ล้วงลึกทุกดีล PF "วิชัย ทองแตง" ตัวช่วยชั้นยอด

ล้วงลึกทุกดีล PF "วิชัย ทองแตง" ตัวช่วยชั้นยอด

เมื่อ “แมวเก้าชีวิต” “ชายนิด อรรถญาณสกุล” เจ้าพ่ออสังหาฯ ลงทุนก๊วนเดียวกับ“วิชัย ทองแตง”มากว่าสิบปี ดีลจึงเกิด

“สัญญาณเทคนิคดีมาก โอกาสทะยานแตะ 1.20 บาท ไม่ใช่เรื่องยาก มีข่าวอะไรหรือเปล่า” “หมอวิน-รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา” เซียนหุ้นเทคนิค วัย 30 ปี ศิษย์เอก “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” ต่อสายตรงสอบถามถึงความผิดปกติของ หุ้น พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค หรือ PF ที่ขณะนั้นกำลังซื้อขายแถวๆ 1.06 บาท กับ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week”

ก่อนบมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค หรือ PF จะประกาศแผนซื้อกิจการของบมจ.ไทย พร็อพเพอร์ตี้ หรือ TPROP ที่อยู่ในหมวดบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูการดำเนินงาน ในช่วงเย็นของวันที่ 16 มิ.ย.2557 ความผิดปกติของวอลุ่มและราคาหุ้น PF เริ่มมีให้เห็นมาตั้งแต้ต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา

โดยวอลุ่มซื้อขายมีความหนาแน่นมากถึง 139,784,300 หุ้น จากปกติที่ซื้อขายเพียงหลักหมื่นหุ้นเท่านั้น ขณะที่ราคาหุ้น PF ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากหลักสตางค์มาซื้อขาย “เต็มบาท” ก่อนจะทำราคาสูงสุด 1.44 บาท ในวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา สัญญาณเทคนิคที่ดีทำให้ “นักลงทุนเทคนิค” หลายรายจับจังหวะเล่นเก็งกำไรหุ้น PF ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

หลังปล่อยให้ราคาหุ้น PF ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 39.80 เปอร์เซ็นต์ หากคิดจากราคาซื้อขายสูงสุดของวันที่ 2 มิ.ย.และวันที่ 12 มิ.ย.2557 PF จึงได้ขอหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์ในวันที่ 13 และ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมแจกแจงข้อความสั้นๆว่า ในวันที่ 16 มิ.ย.คณะกรรมการบริษัทจะพิจารณาอนุมัติการเข้าทำรายการการได้มาซึ่งทรัพย์สิน ฉะนั้นเรื่องดังกล่าวอาจกระทบต่อราคาหุ้น PF

ก่อนจะร่อนจดหมายเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวทิศทางการดำเนินงานของ PF ในวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา เย็นวันที่ 16 มิ.ย.บริษัทได้ประกาศซื้อกิจการ “ไทย พร็อพเพอร์ตี้” โดย PF จะชำระค่าตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นของ TPROP เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทในอัตราการแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ 2 หุ้นของ TPROP ต่อ 1 หุ้น PF หรือเท่ากับ 1 หุ้น TPROP ต่อ 0.05 หุ้น PF

ขณะเดียวกัน PF ยังมีอำนาจควบคุมในบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ หรือ GRAND ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดยบริษัท เมโทร พรีเมียร์ จำกัด ในสัดส่วน 26.44 เปอร์เซ็นต์ บริษัทในเครือของ TPROP โดย PF จะชำระค่าตอบแทนด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทในอัตราการแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ 114 หุ้น GRAND ต่อ 131 หุ้น PF หรือเท่ากับ 1 หุ้น GRAND ต่อ 1.149123 หุ้น PF

ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” บังเอิญเจอ “ชายนิด อรรถญาณสกุล” (โง้วศิริมณี) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในฐานะผู้ถือหุ้น PF สัดส่วน 89,166,900 หุ้น คิดเป็น 1.54 เปอร์เซ็นต์ ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

