เปิดใจเสี่ย "บุณยสิทธิ์" เผยสเปคผู้นำอาณาจักรแสนล้าน

เปิดใจเสี่ย "บุณยสิทธิ์" เผยสเปคผู้นำอาณาจักรแสนล้าน

เครือสหพัฒน์องค์กรเก่าแก่กว่า 7 ทศวรรษ ในวันที่ผู้นำรุ่น3อย่าง "บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา" เข้าสู่วัย 78 ปี หากเขาวางมือใครจะเป็นผู้นำรุ่นถัดไป

ยังเป็นปริศนาว่าใครจะทำหน้าที่เป็น “แม่ทัพ” คนใหม่ รั้งเก้าอี้ “ประธานเครือสหพัฒน์" ต่อจาก “เสี่ยบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” เจ้าของอาณาจักรสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ของไทย เพื่อขับเคลื่อนองค์กรแห่งนี้ให้ “โตแล้วแตก และแตกแล้วโต” ผ่านเข้าสู่ทศวรรษที่ 8 รุ่งเรืองสู่การเป็นองค์กร 100 ปี

ล่าสุดในงานแถลงข่าว “สหกรุ๊ปแฟร์” ครั้งที่ 18 (SahaGroup Fair) เสี่ยบุณยสิทธิ์ ถูกห้อมล้อมด้วยทัพนักข่าว เขาแย้มพรายถึงบทบาทการทำงานของบรรดาทายาทตระกูลโชควัฒนา ในเจนเนอเรชั่นที่ 3 โดยมีเขาเป็นผู้นำทัพว่า เริ่ม “ถอย” ออกมาเป็น “ที่ปรึกษา” ผ่องถ่ายให้เลือดใหม่เจนเนอเรชั่น 4 มาแทนที่มากขึ้นเรื่อยๆ

“เริ่มเอาคนหนุ่มขึ้นมา รุ่นอย่างนี้ถอยไปแล้ว” เสี่ยฉายรอยยิ้มก่อนขยายความถึงการดึงเจนฯ 4 ขึ้นมากุมบังเหียนธุรกิจในเครือมากขึ้นว่า เป็นเพราะคนรุ่นใหม่จะมีแนวคิดใหม่ๆ ไม่ยึดติดแบบเดิมๆ ซึ่งเสี่ยเชื่อว่า “ความคิดใหม่” จะช่วยให้การค้าขายในยุคดิจิทัล โลกการค้าไร้พรมแดน “ดีขึ้น”

นั่นจึงทำให้ในการแถลงข่าวที่ผ่านมา มี 3 ทายาท ประกอบด้วย “ใหญ่ ธรรมรัตน์ โชควัฒนา” “หน่อย ธีรดา อำพันวงษ์” บุตรชายคนโต และบุตรสาวคนรองของเสี่ยบุณยสิทธิ์ และ “เว วทิต โชควัฒนา” บุตรชายคนที่สองของบุณย์เอก โชควัฒนา ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายคนโตของเสี่ยออกงานเต็มตัว

โดยทั้ง 3 รับบทเป็น Spokesperson บนเวทีเพื่อยกไฮไลท์ของงานสหกรุ๊ปแฟร์ในปีนี้มาเล่า

สะท้อนให้เห็นถึงการวางตัว Successor หรือทายาทผู้สืบทอดธุรกิจของเครือสหพัฒน์ ที่ฉายภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ

ไม่คนใดก็คนหนึ่งในนี้ มีสิทธิ์ลุ้นตำแหน่ง ประธานเครือสหพัฒน์ รุ่นถัดไป

ก่อนหน้างานนี้ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีโอกาสสัมภาษณ์เสี่ยบุณยสิทธิ์อย่างเป็นกันเองบนห้องทำงานชั้น 3 ณ บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เสี่ยเดินเท้าออกจากทาวเฮ้าส์ 3 คูหา ฝั่งตรงข้ามออฟฟิศใหญ่ เรียกว่าเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงบริษัท

ครั้งนั้นมีโอกาสถามถึง “ผู้นำ” คนถัดไป คำตอบแรกที่ได้รับคือ..

