แตกไลน์ธุรกิจ แผนยั่งยืน STEC

เมื่อการเมือง-เศรษฐกิจ คือ ตัวปัญหาทำธุรกิจป่วน "ซิโน-ไทย"จำต้องปูพรมสู่ธุรกิจใหม่ "ภาคภูมิ ศรีชำนิ"เลือกแล้ว
ผ่านมา 7 เดือน ราคาหุ้น ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น หรือ STEC ทะยานขึ้นมาแล้ว 107 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งราคาหุ้น STEC กลับมาติดสปีดอีกครั้ง หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยราคาหุ้นปรับขึ้นจาก “จุดต่ำสุด” 11.80 บาท (ตัวเลข ณ วันที่ 6 ม.ค.2557) มายืน “จุดสูงสุด” 24.50 บาท (ตัวเลข ณ วันที่ 7 ก.ค.2557)
ล่าสุดบล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น STEC ราคาเป้าหมาย 23 บาท หลังเชื่อว่า บริษัทอาจชนะงานประมูลใหม่มูลค่า 15,000 ล้านบาท ล่าสุดบริษัทชนะการประมูลแล้วประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนอีก 12,000 ล้านบาท น่าจะเป็นโครงการของภาคเอกชน และโครงการรถไฟฟ้า อาทิ โครงการรถไฟรางคู่ แก่งคอยสัญญา 1 และโครงการรถไฟฟ้าสีเขียว หมอชิตสะพานใหม่ เป็นต้น
อาคารซิโน-ไทย ย่านอโศก ชั้น 26 สถานที่บอกเล่าแผนธุรกิจของ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น โดย“เบิร์ด-ภาคภูมิ ศรีชำนิ” กรรมการผู้จัดการ STEC รับอาสาถ่ายทอดอนาคต ก่อนจะลงลึกในรายละเอียด เขาระบายความในใจเรื่องสายสัมพันธ์ทางการเมืองว่า
“หลายคนบอกว่า ช่วงรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” STEC ได้งานเยอะมาก ขอพูดแบบนี้แล้วกัน ผมยังเชื่อในเรื่องของกติกาการแข่งขันที่ว่า ผู้ที่เสนอราคาต่ำสุดเท่านั้นถึงจะได้ทำ สัญญา ไม่มีใครเสนอราคาแพงแล้วได้งานหรอก”
“เรายังคงเน้นงานก่อสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราถนัดมาตลอด 50 ปี” เขาเกริ่นนำ
ก่อนอธิบายว่า แม้ว่าธุรกิจก่อสร้างจะผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือการควบคุม แต่เรายังคงยกให้ธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจหลัก (Core Business) ของบริษัทเหมือนเดิม เพียงแต่อาจต้องปรับวิธีการมองใหม่ โดยจะไม่ธุรกิจยาวๆอีกต่อไปแล้ว และอาจต้องเพิ่มธุรกิจเสริมขึ้นมา เพื่อสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้แก่ STEC
“ที่ผ่านมาบริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่า เดินมาถูกทาง คุณลองย้อนกลับไปดู “กำไรสุทธิ” ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า เติบโตทุกปี STEC ถือเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ไม่มีหนี้สิน และมีกระแสเงินสดมากถึง 8,000 ล้านบาท” “ภาคภูมิ” อวด “จุดเด่น”