เมื่อตรงเข้าไปสอบถามว่า มาทำอะไร? เขาให้คำตอบสั้นๆว่า “มาพบผู้ใหญ่” ถามต่อว่า “จะมีข่าวดีอะไรหรอ? “เจ้าของฉายา “แมวเก้าชีวิต” โปรยยิ้มหวานเหมือนเช่นเคยก่อนตอบว่า “ขอเวลาจัดโครงสร้างบริษัทอีกนิดหน่อย ไม่เกิน 2 สัปดาห์จะมาเล่าให้ฟัง”

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า “ชายนิด” เคยถือหุ้น PF มากถึง 21.39 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปี 2536 ก่อนจะทยอยลดสัดส่วน หลังวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ปัจจุบัน บริษัท อันดามัน ลองบีช รีสอร์ท จำกัด ถือหุ้นใหญ่ PF สัดส่วน 564,326,331 หุ้น คิดเป็น 9.76 เปอร์เซ็นต์ เคยถือสูงสุด 16.01 เปอร์เซ็นต์ในปี 2547

ขณะเดียวกัน “อนันดามัน ลองบีช รีสอร์ท” ยังถือหุ้นอยู่ใน บมจ.ไทย พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำนวน 42,045,720 หุ้น คิดเป็น 1.49 เปอร์เซ็นต์ ส่วน “ชายนิด” ถือหุ้น TPROP 29,362,500 หุ้น คิดเป็น 1.04 เปอร์เซ็นต์

“อันดามัน ลองบีช รีสอร์ท” ถือหุ้นใหญ่ “ร้อยเปอร์เซ็นต์” โดย บริษัท รีสอร์ท โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่ง “รีสอร์ท โฮลดิ้ง” มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 ราย คือ Wahkit Finance Limited ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศ ถือหุ้น 45 เปอร์เซ็นต์ และ “เมธี ตันมานะตระกูล” 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ “ชัยวัฒน์ อัศวินทรางกูร” ถือหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์

หากจะเอ่ยถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่าง “ชายนิด อรรถญาณสกุล” และ “วิชัย ทองแตง” เจ้าของฉายา “ทนายนักช้อป” คงต้องบอกว่า แนบแน่นมานานกว่าหลายสิบปีแล้ว เริ่มต้นครั้งแรกช่วงไหน “ชายนิด” ไม่ยอมเฉลยบอกแต่เพียงว่า รู้จักกันมานานมากแล้ว เพราะลงขันทำธุรกิจด้วยกัน แม้กระทั่งดีลซื้อกิจการ TPROP “วิชัย” ถือเป็น ตัวช่วยสำคัญ หลังเป็นคนปลุกปั้น GRAND มากับมือ

แต่หากย้อนดูประวัติการลงทุนพบว่า “วิชัย” โดดถือหุ้น กรุงเทพบ้านและที่ดิน ครั้งแรกเมื่อปี 2548 ในสัดส่วน 15 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 15 ล้านหุ้น ราคา 10 บาทต่อหุ้น ขณะนั้น “วิชัย” มีเป้าหมายอยากถือหุ้นระดับ 20 เปอร์เซ็นต์

ปัจจุบัน “วิชัย” ครองหุ้น กรุงเทพบ้านและที่ดิน อันดับ 3 ประมาณ 150 ล้านหุ้น รองจาก “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ที่ถือหุ้นอันดับ 2 สัดส่วน 359.99 ล้านหุ้น ต่อจากบริษัท เฟรเซอร์ (ประเทศไทย) พีทีอี แอลทีดี จำกัด ที่ถือหุ้น 720 ล้านหุ้น โดย “เฟรเซอร์” เข้าถือหุ้น กรุงเทพบ้านและที่ดิน ครั้งแรกในปี 2547 ก่อนจะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่ 50 ล้านหุ้น ส่งผลให้มีสัดส่วนการถือหุ้น 33 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2548

เมื่อเคมีตรงกัน “สองหนุ่มวัยกลางคน” จึงต่อยอดความสัมพันธ์ ด้วยการคุยเรื่องการลงทุนเพิ่มเติม สุดท้ายในปี 2554 “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ตัดสินใจแตกไลน์ธุรกิจหันมาลงทุนในธุรกิจอาหาร ด้วยการเข้าลงทุนใน “บมจ.ไดโดมอน กรุ๊ป” หรือ DAIDO ซึ่งเป็นบริษัทที่ “วิชัย ทองแตง” พยายามปลุกปั้นมานานหลายปี สมัยก่อมอบหมายให้คนรู้ใจอย่าง “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” ในฐานะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ DAIDO เป็นผู้ดูแลธุรกิจ

