีก็จะถือว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ศาลเมตตาและเห็นใจผู้น้อย กฎหมายยังคุ้มครองธุรกิจขนาดเล็ก"

"เวิ้งนาครเขษม" ถูกขนานนามว่าเป็น "ถนนดนตรี" จากผู้ค้าชุมชนคนจีนในย่านนี้ที่บุกเบิกธุรกิจมานานหลายชั่วอายุคน จนปัจจุบันกิจการร้านเครื่องดนตรีเริ่มอยู่ในมือทายาทรุ่น 3

ทว่าการเปลี่ยนเจ้าของที่ดินจากราชสกุลบริพัตร เป็น "ทีซีซี แลนด์" ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ย่อมทำให้ "วิถีการค้า" เครื่องดนตรีในเวิ้งฯเปลี่ยนไป กับ "ภาวะกดดัน" ของคนดนตรีที่นี่ บ้างก็เลือกจากไป ด้วยการจำยอมย้ายออก บ้างก็แบ่งรับแบ่งสู้ อาจจะกลับมาเช่าต่อหลังการปรับปรุงพื้นที่ แต่มีผู้ค้าบางรายเช่นกันเลือกที่จะ "ฟ้องกลับ" ทีซีซี แลนด์ เพื่อพิทักษ์ผืนดินทำกินแห่งนี้ไว้

ทายาท "ย่งเส็ง" สานต่อเฮียโต

ในวันที่ "ห้างดนตรีย่งเส็ง" ไร้เสาหลักอย่าง "เฮียโต" ชัชวาล อัศวโสภณ รับการมาของนายทุนใหม่ เพราะ "เฮียโต" จากไปบนความกังขาว่าส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความกดดันเรื่องการไล่รื้อพื้นที่บริเวณเวิ้งนาครเขษม วันนี้ทายาททั้ง 4 ประกอบด้วย สุทธินันท์ วโรทัย ภาสพงศ์ และ พลกร อัศวโสภณ พร้อมลูกน้องในร้านกว่า 20 ชีวิต พวกเขายังคงมุ่งมั่นสานต่อธุรกิจตามเจตนารมณ์ของบิดาเมื่อครั้งบุกเบิกร้านดนตรีย่งเส็ง ธุรกิจที่ก่อร่างสร้างตัวมานานกว่า 60 ปี

ภาสพงศ์ ลูกชายคนที่ 3 ของเฮียโต เล่าว่า การจากไปของพ่อเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นปุบปับ เร็วเกินไปกว่าที่ครอบครัวจะตั้งรับกับความสูญเสียครั้งใหญ่ได้

ส่วนเรื่องการย้ายร้านดนตรีออกจากเวิ้งฯ เขาบอกอย่างปลงๆ ว่า เมื่อถึงเวลาย้าย จำเป็นจริงๆ ก็ต้องย้าย แต่ถึงอย่างไรก็จะสืบสานร้านเครื่องดนตรีที่พ่อรักและสร้างขึ้นมากับมือให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป แม้อาจจะไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่เดิมก็ตาม

"ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของ ทีซีซี แลนด์ เมื่อถึงเวลาต้องไปก็ต้องไป ถือเป็นจุดพลิกของธุรกิจที่พวกเราพี่น้องต้องมาร่วมกันตัดสินใจ โดยมีญาติมาเป็นที่ปรึกษา หลังจากเดิมพ่อจะเป็นผู้วางแผนและตัดสินใจอนาคตธุรกิจมาโดยตลอด"

ภาสพงศ์ ยังเล่าถึงความผูกพันของ "เฮียโต" ต่อเวิ้งนาครเขษมว่า ลึกซึ้งยิ่งกว่าคำว่าบ้าน เวิ้งฯคือทุกอย่าง เป็นดั่งชีวิตและจิตใจ เพราะพ่อเกิดและเติบโตสร้างเนื้อสร้างตัวจากที่แห่งนี้ บุกเบิกจนมีร้านเครื่องดนตรีที่มีชื่อเสียง เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องดนตรีชื่อดังระดับโลก เพราะความทุ่มเทจนกระทั่งมาถึงวันที่กิจการผลิดอกออกผล เป็นหนึ่งในร้านตำนานของเวิ้งนาครเขษม