ก่อนจะลงลึกในแผนธุรกิจ คุณพ่อที่มีลูกสาวตั้งแต่อายุ 15 ปี ย้อนประวัติชีวิตฉบับย่อให้ฟังว่า ทำงานในบริษัทแห่งนี้มากว่า 29 ปีแล้ว เริ่มทำงานครั้งแรกในปี 2528 แม้จะอยู่มานาน แต่งานใน STEC ไม่ใช่งานแรกในชีวิต เพราะช่วงเรียนจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาใหม่ๆ มีโอกาสไปทดลองงานในบริษัทเล็กๆ 1 ปี ก่อนจะเข้ามาทำงานที่นี่ยาว ระหว่างที่ทำงานก็เรียนต่อปริญญาโทไปด้วย
หากจะถามหาเหตุผลว่า ทำไมตั้งใจจะอยู่ใน STEC ยาว เขาตอบว่า ถ้าจะตอบแบบไม่เป็นทางการ คือ ไม่รู้จะไปไหน (หัวเราะ) ถ้าตอบแบบทางการ คือ ที่นี่ดูแลเราเหมือนครอบครัว เวลานั้นเจ้าของบริษัท คือ “ปู่จิ้น-ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” ท่านเดินเข้ามาทักทายแล้วนั่งกินข้าวกับเรา ตอนนั้นรู้สึกประทับใจมาก ท่านเปรียบเหมือนพ่อแม่อีกคนที่ให้เงินเราใช้
กรรมการผู้จัดการ เริ่มเล่าแผนธุรกิจในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าให้ฟังว่า อยากเห็น STEC มีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20 เปอร์เซ็นต์ โดยจะยังคงมุ่งเน้นทำ “ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง” เป็นหลัก แต่ด้วยความที่เมืองไทยมักมีเรื่องเหนือการควบคุมเกิดขึ้นเสมอ โดยเฉพาะการเมือง ทำให้เราต้องมองหาทางเลือกอื่นไว้สำรอง อย่างน้อยก็ทำให้มั่นใจได้ว่า หากไม่มีงานประมูลใหม่ๆเกิดขึ้นภาย 2 ปีข้างหน้า เรายังคงอยู่ได้
เขา ยอมรับว่า บริษัทกำลังศึกษาธุรกิจใหม่ โดยยังคงเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับรับเหมาก่อสร้าง ทุกวันนี้เวลาบริษัทเจอที่ดินที่ดูแล้วอนาคตจะมีมูลค่าสูงขึ้น เราจะซื้อเก็บทันที ด้วยความที่มีเงินสดมากถึง 8,000 ล้านบาท ทำให้เราต้องต่อยอดเงิน ฉะนั้นธุรกิจใหม่ของเราคงเป็น “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” ล่าสุดบริษัทกำลังศึกษาอยู่ว่าจะทำ “โรงแรม,คอมมูนิตี้มอล์หรือคอนโดมิเนียม”
ตอนนี้บริษัทมีที่ดินแถวบางนา-ตราด กม.4 จำนวน 24 ไร่ หากมีโครงการรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน คงไม่คุ้มที่จะทำเป็นโรงงาน ขณะเดียวกันยังมีที่ดินแถวพระราม 3 ติดริมแม่น้ำ 8 ไร่ ล่าสุดบริษัทเพิ่งซื้อที่ดินแถวหัวหิน 14 ไร่ หลังเดินทางไปดูโครงการซานโตรินี สวนน้ำ อำเภอหัวหิน ของ "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” และโครงการบูลพอร์ท หัวหิน รีสอร์ท มอลล์ ของกลุ่ม เดอะมอลล์ กรุ๊ป เรากำลังศึกษาว่า จะนำที่ดินดังกล่าวไปทำอะไรดี
“นโยบายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเราคือ ไม่อยากร่วมทุนกับใคร”
เขา เล่าต่อว่า เราจะไม่เป็นเพียงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและบริษัทพัฒนาอสังหาริมทัรพย์ธรรมดาๆ แต่จะแตกไลน์ออกไปทำ “ธุรกิจโรงไฟฟ้า” อนาคตไฟฟ้าจะมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นอาจเห็นเราเข้าไปร่วมประมูลโครงการกับพันธมิตร ล่าสุดกำลังศึกษางานในแถบอาเซียน
