"ชุดกำจัดก๊าซไข่เน่า"เชื่อมสุขผู้ใช้พลังงานทางเลือก

"ชุดกำจัดก๊าซไข่เน่า"เชื่อมสุขผู้ใช้พลังงานทางเลือก

เกษตรกรที่ใช้ก๊าซชีวภาพมีความเสี่ยงต่อการได้รับก๊าซไข่เน่าที่มาของ“ชุดกำจัดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ในก๊าซชีวภาพ"

“ก๊าซชีวภาพ” เป็นพลังงานเชื้อเพลิงที่สามารถผลิตได้เองในประเทศ โดยใช้เศษวัสดุเหลือทิ้งจากภาคเกษตร จึงเป็นแหล่งพลังงานทดแทนที่สอดคล้องกับวิถีของเกษตรกรรายย่อย

แต่ทว่าการใช้ก๊าซชีวภาพมีความเสี่ยงต่อการได้รับ “ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์” (H2S) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “ก๊าซไข่เน่า” ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ และยิ่งได้ยินข่าวมีผู้เสียชีวิตจากก๊าซไข่เน่าที่รั่วไหล ก็ยิ่งบั่นทอนความมั่นใจของผู้ใช้พลังงานทางเลือกให้มากขึ้น

นั่นคือที่มาของ “ชุดกำจัดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ในก๊าซชีวภาพ” ผลงานจาก อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ชาวชุมชนบ้านห้วยบง และเทศบาลตำบลป่าเซ่า จังหวัด อุตรดิตถ์ ที่ได้ร่วมกันวิจัย และพัฒนา โดยต่อยอดจากงานพลังงานทางเลือก “ก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์” ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณพัฒนาหมู่บ้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้ชื่อ “หมู่บ้านวิทยาลัยวัววิทยา(ววว.)” จากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการวิจัย “รูปแบบที่เหมาะสมในการผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลโคแบบครบวงจรฯ” (พ.ศ.2553-2554) และโครงการวิจัย “การปรับปรุงคุณภาพก๊าซชีวภาพเพื่อการพัฒนาพลังงานชุมชนบ้านห้วยบง” (พ.ศ.2556-2557) จากโครงการพลังงานทางเลือกสําหรับชุมชน สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

พวกเขาพัฒนาชุดกำจัดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ขึ้น เพื่อให้คนตัวเล็กๆ ในสังคมได้หันมาใช้พลังงานทางเลือกได้อย่างมั่นใจ มีต้นทุนต่ำ สามารถผลิตได้ในชุมชน เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสม และพึ่งพาตนเองได้ โดยเปิดดำเนินการในรูปแบบกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ใช้ชื่อว่า “กลุ่มคนรักษ์พลังงานบ้านห้วยบง : ชุดกำจัดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ในก๊าซชีวภาพ”

“มหาวิทยาลัยมีงานวิจัย แต่แทนที่เราจะคิด แล้วเอาไปให้บริษัทผลิต เพื่อขายให้กับเกษตรกร เราเปลี่ยนเป็นทำให้กับชุมชนโดยตรง แต่ไม่ใช่ทำเสร็จแล้วเอาไปให้เขา ทว่าเป็นการตั้งโจทย์และวิจัยร่วมกับชุมชนตั้งแต่ต้น”

“ผศ.ดร. เจษฎา มิ่งฉาย” อาจารย์จาก คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ บอกการทำงานที่แตกต่างของงานวิจัยเพื่อชุมชน ที่กลายเป็นหนึ่งกิจการเพื่อสังคมในวันนี้

“ทำอย่างไรให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ นั่นหมายความว่า ต้องมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไป แน่นอนว่า เราคงไม่ทำชุดนี้โดยชุมชนกลุ่มคนรักษ์พลังงานบ้านห้วยบง ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ใช้ และจำหน่าย ต้องขาดทุน ชุมชนต้องอยู่ได้ แต่อยู่ได้ในมิติที่มีอะไรคืนให้กับสังคมด้วย”

ที่มาของการตั้งราคาขายต่อชุดไม่เกิน 1,000 บาท โดยชุมชนบ้านห้วยบง จะมีค่าตอบแทนในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางด้วย

ผลิตภัณฑ์ดีๆ ขยายผลผู้ใช้จากในชุมชน ไปสู่ชุมชนใกล้เคียง และในจังหวัดอื่น ผ่านเครือข่ายผู้ใช้ก๊าซชีวภาพที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ โดยได้ยื่นขอจดทรัพย์สินทางปัญญา ประเภทสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตร (การประดิษฐ์) ให้กับชุมชนไว้แล้ว เพื่อไม่ให้ธุรกิจมาดําเนินการเอาเปรียบเกษตรกรและผู้ใช้พลังงานทางเลือกในอนาคต จึงสามารถพูดได้ว่า “ชุมชน” เป็นเจ้าของผลงานนี้อย่างแท้จริง

“ทรัพย์สินทางปัญหาที่เกิดขึ้นในรอบนี้เป็นการจดแบบเปิดให้ชุมชน เพื่อเป็นเครื่องมือของชุมชน และประกันสิทธิให้กับชุมชน”

นี่คือหนึ่งภาพสะท้อนของการทำงานวิจัยและพัฒนา ที่ไม่ได้เริ่มจากโจทย์ที่นักวิชาการคิดเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องเป็นการคิดร่วมกับผู้ใช้ และส่งผลกระทบสู่สังคมได้อย่างแท้จริง