"ซัคเซสเซอร์ (ผู้สืบทอดตำแหน่ง) ไม่ต้องห่วง เพราะมีทายาท 17 คนในรุ่น 4" บุณยสิทธิ์ เล่า พร้อมหยิบยกธรรมเนียมของทายาทในตระกูล 30-40 คน ที่ยังมีนัด "กินโต๊ะแชร์" กันเป็นประจำ โดยมี "เจ้าภาพ" สลับสับเปลี่ยนเลี้ยงข้าวกันทุกสัปดาห์

ก่อนจะสำทับว่า การตั้งทายาทสานต่อธุรกิจตอนนี้ ยังไม่ได้ทำอะไรมากนัก พร้อมกับบอกด้วยว่า ตัวเขายังคงบริหารงานในองค์กร ดูแลการขับเคลื่อนธุรกิจ ยังไม่ได้ "โอน" อำนาจไปให้ทายาทคนใดคนหนึ่งดูแลเป็นพิเศษ โดย "เปิดทาง" ให้ทายาทมีอิสระในการทำงาน โดยเสี่ยจะไม่ลงลึกในรายละเอียดเหมือนในอดีต

"ดูยุคนี้ต้องผ่องถ่ายแล้วนะ..!!" เสี่ยเปรยขึ้นอีก ก่อนขยายความว่า "เรื่องทายาทจริงๆฉันไม่ได้ทำอะไรเยอะ สมัยก่อนต้องออกไปข้างนอกตรวจตลาด ตอนนี้ตลาดไม่ดี จึงอยู่ข้างในและดูเท่านั้น แต่ถ้าฉันไม่อยู่ก็เชื่อว่าจะมีคนผลักดันเครือสหพัฒน์ต่อ"

ภายใต้แนวคิด ไม่ต่างจากการเพาะพันธุ์ไม้ "เล็กๆ" ให้เป็นพุ่ม หว่านตรงไหนขอให้เติบใหญ่เป็นใช้ได้ ขณะที่บริษัทฉันนำ มักยกซัคเซสเซอร์เป็น "ต้นไม้ใหญ่ต้นเดียว"

"ต้องมีซัคเซสเซอร์ที่จะบริหารตรงนี้ต่อ แต่ของเราเป็นพุ่ม เหมือนกับหญ้า หว่านตรงไหนก็ได้ขอให้มันใหญ่ขึ้นมาก็แล้วกัน ถ้าไม่ดีก็ถอนทิ้งปลูกใหม่ แถมไต้ฝุ่นใหญ่แค่ไหนมาก็ไม่กลัว หากเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวเมื่อเจอลมพายุ ย่อมโค่นล้มได้ เมื่อต้นหนึ่งล้มองค์กรก็อาจจะล้มเลยทั้งหมด" กลายเป็นเฉลยที่ว่า "ทำไมอาณาจักรนี้จึงไม่กลัวเจ๊ง"

"ตอนฉัน ซัคเซสเซอร์ คุณพ่อ (นายห้างเทียม โชควัฒนา) ก็ไม่ได้วางฉันไว้ หรือให้ใครเป็นซัคเซสเซอร์ ถ้าชั้นไม่อยู่ก็มีคนเก่ง คนนั้นก็จะเป็นซัคเซสเซอร์ และอาจเป็นข้อเด่นของสหพัฒน์ ที่เรื่องนี้เราตกลงกันได้ โดยคนที่ผลักดันธุรกิจให้โตสุด จะกลายเป็นซัคเซสเซอร์(หัวเราะ)"

เสี่ยยังส่งสัญญาณคุณสมบัติของผู้นำเบอร์ 1 ซึ่งหากบุคคลใดไม่มีพื้นฐานดังว่า ย่อมเป็นซัคเซสเซอร์ไม่ได้ โดยเปรียบเปรยว่าเหมือนการบริหารประเทศ หากนักการเมืองไม่เก่ง ก็เป็นผู้นำไม่ได้

หากแต่พื้นฐาน คุณธรรมสำคัญของการขึ้นเป็น "ขุนพล" สำคัญที่สุดเสี่ยขอแค่ "ความซื่อสัตย์ ไม่เห็นแก่ตัว"