"ยังจำได้ดี พ่อเดินทางไปดูงานและเจรจากับเจ้าของแบรนด์ดังระดับโลกหลายราย จนทำให้ย่งเส็งมีชื่อเสียงในกลุ่มเครื่องดนตรีหลากหลายแบรนด์ เพราะพ่อสร้างขึ้นมา ผมก็มีโอกาสได้ร่วมงานและดูงานในต่างประเทศหลายครั้ง จึงเข้าใจว่าพ่อรักและผูกพันกับธุรกิจนี้มากแค่ไหน"

เสียงคนดนตรีผูกพันเวิ้งฯ

ขณะที่ อาจารย์ปราชญ์ อรุณรังสี 1 ใน 70 มือกีตาร์ขั้นเทพของเมืองไทย เรียนจบดนตรีจากสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเปิดโรงเรียนสอนดนตรี "ปราชญ์มิวสิค" เขาคือนักดนตรีที่ผูกพันกับเวิ้งฯมานานกว่า 20 ปี กีตาร์ตัวแรกของเขาก็ซื้อจากเวิ้งฯตอนอายุ 16 เวิ้งฯสำหรับเขาจึงเป็น "ศูนย์กลาง" ด้านดนตรีทุกรูปแบบ ตั้งแต่นักดนตรีมือสมัครเล่นยันมืออาชีพ โรงเรียนดนตรี ค้าปลีก ค้าส่งสินค้าเครื่องดนตรี ฯลฯ

"คนเล่นดนตรีใหม่ๆ หรือนักดนตรีมืออาชีพ รวมถึงร้านค้าปลีกค้าส่งต้องมาซื้อเครื่องดนตรีที่เวิ้งฯ เพราะมีให้เลือกมากมาย เหมือนเป็นคอมเพล็กซ์ เซ็นเตอร์ ของวงการดนตรีมากที่สุดในประเทศไทย"

อาจารย์ปราชญ์ บอกต่อว่า เวิ้งฯ คือพื้นที่รวมเครื่องดนตรีนำเข้าแบรนด์ชั้นนำมากกว่า 10 แบรนด์ อาทิ ร้านฮงเซ้ง มิวสิค เป็นเจ้าของแบรนด์กีตาร์ไฟฟ้า Ibanez ร้านธีระ มิวสิค ผู้นำเข้าเปียโน Roland ร้านเพชรสยาม ผู้นำเข้าไมค์เสียงคุณภาพระดับโลก Sennheiser ส่วนร้านย่งเส็ง เด่นเรื่องเครื่องเป่า โดยเป็นผู้นำเข้าเครื่องดนตรีหลากแบรนด์ อาทิ Selmer

ความรู้สึกหากไม่มีเวิ้งฯ อาจารย์ปราชญ์ บอกว่า แหล่งรวมเครื่องดนตรีต้องแตกกระจายไปคนละทิศละทาง ทำให้วิถีการค้ารูปแบบเดิมๆ หายไป นักดนตรีกว่าครึ่งประเทศต้องรู้สึกเสียดาย แม้ร้านดนตรีหลายรายในเวิ้งฯจะเริ่มปรับตัวด้วยการเปิดสาขาใหม่ในห้างสรรพสินค้ากันบ้างแล้วก็ตาม

"ฟ้องกลับ"พิทักษ์ธุรกิจพ่อ

ประสิทธิ์ เบญจวาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพชรสยามซาวด์กรุ๊ป หรือ "เฮียย้ง" ผู้นำเข้าและจำหน่ายเครื่องเสียง รวมถึงเจ้าของแบรนด์กลอง Mr.Drum บริษัทมีกรณีพิพาทกับ ทีซีซี แลนด์ ทำให้แนวทางการดิ้นรนเอาตัวรอดทางธุรกิจและแนวทางการต่อสู้แตกต่างไปจากเจ้าอื่น