เบื้องต้นอาจเห็นบริษัทเข้าไปซับคอนแทรคโรงไฟฟ้าของคนอื่น ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยี อนาคตจะเปลี่ยนจากซับคอนเทรคเป็นหุ้นใหญ่หรือไม่ คงต้องดูกันอีกที เพราะไม่อยากเสี่ยงกับงานที่ยังไม่มีความแน่นอน
“กรรมการผู้จัดการ” เล่าถึง “แผนโกอินเตอร์” ว่า อย่างที่บอกเราคงเน้นงานในแถบอาเซียนเป็นหลัก เช่น กัมพูชา,พม่า,เวียดนามและลาว แต่ด้วยความที่ไม่อยากเสี่ยงเรื่องลูกค้าใหม่ และเงินลงทุน เราคงต้องจับมือกับพันธมิตรที่เป็นคนไทย แต่เข้าไปทำงานในแถบอาเซียนไปก่อน เพื่อร่วมกันประมูลงานก่อสร้างต่างๆ ล่าสุดบริษัทได้รับงานสร้างถนนประเทศลาว มูลค่า 600 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว
“บริษัทจะพยายามตัดความเสี่ยงเรื่องทำงานแล้วไม่ได้เงิน ซึ่งแถบอาเซียนก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องนี้อยู่ เพียงแต่คงต้องเลือกทำงานกับที่คนที่คิดว่าจะได้เงินชัวร์ๆก่อน แม้จะมีความเสี่ยง แต่เราจะถือโอกาสนี้เข้าไปศึกษาข้อปฎิบัติ และกฎหมายต่างๆ”
ปัจจุบันบริษัทยังมีงานที่สร้างกำไรได้ดี คือ “ธุรกิจสร้าง Plant โรงแยกก๊าซ” ล่าสุดบริษัทได้รับจ้างประกอบ Plant เป็นหลังๆ แล้วส่งขึ้นเรือไปให้ลูกค้าประเทศออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริก ซึ่งธุรกิจนี้การแข่งขันไม่สูงมาก เพราะยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก ซึ่งผู้ประกอบการที่มีทำเลติดกับท่าเรือน้ำลึกจะได้เปรียบในธุรกิจนี้
ธุรกิจดังกล่าวจะสร้างอัตรากำไรสุทธิ 15 เปอร์เซ็นต์ โดยคู่แข่งในเมืองไทยยังค่อนข้างน้อย เขาย้ำ ฉะนั้นจึงเหลือเพียงผู้ประกอบการต่างประเทศเท่านั้นที่ทำได้ ปัจจุบันมีเพียง 3 ราย คือ ไทย เกาหลี และอินโดนีเซีย
จากการวิเคราะห์พบว่า ผู้ประกอบการประเทศเกาหลีจะมีเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ราคาแพง ส่วนอินโดนีเซียราคาถูก แต่ฝีมือไม่ได้ ส่วนประเทศไทยฝีมือได้ ราคาตรงกลาง จึงได้เปรียบคู่แข่ง แต่ตอนนี้คู่แข่งที่มาแรง คือ ประเทศจีน หลังออกมาดัมพ์ราคา ที่ผ่านมาบริษัทจะรับงานดังกล่าวมูลค่าต่องานหลักพันล้านบาท ที่ผ่านมาทำมาแล้ว 2 โครงการ
เขา บอกว่า อนาคตบริษัทจะพยายามรักษาสัดส่วนงานรัฐและเอกชน 50:50 แต่ทุกอย่างคงต้องขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงเวลา เพราะหากมีโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐออกมางานราชการก็จะเยอะ แต่หากไม่มีงานราชการงานเอกชนก็จะเยอะ
“ข้อดี” ของงานราชการคือ ไม่ต้องกังวลในเรื่องยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) เพราะมักมียอดขายรอรับรู้นาน 3-4 ปี เพียงแต่กำไรขั้นต้นจะน้อยกว่างานเอกชน ส่วนงานเอกชนกว่าจะหางานมาได้ 10,000 ล้านบาท อาจต้องหาเข้าประมูล 8-9 โครงการ แต่งานราชการเพียงโครงการเดียวก็ทำให้เราได้งานมูลค่าหมื่นล้านบาทแล้ว แต่ว่ากำไรขั้นต้นจะสูงกว่างานรัฐ