ปัจจุบันทายาทหลายคนถูกดึงเข้ามา "ลับคม"ความคิด ฝึกวิทยายุทธ์ รู้เหลี่ยมเกมธุรกิจจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นลูกชายของเสี่ยเองอย่าง "ธรรมรัตน์, ธีรดา, ธนินธร และฐิติภูมิ โชควัฒนา" ที่คุมธุรกิจเสื้อผ้าและแฟชั่นแบรนด์ดังใต้อาณาจักรบมจ. ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล ขนาบข้างอา "บุญเกียรติ โชควัฒนา" ซีอีโอแห่งไอ.ซี.ซี.ฯ ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายฝาแฝดของเสี่ย

ยังมี "เวทิต โชควัฒนา" กรรมการ บมจ. สหพัฒนพิบูล ,"เพชร พะเนียงเวทย์" กรรมการ บมจ.สหพัฒนพิบูล ลูกของพิพัฒ พะเนียงเวทย์ลูกหม้อเก่าแก่ในเครือสหพัฒน์ ผู้คุมทัพธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป "มาม่า" ใต้เงาบมจ.ไทยเพรซิเดนท์ ฟูดส์

ยังมี "ชัยลดา โชควัฒนา" บุตรสาวของ "บุญชัย โชควัฒนา" แม่ทัพใหญ่ผู้กุมบังเหียน บมจ.สหพัฒนพิบูล ที่เริ่มงานจากบริษัท ฟาร์อีส ดีดีบี บริษัทโฆษณาของครอบครัว ปัจจุบันผันมาช่วยงานด้านผลิตภัณฑ์ 2 ดูแลธุรกิจอาหาร

มองผิวเผินอาจคลาคล่ำไปด้วยลูกหม้อและคนในตระกูล แต่เสี่ยบอกตามตำราสูตรสำเร็จ "คนนอก" ก็เข้ามาสร้างองค์กรแห่งนี้ให้เติบใหญ่ได้ไม่ด้อยไปกวก่าคนใน

"คนนอกเราเยอะนะ ขนาดผู้ใหญ่ก็คนนอก แต่จะเข้ากับองค์กรทันที ก็ต้องใช้เวลา มันต้อง Merge(รวมกัน)อยู่เรื่อยๆ" เช่น "ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รั้งเก้าอี้ประธานบมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) และที่ปรึกษาของเสี่ยซึ่งพบปะกันประจำบนห้องทำงานชั้น 3 หรืออดีตข้าราชการอย่าง "จันทรา บูรณฤกษ์" อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก อธิบดีกรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ ที่เข้ามานั่งเป็นกรรมการผู้จัดการ SPI แม้กระทั่งองค์กรยักษ์ใหญ่ที่เป็นพาร์ทเนอร์ก็เป็นส่วนสำคัญ เช่น อิโตชู คอร์ปอเรชั่น, มิตซูบิชิ, ลอว์สัน อิงค์ แจแปน เป็นต้น

ครั้นถามว่าปี 2557 ไฉนไร้นักบริหารมือฉมัง อดีตข้าราชการผู้ใหญ่มาเป็น “กุนซือ” ขนาบข้างลูกหลานสหพัฒน์ เสี่ยอมยิ้มก่อนตอบว่า “ไม่มี” แม้ “ทายาทเราต้องการกุนซือนะ แต่ต้องดูว่าเข้ากันได้ไหม และปีนี้ไม่มีนโยบายดึงใครเข้ามา”

จะว่าไปแล้วเลือดใหม่เจนฯ 4 เข้ามาบริหารงานพักใหญ่ แต่ดูไม่ค่อยถูกใจเสี่ยนัก โดยเสี่ยบุณยสิทธิ์ ยอมรับเองว่า

"เห็นแล้วเดินช้าไปหน่อย ไม่รู้ว่าติดอะไร แต่นี่เป็นธรรมชาติของคน ถ้ายังมีกิน อยู่สบาย ก็เข็นช้า คนรุ่นใหม่โตมามีกิน ไม่เหมือนตอนสร้างบริษัท ยุคนั้นต้องอดทน ตอนนี้มันเป็นยุคพี่เลี้ยงน้อง ต้องเลี้ยงอยู่เรื่อยๆ ตอนนั้นถ้าไม่ทำไม่ได้กินเลยล่ะ" เสี่ยวิพากษ์ลูกหลาน