โดย PF ได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 363.82 ล้านหุ้น คิดเป็น 88.06 เปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นละ 1.10 บาท และยังขอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมอีกไม่เกิน 49.33 ล้านหุ้น ขณะเดียวกัน PF ยังขายหุ้นสามัญของบริษัท เช็นเตอร์ พ้อยท์ ช็อปปิ้ง มอลล์ จำกัด ที่ถืออยู่ทั้งหมดให้ “ไดโดมอน กรุ๊ป” ในราคา 400.2 ล้านบาท งานนี้ได้ประโยชน์ทั้งคู่

ปัจจุบันร้านอาหารแบรนด์ไดโดมอนได้ถูกซื้อและโอนกิจการร้านอาหารไปเป็นของ บมจ.ฮอท พอท หรือ HOTPOT ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดย “สมพล ฤกษ์วิบูลย์ศรี” 110.78 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.29 เปอร์เซ็นต์ และ “สกุณา บ่ายเจริญ” จำนวน 102.02 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.13 เปอร์เซ็นต์ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ในปี 2554-2556 ร้านอาหารแบรนด์ไดโดมอนสามารถสร้างรายได้ให้ HOTPOT ประมาณ 10.36-194-280 ล้านบาท ตามลำดับ ล่าสุด HOTPOT มีร้านอาหารแบรนด์ไดโดมอน 21 สาขา

ในช่วงแรกของการลงทุนหุ้น DAIDO “ชายนิด อรรถญาณสกุล” เคยเล่าที่มาของดีล DAIDO ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า หลังพูดคุยกับ “กัมพล ตติยกวี” (ผู้ถือหุ้นอันดับที่ 27 หุ้น GRAND 15.50 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.56 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลข ณ วันที่ 21 มี.ค.2557) ได้เพียง 2-3 เดือน ก็ตัดสินใจลงทุนหุ้น DAIDO ทันที “ตัวเลขการเงินเริ่มสวยเกือบทุกตัว” นั่นคือ เหตุผลของการควักเงินลงทุนในครั้งนั้น

หลังดีล DAIAO จบลงแบบ WIN-WIN ทั้ง 3 ฝ่าย (PF-HOTPOT-วิชัย) ไม่นาน “สองหนุ่มใหญ่” ประกบมือร่วมลงขันทำธุรกิจด้วยกันอีกครั้งในปี 2555 ด้วยการให้บริษัทย่อย Property Perfect International Pte Ltd (PPI) ของ PF เข้าไปลงทุนใน Share Group Co., Ltd (SG) สัดส่วน 69.01 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ คิโรโระ สกีรีสอร์ท บนเกาะ Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น มูลค่าประมาณ 880 ล้านบาท

“บิสวีค” เคยได้รับการบอกเล่าตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ของ “ชายนิด” และ “วิชัย” ผ่านปากลูกชายคนโต จากจำนวนพี่น้อง 2 คน ของ “ชายนิด” “เจ็ด-ศรัณยู โง้วศิริมณี” ในฐานะผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจ “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” เมื่อครั้งเดินทางไปงานเปิดตัวโครงการ คิโรโระ สกีรีสอร์ท ในปี 2556 ว่า พ่อคิดเรื่องการลงทุนในญี่ปุ่นมานาน 2 ปีแล้ว แต่ทันทีที่ “หนุ่มชาวญี่ปุ่น” นามว่า “ฮาจิเมะ โมริ” ผู้ทำหน้าที่ Middle Man ซึ่งสนิทกับพ่อมานานกว่า 30 ปี นำเสนอดีลนี้ หลังเจ้าของเก่าไม่อยากทำต่อ ท่านจึงตอบตกลงทันที หลังเห็นถึง “ความคุ้มค่า”