โดยเขาคือ 1 ใน 10 ผู้ค้าในเวิ้งฯที่ถูก ทีซีซี แลนด์ ฟ้องไล่ที่ เนื่องจากไม่ยอมเซ็นสัญญาเช่าที่มีอายุ 1 ปี ตามที่ผู้เช่ารายอื่นกว่า 200 รายยินยอมเซ็นไปในราคาค่าเช่าที่สูงขึ้นจากเดิม 25-125%

เขาให้เหตุผลว่า กรณีของเขาแตกต่างจากรายอื่น เพราะโชคร้ายร้านถูกไฟไหม้หมด 5 คูหา 11 ห้อง 4 ชั้น ตั้งแต่ปี 2551 เสียหายไป 96 ล้านบาท เขาเริ่มกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ใช้ตกแต่งร้านใหม่กอบกู้กิจการ ร้านเปิดใหม่อีกครั้งในปี 2554 กระทั่งปี 2555 ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนมือเจ้าของที่ดิน และยื่นข้อเสนอสัญญาเช่า 1 ปี ทำให้เขารู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลกับเงินที่เพิ่งลงทุนไปไม่นาน แต่ได้รับสิทธิ์เช่าเพียง 1 ปี จึงปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญาเช่า ทำให้เกิดการฟ้องร้องกันตามมา

ขณะเดียวกัน ประสิทธิ์ ก็ยื่นเรื่อง "ฟ้องกลับ" ไปทาง ทีซีซี แลนด์ เช่นกัน

"โดยสามัญสำนึกของปุถุชน รู้ว่าลงทุนไปเกิน 10 ล้านบาท แต่ให้สัญญาเช่าแค่ปีเดียว คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะคุ้มทุน จึงเป็นสิทธิ์ของเราที่จะไม่เซ็น เพราะกรณีของผมเสียเปรียบแน่นอน สัญญาจะผูกมัดเรา เราจึงต้องฟ้องแย้งกลับไป และยังได้ทำหนังสือชี้แจงเจ้าของที่ดินใหม่ไปเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ไม่รู้เอาของผมไปทิ้งขยะหรือเปล่า จึงไม่มีการพูดถึง ยังคงยื่นฟ้องไล่ที่เรา"

เขาบอกว่า แม้คดีจะชนะหรือแพ้คดีก็ตาม แต่ก็ถือว่าได้ใช้สิทธิ์สู้ คาดว่าจะใช้เวลาสู้ไม่ต่ำกว่า 5 ปีนับจากปีนี้ หากแพ้ศาลชั้นต้น ก็สู้ต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ จนถึงที่ศาลสูงสุดชั้นฎีกา

"ผมยอมรับและทำใจไว้แล้วว่าจากนี้ไปนอกจากเหนือจากการบริหารจัดการธุรกิจแล้ว ยังต้องเหนื่อยเตรียมเนื้อหาสู้คดี หากชนะคดีก็จะถือว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ศาลเมตตาและเห็นใจผู้น้อย กฎหมายยังคุ้มครองธุรกิจขนาดเล็ก"

เหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายระลอกของ ประสิทธิ์ และธุรกิจของเขา ก่อนที่จะเผชิญกับการไล่ที่ เรียกว่าเป็น "ฟ้าถล่ม" ก็ไม่ผิด เพราะวันที่ไฟไหม้สูญเสียทรัพย์สินต้องสิ้นเนื้อประดาตัวนั้น เขายังสูญเสียพ่อที่สร้างธุรกิจเพชรสยามมากับมือ เพราะถูกไฟคลอกเสียชีวิต

"เราหมดเกลี้ยงทุกอย่าง คุณพ่อก็เสียชีวิตถือว่าเคราะห์ซ้ำ และยังไม่มีประกันอีก เหมือนเจอฟ้าถล่มลงมา เราก็หวังว่า ทีซีซีฯ จะเมตตา แต่ยื่นหนังสือกลับไปก็หายไป แล้วมาฟ้องเรา"