“แต่ตอนนี้อึดอัดอยู่ เพราะเขา (ทายาท) ทำช้าไง เมื่อเทียบกับชั้นวัยรุ่น (หัวเราะ) ตอนรับไม้ต่อจากพ่อ ยอดขายดับเบิ้ล เบิ้ลๆได้" อีกเหตุผลที่ "ช้า" เสี่ยวิเคราะห์เพราะฐานธุรกิจ "ใหญ่" แต่เชื่อว่าอนาคตยังมีโอกาส "Speed" ได้ไม่ยาก

ยุคนี้ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของไทยนิยมใช้ “ทางลัด” โดยการซื้อควบรวมกิจการเพื่อให้ธุรกิจเติบใหญ่ แต่เสี่ยไม่ได้มอบหมายนโยบายนี้ให้ลูกหลานต้องทำ

"คิดว่าพวกนี้ต้องไปแบบธรรมชาติจะดีกว่า ถ้าเราไปฝืนธรรมชาติ ถ้าสำเร็จก็สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จก็เจ็บตัว สอดคล้องปรัชญาการทำงาน เร็ว ช้า หนัก เบา ถ้าฉันไม่มีของกินแล้ว ก็อาจจะใช้แบบนี้”

แล้วอะไรที่ทายาทต้องพิสูจน์ผลงาน??

ในฐานะนักธุรกิจรุ่นลายคราม ทว่าความคิดยังวัยรุ่น เสี่ยวิเคราะห์ธุรกิจอย่างเฉียบแหลม อ่านเกมการแข่งขันขาด ชี้ทิศทางที่สหพัฒน์ต้องเดินในอนาคตด้วยการรุก "ช่องทางจำหน่ายสินค้า" แบบ "Omni Channel" ตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เข้าถึงสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา

เขายังไล่เรียงจุดอ่อนที่บริษัทในเครือต้องพลิกยุทธศาสตร์ธุรกิจใหม่ เช่น ไอซีซี ธุรกิจไม่ดีเหมือนอดีต ถึงช่วงเปลี่ยนยุค ปรับวิธีการทำงาน การบริหารสต๊อกสินค้าเรื่องง่ายสุด หาจุดสมดุล ไม่ทำต้นทุนพุุ่ง แถมเพิ่มกำไร เรื่องเหล่านี้ป่าวประกาศมา 4-5 ปีก่อน "แต่คนไม่เชื่อฟัง" อีกทั้งเรื่องล้ำสมัย "เทคโนโลยี" เครื่องมือสำคัญที่เอื้อต่อการค้า เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทายาทต้องหาทางสร้าง “จุดแข็ง” ย้ำการเป็นหนึ่งของยักษ์สินค้าอุปโภคบริโภคให้ได้

ทว่า..โจทย์ใหญ่ที่ทายาทรุ่น 4 ต้องผนึกกำลังคือ การสานเป้าหมายของเสี่ยบุณยสิทธิ์ ผู้เป็นอะไรก็ได้ขอแต่ต้องเป็น “หนึ่ง”

"ที่ห่างไกลคือทุกอย่างต้องเป็น นัมเบอร์วัน สหพัฒน์ต้องนำอยู่เรื่อย แต่เพราะมันไม่เป็นที่ 1 ฉันเลยอึดอัดใจอยู่นี่ไง วาโก้แม้จะเป็นที่ 1 ถ้าทำไม่ให้ดีกว่านี้ก็มีโอกาสเป็นที่ 2 ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ มาม่าเป็นที่ 1 แล้ว แต่สินค้าตัวอื่นยังไม่เป็นที่ 1 น่ะสิ" เสี่ยทิ้งโจทย์ใหญ่ยากให้ทายาทขบคิด

เครือสหพัฒน์คือเบอร์ 1 ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ที่วัดยอดขายก็มากกว่า 2 แสนล้านบาท และบริษัทในเครือกว่า 300 บริษัท พนักงานมากกว่า 1 แสนชีวิต ที่ดูแลผลิตสินค้ากว่า 3,000 รายการ 1,000 ตราสินค้า ป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศ

ดังนั้นการเฟ้น “แม่ทัพคนใหม่” ธรรมดาได้ซะที่ไหน ???

---------------------------------------

"ผมไม่ใช่ตัวเต็ง หรือผู้ท้าชิง"

"ใหญ่ ธรรมรัตน์ โชควัฒนา" กรรมการผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ออกตัวว่า เขาและทายาท (เวทิต โชควัฒนา, ธีรดา อำพันวงษ์) ไม่ใช่ตัวเต็งหรือเป็นผู้ท้าชิง (candidate) ที่จะสืบทอดตำแหน่ง "แม่ทัพคนใหม่" ของเครือสหพัฒน์ เจ้าตัวยังบอกว่า ไม่ได้มาฝึกปรือฝีมือการให้ข่าวด้วย

ครั้นถามว่า มีทายาทคนไหนส่อแววเป็น Successor หรือธุรกิจใดที่ยอดขาย “เติบโตสูงสุด” ธรรมรัตน์ตอบชัดว่า

"ไม่รู้ และยังไม่มีการวางตัวใครไว้" เขาย้ำ ก่อนขยายความว่า "อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ได้" นี่อาจถึงเวลาที่จะ "โตแล้วแตก และแตกแล้วโต"

ส่วนการมองว่า โจ หรือ เพชร (พะเนียงเวทย์) ลูกชายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ เป็นคนนอกที่ชื่อเข้าตาคุณสมบัติโดนใจ เขาแย้งทันที "โจไม่ใช่คนนอก แต่เป็นคนที่เจอกันมาตั้งแต่เด็กๆ"

ต่อข้อครหาทายาทรุ่น 4 สปีดธุรกิจช้า เรื่องนี้ธรรมรัตน์ แจงว่า

"สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปทุกด้านทั้งโครงสร้างองค์กร จำนวนบริษัทที่มากกว่า 300 บริษัทในเครือ การแข่งขัน เทคโนโลยีและอีกนานัปการ ล้วนมีผลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจ เมื่อก่อนสั่งงาน 1 อาจถึง 10 ได้ แต่ปัจจุบันจะสั่งงานให้ 1 ถึง 100 อาจทำได้แค่ 10 เพราะบริษัทมีจำนวนมาก แต่เมื่อก่อนบริษัทมีน้อย"

----------------------------------------

ผู้สืบทอดไม่จำเป็นต้องเป็นคนในตระกูล

“บุญชัย โชควัฒนา” ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) วัย 66 ปี เปิดห้องทำงานและเผยความคิดลุ่มลึก เฉียบขาด มองการเคลื่อนทัพครั้งใหญ่ พร้อมกับการวางทายาท ผู้ทำหน้าที่ขุนศึกรุ่นใหม่รับทศวรรษหน้า

“ผู้นำทุกคนไม่ว่าจะมีความสามารถหรือเก่งกล้าสักเพียงใด วันหนึ่งก็ต้องเกษียณอายุ ต้องวางมือจากธุรกิจ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างรุ่นใหม่ขึ้นมารับช่วงต่อ การสรรหาคนที่จะมารับช่วงจึงเป็นภารกิจที่ผู้นำต้องให้ความสำคัญหาคนที่ถูกต้องเหมาะสม"

โจทย์หินในยุครอยต่อขยายอาณาจักร ที่ต้องกระโจนออกจากคอมฟอร์ทโซน สลัดความมั่งคั่ง อยู่อย่างสบายเคยชินเฉพาะภายในประเทศที่โกยยอดขาย 80% และจากต่างประเทศ 20% จึงต้องขยายอาณาจักรไปต่างประเทศรับศึกและรุกคว้าโอกาสจาก AEC ขืนเดินเฉิดฉายสบายจนชินแต่ภายใน ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกลอบเข้ามาตี จากทุนหนาเข้ามาซื้อหรือควบรวมกิจการ(M&A) อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ย่ำอยู่กับที่เท่ากับเดินถอยหลัง หากคู่แข่งวิ่งสปีดไม่ช้าก็ต้องรั้งท้าย”

ดังนั้นคนที่จะมาสืบทอดธุรกิจ บุญชัยระบุว่า ต้องมีความสามารถทำให้ธุรกิจใหญ่โตมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และขยายไปในสาขาอื่น ไม่ใช่จำกัดตัวเองในแบบเดิมๆ พร้อมกันกับเตรียมออกไปต่างประเทศ ตามความเหมาะสม

โดยระบุด้วยว่า "ไม่จำเป็นต้องเป็นคนในตระกูล"

“ไม่จำเป็นต้องเป็นคนในตระกูล แต่หากได้คนในตระกูลก็ดี หากไม่ได้ก็ยอมเปิดกว้างให้คนมีความสามารถได้เข้ามาทำหน้าที่สืบทอด” เขายังยืนยันการส่งต่อผู้นำอย่างมืออาชีพ

ทว่า..ตัวเลือกในมือของบุญชัย ที่อยู่ในหัว ประกอบด้วย เว (เวทิต โชควัฒนา) กรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ,โจ (เพชร พะเนียงเวทย์ ) กรรมการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ลูกของพิพัฒ ลูกหม้อสหพัฒน์

พิพัฒ ทำงานตั้งแต่ยุคก่อตั้งผู้จนขึ้นมาเป็นผู้นำ อาณาจักรมาม่า โดยเบ็ดเสร็จเป็นเวลากว่า 40 ปี เขามีลูกชายที่ตามติดพิพัฒเหมือนเงาตามตัวมานานเกินกว่า 10ปี ถูกส่งมาจากฝั่งมาม่า เข้ามาช่วยงานเวทิต นานกว่า 1 ปี

ส่วนคนสุดท้าย เขาเอ่ยถึงคือลูกสาวของบุญชัย คือ ชัยลดา ที่เริ่มงานจากบริษัท ฟาร์อีส ดีดีบี บริษัทโฆษณา ของครัว ที่ปัจจุบันเข้ามาช่วยงานด้านผลิตภัณฑ์ 2 ส่วนใหญ่คือกลุ่มอาหาร มีตำแหน่ง กรรมการบริหารบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน)

พวกเขาน่าจะเป็นทายาทผู้สืบสานธุรกิจสหพัฒน์ในยุคเจนใหม่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด

“แม้เราจะเป็นธุรกิจครอบครัวซึ่งดีตรงมีความเป็นเจ้าของ แต่เราบริหารอย่างโปรเฟสชั่นแนล (มืออาชีพ) ผมเป็นคนกินเงินเดือนคนหนึ่ง แต่เผอิญนามสกุลโชควัฒนา หากรีครูทคน เป็นลูกหลานไม่เอาไหนก็ไม่เอา แต่คนรุ่นใหม่ที่จะส่งต่อไปยังโอเค มีเว(เวทิต) โจ(เพชร) มิ๊ง(ชัยลดา)ทุกคนมีความสามารถจบนอกทั้งนั้น" บุญชัย ไล่เรียงเลือดใหม่ พร้อมบ่งบอกสเปคผู้นำเจนเนอเรชั่นถัดไป ว่าคนเลือดใหม่ที่จะพาสหพัฒน์เดินต่อไปอย่างองอาจ จะต้องมีความสามารถ ทัศนคติต้องดี มีความเป็นมืออาชีพ มีหลักคิดดี รักองค์กร พร้อมจะทุ่มเท เสียสละ เปิดรับแนวคิดคนรุ่นก่อนพร้อมสืบสานธุรกิจให้เติบโตก้าวไปข้างหน้า

“ตอนนี้ให้ทุกคนได้พิสูจน์ตัวเองว่าใครจะมีความสามารถใครทุ่มเท รับความคิดและปฏิบัติตามแนวทางแล้วก็จริงจังกับงานที่ทำ มีความคิดริเริ่ม และสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้องค์กร สักพักก็จะเห็น อาจจะไม่ใช่คนหนึ่ง หลายคนช่วยกันก็ได้” เขาเปิดกว้างทางความคิด