“นักวิชาการในมหาวิทยาลัยทำงานวิจัยเยอะมาก แต่จะเป็นลักษณะงานวิจัยเพื่อตีพิมพ์ เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ ซึ่งตรงนั้นยังคงต้องทำอยู่ แต่นักวิชาการอีกกลุ่ม ต้องทำวิจัย เพื่อแก้ปัญหาให้กับชุมชนด้วย เพราะบางเรื่องอาจซับซ้อนเกินกว่าที่ปราชญ์ชุมชนจะแก้ปัญหากันเองได้”

พันธกิจของมหาวิทยาลัย “รับใช้สังคม” จึงต้องสามารถถ่ายโอนความรู้ไปสู่การพัฒนาและแก้ปัญหาให้กับชุมชนด้วย

การทำงานร่วมกับชุมชนไม่ได้ง่าย ยังมีอุปสรรคมากมายตลอดเส้นทาง เขาบอกว่า หัวใจสำคัญคือต้อง “ให้ใจ” และ "ทุ่มเท" โดยวัดความสำเร็จของการทำงาน จากการก่อเกิดชิ้นงานที่ใช้ได้จริง ชาวบ้านยอมรับ และปรับเปลี่ยนชีวิตเขาให้ดีขึ้นได้ ชุมชนใกล้เคียง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ขยายผลออกไปในวงกว้าง และสร้างผลกระทบเชิงสังคมได้ในที่สุด

หนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและสัมผัสได้ คือ มุมมองที่เปลี่ยนไปของสถาบันการศึกษาและชุมชน จากอดีตที่ชุมชนมองมหาวิทยาลัยเป็นแค่ “ห้องเรียน” ขณะมหาวิทยาลัยก็มองชุมชนเป็นแค่ “หน่วยทดลอง” ใช้ลงพื้นที่ เก็บข้อมูล ทำการทดลองแล้วก็กลับ ทว่าภาพที่เปลี่ยนไปในวันนี้ คือ ชุมชนและมหาวิทยาลัยมีความเป็น “พันธมิตร” ต่อกันมากขึ้น

“ทุกวันนี้กลายเป็นว่ามหาวิทยาลัยกับชุมชนเป็น “พาร์ทเนอร์ชิป” กัน เหตุผลคือ การพัฒนาอะไรขึ้นมาก็ตาม พังก็พังด้วยกัน ได้ก็ได้ด้วยกัน ต่างคนต่างมีส่วนได้ส่วนเสียกับสิ่งที่ทำขึ้น ชุมชนไม่ใช่คนอยู่ปลายสุดของงานวิจัยอีกต่อไป แต่เขาจะมีส่วนร่วมตั้งแต่การตั้งโจทย์ ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน” เขาสะท้อนภาพที่เกิดขึ้น

แม้รายได้จากการจำหน่ายชุดอุปกรณ์จะไม่สูงมากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้กิจการเล็กๆ ของชุมชนอยู่ได้ มีเงินหมุนเวียนมาผลิตชิ้นงานใหม่ๆ เพื่อขยายผลตอบสนองผู้ใช้ในวงกว้างขึ้น โดยมีการจัดตั้งและพัฒนาระบบกองทุนหมุนเวียนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมกลุ่มคนรักษ์พลังงานบ้านห้วยบงขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กิจการอีกทาง

จากกิจการเพื่อสังคม ที่มีความใหม่ทางเทคโนโลยี มีมิติด้านประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงได้ง่าย บวกมิติการใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ทั้งในเชิงสาธารณะและธุรกิจ นั่นเองที่ทำให้กิจการเพื่อสังคมจากบ้านห้วยบง สามารถคว้ารางวัล SE Awards 2014 ในสาขา “ทำ” (Do it) โดยสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (สกส.) มาได้สำเร็จ คว้าเงินรางวัล 2 แสนบาท ไปต่อยอดโอกาสธุรกิจและสร้างผลกระทบสู่สังคมในวงกว้าง

ถามถึงเป้าหมายในอนาคต อาจารย์เจษฎา บอกเราว่า คงมีโจทย์ใหม่ๆ ท้าทายการทำงานอยู่เรื่อยๆ โดยมองว่า งานวิชาการในมหาวิทยาลัยยังมีมากพอ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้

มีอะไรมากมายให้เลือกทำ แต่อาจารย์นักวิจัยยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อชุมชน เขาแบ่งปันเรื่องเล่าประทับใจให้ฟังว่า

“ผมเข้าไปในหมู่บ้านครั้งแรก ไปถึงก็โดนโห่ไล่เลย เพราะตอนนั้นมีข้อพิพาทในอดีตระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชนอยู่ เราใช้เวลาทำความเข้าใจกับชาวบ้านอยู่เป็นปีๆ จน 2 ปี ต่อมา เราก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนไปแล้ว เขาเกิดความรู้สึกว่า “มหาวิทยาลัย” ไม่ใช่สิ่งแปลกแยกอีกต่อไป สำหรับผมงานวิจัยเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ความรู้สึกของคนที่มีต่อมหาวิทยาลัยซึ่งเปลี่ยนไปนั่นต่างหาก คือความสำเร็จในมุมมองของผม”

จากผลงานวิจัยเลยได้กลายเป็นเทคโนโลยีเชื่อมชุมชน ที่คน “วิน” ไม่ได้มีแค่หนึ่ง แต่หมายรวมถึง ชุมชน มหาวิทยาลัย สังคม และสิ่งแวดล้อม