ด้วยความที่พ่อสนิทกับคุณลุง (วิชัย) เพราะลงทุนธุรกิจก๊วนเดียวกัน และรับรู้มาตลอดว่า ลุงมีโปรเจคอยากออกไปลงทุนทำศูนย์สุขภาพในต่างประเทศ พ่อจึงตัดสินใจชวนลุงมาร่วมลงขันด้วย แต่ไม่รู้ว่าลุงลงทุนในสัดส่วนเท่าไร เพราะเขาคุยเรื่องธุรกิจกันแค่สองคน รู้แต่เพียงว่า พ่ออยากเห็นรีสอร์ทแห่งนี้มีรายได้ประมาณ 1,200 ล้านบาทในปี 2557 ก่อนจะขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาท ในปี 2559

“ชายหนุ่มวัย 31 ปี ที่มีแฟนเป็นหญิงชาวญี่ปุ่น” เล่าว่า เมื่อ 21 ปีก่อน รีสอร์ทแห่งนี้ถูกก่อสร้างโดย “กลุ่มยามาฮ่า” และชาวหมู่บ้านอาไกกาว่าที่มีประชากรเพียง 1,400-1,500 คน ซึ่งกลุ่มยามาฮ่าได้ลงทุนไปกว่า 40 ล้านเยน หรือประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาลานสกีและโรงแรม จากนั้นได้ขายต่อให้กับ “กลุ่มมิตซุย โฟโดะซัน” ซึ่งเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น

สอบถามสายสัมพันธ์ลึกซึ้งจากปาก “วิชัย ทองแตง” ครานั้นเขายอมรับว่า รู้จักกับ “ชายนิด” มานานแล้ว เมื่อเขาเอ่ยปากชักชวนให้มาร่วมลงทุน เราเห็นว่า เป็นโอกาสที่ดีจึงไม่รีรอรีบใส่เงินลงทุนทันที ที่ผ่านมาได้พูดคุยเรื่องแผนพัฒนารีสอร์ทแห่งนี้กับ “ชายนิด” ตลอด เราตั้งใจจะทำเป็นวิลล่า หรือไม่ก็คอนโดมิเนียม

“ผมอยากนำธุรกิจ Health Care ไปต่อยอดให้รีสอร์ทแห่งนี้ ตั้งใจจะทำให้ออกแนว “ชีวาศรม” เชื่อหรือไม่ตั้งแต่รู้ว่า “กลุ่มมิตซุย” จะขายกิจการที่ไม่ใช่ Core Business ออกไป ต่อมความสนใจของผมทำงานทันที” เขาบอกแผนงานของตัวเอง

“เทคโอเวอร์” แผนอยู่รอด “ชายนิด”

“ชายนิด อรรถญาณสกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดใจถึงที่มาของการเทคโอเวอร์ TPROP ว่า ดีลนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมเป็นคนเดินทางไปขอคุยกับหุ้นใหญ่ของ TPROP และ GRAND ด้วยตัวเอง ซึ่งในส่วนของ GRAND นำทีมโดย “วิชัย ทองแตง” และกลุ่มนฤเหล้า ในฐานะผู้ถือหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์

จริงๆ แล้ว PFสนใจสินทรัพย์ใน GRAND มากกว่า TPROP ซึ่ง TPROP ถือหุ้นอยู่ใน GRAND ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ สินทรัพย์ส่วนใหญ่ของ GRAND ซ่อนอยู่ในรูปของ โรงแรม อาคารให้เช่า และคอนโดมิเนียมระดับสูง ตามแผนธุรกิจ GRAND จะสร้างโครงการคอนโดมิเนียม HYDE สุขุมวิท 11 จำนวน 450 ยูนิต มูลค่า 3,000 ล้านบาท คาดจะเปิดขายปลายปีนี้และจะรับรู้รายได้ในปี 2558 ลูกค้าส่วนใหญ่ 40 เปอร์เซ็นต์ คือ ลูกค้าต่างชาติ

ขณะเดียวกัน GRAND อยู่ระหว่าง “เทิร์นอะราวด์” ภายในปี 2557 บริษัทน่าจะโอนโครงการคอนโดมิเนียม HYDE ในส่วนที่เหลืออีกประมาณ 5,000 ล้านบาท หลังรับรู้รายได้บางส่วนไปแล้วในช่วงไตรมาส 1/2557 ฉะนั้นในปี 2557 บริษัทคงพลิกกลับมาเป็น “กำไรสุทธิ” แน่นอน เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุน 155.66 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว 472.68 ล้านบาท