สเปคของบุญชัยตั้งใจให้เจน 3 มีส่วนผสมดีเอ็นเอ ที่ส่งต่อมาจากนายห้างเทียม และบุณยสิทธิ์ รวมถึง จนถึงรุ่นหลัง สิ่งที่พวกเขา(คนรุ่นก่อนมี)คือเลือดนักสู้ ขยัน ถ่อมตัว มีวินัย อดทน มุ่งมั่น มีทัศนคติและมีวิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้าได้ยาวไกล

“ลูกหลานผมก็ต้องมีดีเอ็นเอของผม ที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นก่อน ส่วนโจ ลูกของพิพัฒ ลูกหม้อก็ทำงานมานานจนเป็นครอบครัวเดียวกัน” เขาพูดถึงเด็กรุ่นใหม่

ความจริงแล้วตามธรรมเนียมของสหพัฒน์รู้กันดีว่าจะไม่เปิดเผยชื่อหรือวางใครไว้อย่างชัดเจน เพราะกลัวความขัดแย้งจะตามมา

ทว่า ณ เวลานี้ก็พอดูออกว่า “บุญชัยเล็งเวทิตไว้ เป็นขุนศึกเบอร์ต้น”

บุญชัยพูดถึงเวทิตว่า เขาอาจจะไม่ใช่ perfect person (คนที่สมบูรณ์แบบ) แต่เขาก็ถือว่าเป็น The Best (ดีที่สุด) แม้จะดูไม่ดุดัน (Aggressive) เท่ากับบุญชัย เพราะเกิดจากพื้นฐานการเติบโตกันคนละยุค คนนี้เติบโตมาสบายกว่ารุ่นก่อน ระหว่างที่เขาไปเรียนต่างประเทศต้องเก็บเงินซื้อรถเอง ขณะที่เวทิต มีอพาร์ทเมนท์อยู่ มีรถขับพร้อม จึงมีผลทำให้รักความสบายไปโดยปริยาย

บุญชัย เติบโตมาในช่วงที่ยังอยู่บ้านเช่าแถวสุขุมวิท และครอบครัวเพิ่งมีรถคันแรกในช่วงที่เขาเกิด พลังแห่งการอยากไต่เต้าเอาชนะอุปสรรคความลำบาก จึงมีมากกว่าเด็กรุ่นหลัง

“สถานการณ์แวดล้อมทำให้รักสบาย จึงต้องสร้างความกดดัน (pressure) ซึ่งเขาโดนมาตลอด เขามักคิดว่าทำแค่นี้ก็พอแล้ว แต่ผมบอกว่า ทำแค่นี้ไม่พอ ขยันแค่นี้ไม่พอ ต้องเปิดเกมรุก (Aggressive) และท้าทาย(Challenge) ตัวเองตลอด

"แค่นี้ไม่พอ” เขาบอกวิธีการสร้างทายาทถ่ายทอดความคิด

เหมือนเช่นเขา ที่บอกกับตัวเองเสมอว่า หากวันไหนที่คิดว่าเราประสบความสำเร็จ คือจุดเริ่มต้นของความล้มเหลว เขาจึงบอกตัวเองเสมอว่ายัง "ไม่ถึงจุดสำเร็จ"

เวทิตกำลังรับหน้าที่ดูแลธุรกิจอนาคตของเครือสหพัฒน์ เพราะค้าปลีก เกี่ยวข้องกับจุดแข็งด้านการกระจายสินค้าของสหพัฒน์ เป็นสิ่งที่สร้างระบบซัพพลายเชน หรือโลจิสติกส์ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ มีผลทำให้สินค้าในเครือสหพัฒน์ได้ถึงผู้บริโภคอย่างมีศักยภาพ สามารถต่อยอดไปหาพันธมิตรอื่นได้จากจุดแข็งนี้

ขณะที่ ดาวรุ่งอีกดวง เพชร ลูกชายคนที่ 2 ของพิพัฒ แม้ตัวเขาจะปฏิเสธมาตลอด กับอาวุโสที่ยังไม่ถึงขั้นขึ้นไปสู่ระดับบริหารงาน ทว่า เขาก็เป็นคนเดียวที่ใกล้ชิดพิพัฒที่สุด และเป็นคนเดียวตามติดพ่อมากที่สุด จึงถูกจับตาไปโดยปริยาย

เพชร ยังเป็นคนเดียวที่ถูกส่งมาให้เข้าไปช่วยดูแลงานด้านการตลาดไปช่วยดูแลกับทีมเวทิต และชัยลดา (ลูกสาวของบุญชัย) ซึ่งเป็นคนจากสหพัฒน์ ปัจจุบันเขาจึงทำหน้าที่ผู้ช่วยเวทิตไปในตัว

เพชรยังเคยไปช่วยทำบะหมี่ 4me เมื่อครั้งที่สหพัฒน์ร่วมทุนกับแกรมมี่ แต่ปัจจุบันได้ปิดตัวไปแล้ว

เพชรค่อนข้างมีความคล่องตัว และทักษะความเป็นนักบริหารสูง มีพลังในตัวเองค่อนข้างมาก ถูกสอนมาให้เป็นคนที่ติดดิน ไปพร้อมกันกับกล้ามีไฟกล้าเอื้อมดาว ท้าทายตัวเอง ไปในตัว

แม้เขาดูจะไม่มีทางเลือกนักกับหน้าที่ผู้พ่อยัดเยียดให้มาดูแลกิจการมาม่า แต่เขาก็รับมาทำอย่างตั้งใจ และบอกกับตัวเองว่า

“เกิดมาอยู่ในสายเลือดนี้แล้ว(เห็นมาม่าตั้งแต่ยังเล็ก) ก็เกิดมาอยู่ตรงนี้จะไปทำอย่างอื่น แล้วไปทำอะไร ตรงนี้ไม่มีอะไรให้ทำเหรอ คนตั้งร้อยแปดพันเก้าอยากมาทำมาม่า เราได้ทำแล้วทำไมไม่ทำให้ดี”

แต่สำหรับตำแหน่งผู้บริหารหรือผู้นำเจน 3ของไทยเพรซิเดนท์ฯ (มุ้งเล็กใต้มุ้งใหญ่สหพัฒน์) ที่ใครๆ ก็คิดว่าเขาเป็นหนึ่งในนั้นเขายังคิดว่า "มันไกลไปสำหรับเขา"

“ยังอีกไกลไม่ใช่แค่ผมเพียงคนเดียวที่สำคัญในมาม่า ยังมีพี่ชายและพี่สาวผม ที่ทุกคนสำคัญเท่ากันหมด ยังต้องผ่านผู้บริหารอีกเยอะแยะไม่ต้องรีบ” เขาปฏิเสธเสียงสูงพร้อมหัวเราะ

ภารกิจหลัก ณ วันนี้ที่เขาตั้งใจไว้คือการทำขยายมาม่าให้เข้าถึงคนทุกกลุ่ม ทุกเซ็คเมนท์ ทั้งตลาดพรีเมี่ยมและเด็ก เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรองรับการแข่งขันที่จะมีขึ้นในอนาคต เมื่อเปิดเสรี AEC จะมีมาม่าจากนอกประเทศ ทั้งสัญชาติเกาหลี และสัญชาติอื่นๆ เข้ามาแข่งเป็นทางเลือก ดังนั้น เขาจึงต้องเตรียมพร้อมสู้ศึก

ขณะที่ มิ๊ง ชัยลดา ลูกสาวของบุญชัย จากลูก 2 คน แต่ลูกชาย (ชัยลดล) ไม่ได้เข้ามาในกิจการสหพัฒน์หันไปเอาดีทางด้านวงการบันเทิง จึงเหลือแต่เพียงเธอ

ชัยลดาเคยเข้าทำงานด้านโฆษณากับบริษัทในเครือก่อนย้ายมาช่วยงานด้านประชาสัมพันธ์กับธุรกิจในสหพัฒน์ บทบาทของเธอยังไม่โดดเด่นนัก แต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งใน 3 ของทีมที่คนรุ่นใหม่ที่บุญชัยมอบหมายให้เป็นผู้ทำการตลาด ผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นตัวพิสูจน์ผลงาน