“ภาคภูมิ” ยอมรับว่า แม้ปี 2557 รายได้อาจไม่โต หรือขยายตัวเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ แต่จะหันมารักษากำไรสุทธิแทน ผ่านมาแล้ว 2 ไตรมาส ก็ไม่มีปัญหาอะไร งานเอกชนเข้ามาเยอะขึ้น ล่าสุดเราได้รับงานจากโครงการบูลพอร์ท หัวหิน รีสอร์ท มอลล์ มูลค่า 1,500-1,600 ล้านบาท และงานเอกชนมูลค่า 100-200 ล้านบาท ล่าสุดกำลังคุยกับงานโรงไฟฟ้า จังหวัดน่านน่าจะได้งานภายในปีนี้ ถือว่าเป็นงานเอกชนที่ใหญ่พอสมควร มูลค่าเกินหมื่นล้านบาท
จากประสบการณ์ที่ทำงานมา 50 ปี พบว่า ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557 มีความเสี่ยงน้อยมาก ข้อแรก ราคาค่าวัสดุก่อสร้างไม่มีตัวไหนก้าวกระโดด ข้อสอง เราไม่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว เพราะแรงงานของเราถูกต้องตามกฎหมายร้อยเปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันบริษัทมีแรงงานต่างด้าว 4,000-5,000 คน ช่วงเดือนก่อนหายไปแค่ 10 คน แต่สิ่งที่กระทบ คือ แรงงานของผู้รับเหมาช่วงต่อ แต่เราบริหารจัดการได้ ข้อสาม ความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่เรื่องนี้อยู่นอกเหนือการควบคุม ฉะนั้นคงต้องเตรียมความพร้อมไว้ตลอด ปีก่อนเราหันไปหางานภาคเอกชน และออกไปทำงานในประเทศลาวมากขึ้น
อุตสาหกรรมผู้รับเหมาก่อสร้างเจ้าใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีอยู่ 3 ราย ซึ่งทุกคนมองว่า STEC เป็นน้องเล็ก ซึ่งบริษัทก็ยอมรับว่า ในแง่ของรายได้เราน้องเล็กสุด แต่หากเป็นในแง่ของความสามารถในการทำกำไรบอกได้เลยว่า “STEC เป็นเบอร์ 1” เพราะว่าอีก 2 ราย เขามีภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายธนาคาร แต่บริษัทไม่มีหนี้ เราสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี เมื่อเรามีเงินสดเยอะก็สามารถซื้อของได้ในราคาถูก
หากวันนั้นเราไม่ได้รับงานขาดทุนโครงการ แอร์พอร์ต เรล ลิงค์ วันนี้คงไม่ได้เข้ามาติด 1 ใน 3 ของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง ส่วนตัวมองว่า “มันคุ้มค่าแม้จะขาดทุน” ครั้งหนึ่งเราเคยคุยกันในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของบริษัทว่า หากให้ย้อนกลับไปจะยังคงรับงานแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ หรือไม่ ทุกคนยังคงยืนยยันคำเดิมว่า “รับ” แม้กำไรขั้นต้นจะน้อย แต่เราต้องการเก็บสถิติของงาน ยกตัวอย่าง งานสนามบินภูเก็ต ทำงานแบบไม่มีกำไรขั้นต้น รู้ทั้งรู้แต่ก็ทำ เพื่อที่เราจะได้เป็นหนึ่งในผู้รับเหมาขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
“ลูกหม้อ STEC” บอกว่า งานที่อยู่ระหว่างรอเข้าประมูล ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่) มูลค่า 30,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 4 สัญญา โครงการรถไฟรางคู่ (ฉะเชิงเฉา-คลอง19-แก่นคอย) มูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองโครงการมีการซื้อแบบและเสนอราคาเรียบร้อยแล้ว แต่คสช.ขอให้ชะลอโครงการไว้ก่อน ภายในปีนี้คงได้ข้อสรุป
ส่วนโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เดิมมีแผนจะเปิดขายซองและเสนอราคาไตรมาส 3/2557 มูลค่า 60,000 ล้านบาท แต่ยังไม่รู้ว่าจะเปิดประมูลทันภายในปีนี้หรือไม่ โดยเราจะเข้าประมูลทั้ง 3 โครงการ รวมมูลค่าแสนล้านบาท สำหรับสถิติการเข้าประมูลงานของ STEC คือ “เข้า 4 งาน ได้ 1 งาน”
สำหรับงานภาคเอกชน เราจะเริ่มรับงานมากขึ้น จากเดิมที่ไม่ค่อยรับงานบริษัทที่เรื่องเยอะยกตัวอย่าง “กลุ่มเซ็นทรัล” เนื่องจากเขามีสัญญาที่รัดกุมมาก แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติของเจ้าของเงิน ล่าสุดเราได้งาน 1 โครงการของ “เดอะมอลล์” ซึ่งเขาเปิดประมูล 6 โครงการ มูลค่า 50,000 ล้านบาท เมื่อก่อนเราเคยรับเทสโก้ โลตัส และโครงการธนาซิตี้ เวลาเขาไม่มีเงินให้ เขาก็จ่ายเราเป็นห้อง ทำให้ตอนนั้นตั้งใจว่า จะไม่ทำโครงการคอนโดมิเนียม (หัวเราะ)
เขา เล่าว่า บริษัทค่อนข้างมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับเครือซีพี เขาเป็นลูกค้าชั้นดี งานแรก คือ สร้างศูนย์พัฒนาผู้นำในปากช่อง เมื่อร่วมงานแล้วรู้สึก “คุยกันง่าย จ่ายเงินตรง” เพราะเราทำงานเร็ว สินค้ามีคุณภาพ ขนาดบ้านของ “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” เรายังเป็นคนสร้างให้ท่านเลย
ส่วนโครงการ “ไอคอนสยาม” กำลังทยอยทำแบบออกมา โครงการดังกล่าวมูลค่า 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็นที่อยู่อาศัย 2 อาคาร สูง 71 ชั้น และ 50 ชั้น มูลค่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งเราเพิ่งเริ่มเจรจา เขาไม่ได้ถามเราคนเดียว แต่ยังเชิญผู้รับเหมา 3-4 ราย มาร่วมเสนอราคาด้วย ซึ่งปัญหาที่พบ คือ ผู้ออกแบบชอบเอาใจเจ้าของงาน แต่ในความเป็นจริงอาจทำไม่ได้ ผู้รับเหมาไทยหลายรายรับงานไปก่อน ไปตายเอาดาบหน้า แล้วค่อยขอขยายเวลา
“ชายวัย 52ปี” ปิดท้ายด้วยการเล่าว่า ที่ผ่านมามีนักลงทุนสถาบันเข้ามาพูดคุยกับบริษัทค่อนข้างเยอะ หลังจากสัดส่วนนักลงทุนสถาบันลดลงจาก 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทุกปีเราต้องเดินสายให้ข้อมูลนักลงทุนยุโรป ฮ่องกง และสิงคโปร์ ประมาณ 2 ครั้งต่อปี ส่วนในประเทศปีละ 2-3 ครั้ง ยังไม่นับรวมที่ขอเข้ามาพบเรา
ส่วนใหญ่นักลงทุนสถาบันจะถามว่า เรามีวิธีควบคุมต้นทุนต่อเนื่อง 4-5 ปีได้อย่างไร เพราะเขาไม่เชื่อว่าธุรกิจรับเหมาจะไม่มีหนี้สินเลย ที่สำคัญเขาจะถามว่า เราจะเติบโตไปในทางไหน เขาไม่อยากให้เราไปทำอย่างอื่น นอกจากธุรกิจก่อสร้าง ตอนนั้นบริษัทตอบไปว่า คงต้องดูตลาดด้วย
Let Profit Run วิถีรวย “ภาคภูมิ”
“ภาคภูมิ ศรีชำนิ” กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น หรือ STEC เล่าเรื่องการลงทุนส่วนตัวให้ฟังว่า เริ่มลงทุนครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนเข้ามาทำงานในกรุงเทพใหม่ๆ ช่วงนั้นกำลังทำงานใน STEC พอมีเงินเก็บอยู่บ้างจึงตัดสินใจนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น ออกแนว “Salary man” (มนุษย์เงินเดือน)
“หุ้นตัวแรก” คือ หุ้น STEC ตอนนั้นบริษัทกำลังเข้าตลาดหุ้น และบริษัทได้ขายหุ้นให้กับพนักงาน เราตัดสินใจนำกำไรที่ได้จากหุ้น STEC ไปซื้อรถยนต์ฮอนด้าแอคคอร์ด ถือเงินสด 777,000 บาทไปซื้อเลย เมื่อได้กำไรเกิดอาการติดใจ ทำให้ลงทุนในตลาดหุ้นมาเรื่อยๆ ปัจจุบันภาระหน้าที่สูงทำให้ไม่ค่อยมีเวลาดูหุ้นจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการลงทุนใหม่ ด้วยการหันมาลงทุนในหุ้นพื้นฐานมากขึ้น
ปัจจุบันพอร์ตหุ้นมีมูลค่า “หลักสิบล้านบาท” เราไม่ค่อยมีเวลาเฝ้าหน้าจอ แต่จะให้มาร์เก็ตติ้งเป็นคนช่วยดูแล แต่ไม่ต้องแนะนำหุ้นนะ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่เราจะเป็นคนเลือกซื้อหุ้นเอง ด้วยการใช้ช่วงเวลาพักเที่ยงในการแอบดูตลาดหุ้นว่า มีการเคลื่อนไหวอย่างไร หากชอบตัวไหนจะเข้าไปดูงบการเงิน และปัจจัยพื้นฐาน ส่วนตัวไม่ชอบเล่นหุ้นเทคนิค เพราะดูไม่เป็น
ในพอร์ตมีหุ้นอยู่ไม่กี่ตัว เพราะดูไม่ทั่วถึง เราไม่ได้เป็นนักลงทุนมืออาชีพ เรามีงานประจำต้องดูแล นิยามตัวเองเป็นนักลงทุนที่ “ยอมรับความเสี่ยงได้นิดหน่อย” ซึ่งการลงทุนจะเน้นกระจายความเสี่ยง ไม่ลงในหุ้นตัวเดียว และจะซื้อขายในสัดส่วนเท่าๆ กัน แต่ผมเป็นคนใจร้อนราคาขึ้นช้าๆ แบบหุ้น ปตท.หรือ PTT ไม่ค่อยเข้าไปลงทุน
ตอนนี้มีหุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือก และกลุ่มธนาคาร ที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ขอแค่ชนะดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารก็พอใจแล้วนโยบายการลงทุนจงปล่อยให้หุ้นที่ดีทำกำไรไปเรื่อยๆอาจมีขายทำกำไรระหว่างทางบ้าง”
“ภาคภูมิ” ยอมรับว่า “เจ็บตัวหนักสุด” ในช่วงที่พอร์ตเริ่มขยายตัวจากมูลค่าหลักล้านบาทมาเป็นหลักสิบล้านบาท ช่วงนั้นดัชนีลดลงจาก 1,500 จุด ไปยืน 1,200 จุด ทำให้พอร์ตลงทุนติดลบประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ สุดท้ายตัดสินใจขายหุ้นหมดเกลี้ยง เพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นก่อสร้าง เพราะเรารู้จักธรรมชาติของหุ้นกลุ่มนี้ดี
“ไม่ได้ตั้งใจเล่นหุ้นเป็นอาชีพหลัก แต่ตั้งใจจะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของเงินออม ปัจจุบันจะแบ่งเงินออกมา 50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ส่วนอีก 40 เปอรืเซ็นต์ นำไปลงทุนในตลาดหุ้น ที่เหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ ลงทุนในกองทุน LTF และ RMF”