“อนาคต “PF-วิชัย-กลุ่มนฤหล้า” จะใช้ความถนัดของแต่ละคนมาร่วมมือกันทำธุรกิจ โดย PF ชำนาญเรื่องเจรจาซื้อที่ดิน “วิชัย” เก่งเรื่องบริหารโรงพยาบาล ขณะที่กลุ่มนฤหล้าถนัดธุรกิจโรงแรม”

“ชายนิด” บอกว่า หลังกระบวนการซื้อกิจการ TPROP และ GRAND แล้วเสร็จภายในเดือนพ.ย.หรือธ.ค.นี้ จะส่งผลให้ PF ขึ้นแท่นผู้นำ 1 ใน 5 อันดับแรกของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในเชิงขนาดสินทรัพย์และรายได้รวม ขณะเดียวกันยังจะทำให้ PF มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอยู่ระดับ 45,000 ล้านบาท เป็นอันดับ 4 ของอุตสาหกรรม รองจาก LH -SIRI-PS ส่วนในแง่ของรายได้ในปี 2558 อาจขยับมายืนระดับ 22,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของอุตสาหกรรม รองจาก PS-SIRI-LH

“จากนี้รายได้รวมของ PF คงโตไม่ต่ำกว่าปีละ 20,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี”

นอกจากนั้นยังจะทำให้โครงสร้างรายได้ของ PF เปลี่ยนแปลงไป โดยจะมาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 70-80 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า10-20 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันยังทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 8,600 ล้านบาท เป็น 16,000 ล้านบาท และภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนจะลดลงเหลือ 1.33 เท่า รวมถึงยังจะทำให้อัตรากำไรสุทธิขึ้นมายืนเหนือ 10-12 เปอร์เซ็นต์

เขา ยืนยันว่า วันนี้บริษัทยังคงเดินหน้าขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกไป จากแผนดังกล่าวจะทำให้สัดส่วนที่ดินรอการพัฒนาลดลงจาก 25 เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เหลือเพียง 19 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งภายใน 3 ปีข้างหน้าจะลดเหลือ 14-15 เปอร์เซ็นต์

ส่วนสินทรัพย์ประเภทโรงแรมและอาคารสำนักงานศูนย์การค้าที่ได้มาหลังจากการควบรวมจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ระดับ18 เปอร์เซ็นต์ ของสินทรัพย์ที่ใช้ในประกอบธุรกิจ ขณะที่สินทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุด ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนมากที่สุดประมาณ 63 เปอร์เซ็นต์

ปัจจุบันบริษัทมีทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท แบ่งเป็นที่ดินทั้งหมด 4 แปลง ล่าสุดเซ็นสัญญาขายไปแล้ว 2 แปลง มูลค่า 2,200 ล้านบาท คือ แปลงสุขุมวิท 17 ไร่ และแจ้งวัฒนะ 110 ไร่ คาดว่าจะโอนได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

ส่วนที่เหลือเป็นที่ดินย่านกรุงเทพกรีฑา มูลค่า 870 ล้านบาท ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการ 2 ราย สำหรับโครงการหอพัก ยูนิ ลอฟท์ จังหวัดเชียงใหม่ มูลค่า 500 ล้านบาท คาดว่าจะออกเป็นกอง REIT ประมาณไตรมาส 3-4 ปี 2557

“หากขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักทั้งหมดจะทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 35 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันยังจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน และภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทลดลง”

“ชายนิด” ยอมรับว่า หลังดีลนี้ PF จะยังคงมองหาโอกาสเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจต่อไป ล่าสุดอยู่ระหว่างเจราปรับโครงสร้างภายในของบริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน ถามว่าแนวทางจะเป็นอย่างไร PF อาจซื้อหุ้นเพิ่มเติมหรือขายหุ้นออกไปในสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ หากขายหุ้นออกจะได้เงินกลับมากว่า 1,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกันในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557 ยังมีแผนจะหาพันธมิตรให้โครงการ คิโรโระ สกีรีสอร์ท ประเทศญี่ปุ่น จากเดิมที่คาดว่าจะขายขาด เราเชื่อว่า พันธมิตรใหม่จะเข้ามาช่วยพัฒนาให้ผลประกอบการของรีสอร์ทแห่งนี้ดีขึ้น ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจากับนักลงทุนประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา