"ตัน" โชว์โรดแมพ "อิชิตัน" ปลุกยักษ์ตื่น & โกอินเตอร์

แม้ไม่รู้จักคนขาย แต่ ตัน ภาสกรนที ก็ปิดดีลไบเล่ลงตัวแฮปปี้ทุกฝ่าย เจ้าตัวบอกสิ้นปีงัดกลยุทธ์มาร์เก็ตติ้ง ดันยอดขายไบเล่แตะหมื่นลบ.ปี 58
"ฮิตตั้งแต่ยังไม่ขายหุ้น IPO”
เข้าตลาดหุ้นมาไม่ถึงเดือน (21 เม.ย.2557) “หุ้น อิชิตัน กรุ๊ป” หรือ ICHI ของ “ตัน ภาสกรนที” เจ้าพ่อชาเชียว ขยันสร้างเซอร์ไพรส์ไม่หยุดหย่อน ราคาหุ้นพุ่งจาก IPO 13 บาท มายืนระดับ 20 บาท ได้เพียง 10 วัน คือ เรื่องตื่นเต้นแรก แม้นักวิเคราะห์หลายรายจะพยายามแสดงความเห็นว่า ราคาหุ้น ICHI วิ่งเกินพื้นฐานแล้ว แต่ราคาหุ้นยังคงมีท่าทีจะวิ่งต่อไป
ซื้อขายได้ 16 วัน “อิชิตัน กรุ๊ป” ประกาศความฮอตรอบใหม่ ด้วยการทุ่มงบลงทุน 1,780 ล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อเครื่องหมายการค้า “ไบเล่” พร้อมสูตรการผลิตจากบริษัท ซันนี่ เฮิร์บ อินเตอร์เนชั่นแนล เบฟเวอเรจ จำกัด หรือ SUNNY จำนวน 240 ล้านบาท
รวมถึงนำไปซื้อที่ดิน 76-100 ไร่ จากบมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำนวน 244.9 ล้านบาท และซื้ออาคาร ระบบภายใน เครื่องจักรอุปกรณ์จำนวน 1,295.1 ล้านบาท เพื่อขยายเฟส 2 ในกรณีที่โรงงานเฟสแรกเต็มกำลังการผลิตแล้ว
ในวันที่บริษัทแจกแจงแผนลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ราคาหุ้น ICHI วันที่ 15 พ.ค.2557 พุ่งไปยืน “จุดสูงสุด” ระดับ 27 บาท ก่อนจะมีกระแสข่าวลือหลุดออกมาเป็นระลอกกระตุ้นราคาหุ้น โดยเฉพาะแผนเทคโอเวอร์เครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่นมเปรี้ยวยี่ห้อดัง
“ถามได้ทุกเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องที่พูดไปแล้วก็ตาม” เจ้าของ “อิชิตัน กรุ๊ป” พูดออกตัวเหมือนรู้ว่า วันนี้ต้องตอบทุกคำถาม
เขา เริ่มต้นเล่าเส้นทางการได้ “ไบเล่” มาครอบครองว่า..
ดีลนี้เกิดจากการพูดคุยระหว่างที่ปรึกษาทางการเงินฝั่งผู้ขาย ซึ่งตันบอกว่าไม่รู้ว่าผู้ขายเป็นใครกับบล.เอเซียพลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ “อิชิตัน กรุ๊ป”
ฝั่งผู้ขายบอกว่า สิ่งที่ไบเล่ขาดมีอยู่ในตัวของ “ตัน” และอิชิตัน นั่นคือ “ทุน- โรงงานที่ดี -ต้นทุนต่ำ-มาร์เก็ตติ้ง” ที่ผ่านมา “ไบเล่” มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีโปรดักส์ที่ดี แต่ติดปัญหาเรื่องเงินลงทุน และเครื่องจักรที่มีอายุถึง 40 ปี ฉะนั้นต้นทุนและคุณภาพของเขาย่อมสู้แบรนด์ที่อยู่ในตลาดไม่ได้
“อิชิตัน กรุ๊ป” ใช้เงินซื้อไบเล่แค่ 240 ล้านบาท แบ่งเป็นเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย 80 ล้านบาท และเครื่องหมายการค้าใน 15 ประเทศ ตกประเทศละ 10 บาท ที่เหลืออีก 10 ล้านบาทเป็นค่าสูตรไบเล่ 3 สูตร (น้ำส้ม องุ่น มะนาว) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อเพียงครั้งเดียว แต่สามารถเป็นเจ้าของได้ตลอดชีวิต โดยไม่ต้องเสียค่าไลเซ่นส์ และไม่ต้องขออนุญาตเวลาจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่
เขา เล่าต่อว่า “ผมไม่รู้ว่าเจ้าของไบเล่คนเก่าชื่ออะไร” รู้เพียงว่า เขาอายุมากสุขภาพไม่แข็งแรงเท่าไร ด้วยความที่บริษัทซื้อแค่เครื่องหมายการค้าและสูตร ไม่ได้ซื้อโรงงานและเครื่องจักร ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคุยกับเจ้าของ ที่สำคัญได้ราคาที่น่าพอใจ และเราไม่ต้องการอะไรจากเขา ขอให้เขาขายสินค้าที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้ให้หมดก่อนสิ้นปีก็พอ
ตันบอกด้วยว่า ส่วนตัวมีความเชื่อมั่นเรื่องแบรนด์ไบเล่ เพราะมีประวัติศาสตร์ที่สำคัญ อย่างแบรนด์ไบเล่ของแคลิฟอร์เนียมีอายุแล้ว 96 ปี แบรนด์ในประเทศญี่ปุ่นมีอายุ 60 กว่าปี ซึ่งมีอาซาฮีเป็นคนทำตลาด ฉะนั้นเมื่อเทียบกับเงินแค่ 80 ล้านบาท ถือว่า “ถูกมาก” ในแง่ของคนที่เข้าใจมาร์เก็ตติ้ง แต่หากคนที่ไม่มีอาวุธ ทำให้ดียัง “ขาดทุน”
ที่สำคัญแบรนด์ไบเล่ยังขายได้ “ไบเล่” เปรียบเหมือน “ยักษ์หลับ” คนอายุ 30 ปีขึ้นไป ต้องรู้จักเพียงแต่เป็นน้ำส้มที่อร่อยแต่หาดื่มยาก วันนี้เขาผลิตอยู่เท่าไรไม่มีตัวเลขจริงๆ แต่เราดื่มมาตั้งแต่เด็ก ทำให้มั่นใจว่า รสชาติถูกปากคนไทยแน่นอน ฉะนั้นหากเราจะนำมาสร้างใหม่"ไม่ใช่เรื่องยาก" ซึ่งบริษัทสามารถนำไบเล่มาผลิตในโรงงานแรกของเราได้ทันที ปัจจุบันทุกโมเดิร์นเทรดรู้จักไบเล่เป็นอย่างดี
วันนี้ “ไบเล่” กำลังจะมาอยู่ภายใต้ร่มเงาของ “อิชิตัน กรุ๊ป” ดังนั้นไบเล่จะไม่จำกัดตัวเองเป็นแค่น้ำส้มอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นน้ำผลไม้ที่มี “ทุกรสชาติ ทุกประเภท ทุกไซด์” เราจะทั้งแบบขวด และกล่อง ยกเว้นขวดแก้ว เพราะอนาคตคงหาคนงานแบกถังยาก แถมต้องมาเสียค่าขนส่งอีก เราจะเดินกลยุทธ์ไบเล่เหมือนประเทศญี่ปุ่นที่ทำน้ำผลไม้ทุกรสชาติ
ถามว่าดีลนี้ใช้เวลาเจรจานานไหม ? เขาบอกว่า ไม่นานแค่ 2-3 เดือน ส่วนตัวเชื่อว่าจะสามารถสร้าง “จุดคุ้มทุน” ได้ภายใน 2 ปี หากนำเงินลงทุน 80 ล้านบาท มาคำนวณในการลงทุนทำน้ำส้มแค่ตัวเดียว โดยไม่รวมรสชาติอื่นๆ ซึ่งสวนทางกับความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินที่บอกว่า "ต้องใช้เวลานานถึง 7 ปี"
“ยอดขาย 300-400 ล้านบาท ก็ทำให้เราคืนทุนได้ภายใน 2 ปี”
จะใช้กลยุทธ์อะไรกระตุ้นยอดขายไบเล่? “ตัน” ตอบคำถามนี้ว่า ตั้งแต่ “อิชิตัน กรุ๊ป” ประกาศซื้อสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้าไบเล่ สื่อทุกช่องทางออกข่าวของเราตลอด ทำให้วันนี้ ยอดขายน้ำส้มเริ่มขาดตลาดแล้ว นั่นเป็นเพราะทุกคนตกใจว่า “ไบเล่” กำลังจะกลับมาภายใต้แบรนด์ของชายชื่อ “ตัน” วันนี้เรามี “แฟนคลับ” ที่อยากอุดหนุนแบรนด์ “อิชิตัน กรุ๊ป” อยู่แล้ว คุณมาสัมภาษณ์ ผมก็ลงข่าวฟรีละ เขาหันมาหยอก
เมื่อแบรนด์ไบเล่มาผลิตในโรงงานของอิชิตัน กรุ๊ป ต้นทุนต่อขวดย่อมจะถูกลงทันทีอย่างน้อย 1-2 บาทต่อขวด ซึ่งจะทำให้เรามีเงินเหลือ เพื่อไปทำโฆษณา เงินที่หายไป 1-2 บาทต่อขวดเป็นเรื่องใหญ่นะ วันนี้โรงงานของอิชิตัน กรุ๊ป สามารถผลิตได้ต้นทุนต่ำกว่าทุกเจ้า แต่คงบอกเป็นตัวเลขไม่ได้ เพราะเครื่องจักรของเราทันสมัยเป็นระบบอัตโนมัติ และมีพนักงานในโรงงานแค่ 100 กว่าคน รวมในออฟฟิศมีแค่ 200 คน
“จริงๆ เราสามารถสร้างแบรนด์น้ำผลไม้เองได้ แต่คงใช้เงินมากถึง 200-300 ล้านบาท และอาจไม่ติดตลาดด้วยซ้ำ”
“ชายวัย 55” ยอมรับว่า ก่อนหน้าจะสรุปซื้อแบรนด์ไบเล่ มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของแบรนด์น้ำผลไม้ต่างประเทศ 2-3 ราย แต่แบรนด์ไบเล่น่าซื้อที่สุด เพราะแบรนด์อื่นเราจะได้แค่ค่าไลเซ่นส์ ซึ่งต้องเสียเงินส่วนนี้ประมาณ 2-5 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย และเราจะไม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์เองได้ โดยต้องขออนุญาตเจ้าของแบรนด์ทุกครั้ง ซึ่งเขาจะให้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แถมรสชาติของเขาอาจไม่ถูกปากคนไทยก็ได้ แม้แบรนด์ของเขาจะแข็งแรงก็ตาม
สิ้นปี 2557 เราจะออกน้ำส้มไบเล่รสชาติเดิมในรูปแบบใหม่ โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้เราจะใช้เวลาในการโอนสิทธิ์เครื่องหมายการค้า พัฒนาขวดใหม่ สั่งห้องเย็น สั่งของ ขออนุญาตผลิตภัณฑ์อาหาร (ขอเครื่องหมาย อย.) และเตรียมงานโฆษณา เป็นต้น ฉะนั้นสินค้าใหม่ๆ คงจะออกได้ในปี 2558
ไตรมาส 4/2557 โรงงานอิชิตัน กรุ๊ป จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านขวดต่อปี ซึ่งสามารถนำเศษส่วนเล็กๆ ในโรงงานเดิมมาผลิตไบเล่ได้ เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า สิ้นปี 2557 อยากได้ยอดขายไบเล่ประมาณ 200 ล้านบาท เท่ากับว่า เราต้องผลิตไบเล่ 20 ล้านขวด ตกขวดละ 10 บาท แม้จะแบ่งการผลิตของชาเขียวและเย็นเย็นมาผลิตไบเล่ แต่ไม่ต้องห่วงยอดขายสองส่วนไม่ตกแน่นอน เพราะยังมีกำลังการผลิตในชาเขียวและเย็นเย็นอีก 980 ล้านขวดต่อปี
“ปี 2558 อยากมียอดขายไบเล่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนยอดขายชาเขียวและเย็น เย็น ยังไม่รู้ บอกได้เพียงว่า เป้าหมายในปี 2557 ต้องโตประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์”
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า “อิชิตัน กรุ๊ป” ไม่ถนัดทำน้ำผลไม้ ฉะนั้นอาจไม่ประสบความสำเร็จ “ตัน” หัวเราะก่อนตอบคำถามนี้ว่า
“วันนี้ผมได้ทั้งสูตรและแบรนด์ เหลือเพียงนำมาร์เก็ตติ้งไปใส่อย่างเดียว” ครั้งก่อนเราไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทำแบรนด์ใหม่ ที่สำคัญสูตรและวัตถุดิบมีปัญหา “อย่าลืมผมถนัดมาร์เก็ตติ้งนะ” เขาสถบ
โรงงานทันสมัยทำให้มีต้นทุนที่ต่ำ แถมเรายังมีจำนวนมาก รับรองทำได้ดีกว่าเดิมแน่นอน “ไบเล่” ไม่มีทางขายไม่ได้ ยิ่งมาอยู่ในมือผมยิ่งขายได้มากกว่าคนอื่น สมมติไบเล่มาอยู่ในมือเราตั้งแต่ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมารับรองยอดขายกระฉูด ตอนนี้ยังไม่ขอบอกเรื่องการทำแผนการตลาดเก็บไว้เป็นความลับก่อน
เขา บอกว่า ไม่ว่าชายชื่อ “ตัน” จะเข้าไปในเซกเมนต์ไหน เชื่อสิว่า เติบโตทั้งเซกเมนต์ ไม่ใช่โตเพียงเราคนเดียว ที่ผ่านมาตลาดน้ำผลไม้ขยายตัวอย่างช้าๆ เฉลี่ยปีละหมื่นล้านบาททุกปี เราทำตลาดชาเขียวมา 12 ปี ตลาดโตมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ทุกปี ฉะนั้นเมื่อเราโดดเข้ามาในตลาดน้ำผลไม้ตัวเลขคงไม่โตในเลขตัวเดียวอีกต่อไป
แต่จะโตด้วยตัวเลขสองหลัก
นั่นเพราะเราจะใช้เงินโฆษณามากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เกิดการแข่งขันรุนแรงขึ้นตามไปด้วย
ตลาดน้ำผลไม้แท้ 100 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 1 น่าจะเป็นของแบรนด์ทิปโก้ และมาลี ประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ (เขาไม่แน่ในตัวเลข) ถามว่า เมื่อเราเข้ามาในตลาดนี้แล้วต้องการชิงมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่งหรือไม่
“ผมบอกเลยไม่จำเป็น” ตั้งแต่ “อิชิตัน กรุ๊ป” ทำธุรกิจมาไม่เคยมีเป้าหมายเรื่องมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่ง เราสนใจเพียงแต่ผลิตอย่างไรให้ได้กำไรตามเป้าหมายเท่านั้น
“ไม่สู้ตาย แต่สู้เป็น ไม่ใช้อารมณ์ แต่ใช้สติ ไม่ใช่เงินเยอะๆ ในการทำมาร์เก็ตแชร์ แต่จะใช้เงินน้อย เพื่อทำผลงานที่ดีที่สุด ใช้คนน้อยทำงานเยอะที่สุด” นั่นคือ ยุทธศาสตร์ในการทำงานของ “ตัน”
วันนี้ลูกน้องผมได้โบนัส 240 เท่าของเงินเดือนเกือบทุกคนแล้ว หากคิดจากราคาหุ้น ICHI ที่ 24 บาท หลังให้หุ้นไอพีโอราคาพาร์กับพวกเขา แต่เขาเหล่านั้นจะขายไม่ได้จนกว่าจะผ่านไป 2 ปีกว่า”
ช่วงที่เหลือของปีนี้จะมี “เรื่องเซอร์ไพรส์” อีกหรือไม่?
เขาตอบว่า ไม่มี ปีหน้ามีหรือไม่ ไม่รู้อย่ามาถามแบบนี้ ถามต่อว่า มีข่าวลือจะไปซื้อกิจการนมเปรี้ยว “ตัน” สวนทันที เป็นไปไม่ได้ คนในตลาดชอบปล่อยข่าวเอง คนเล่นสั้นอย่าไปเล่นหุ้นเราเลย ใจจริงอยากให้นักลงทุนถือหุ้น ICHI เพื่อรับเงินปันผลมากกว่า
“อิชิตัน กรุ๊ป” มีอายุการก่อตั้งบริษัทแค่ 3 ปี ฉะนั้นจึงอยากเห็นกิจการขยายตัวเหมือนไบเล่ที่มีอายุเป็นร้อยปี วันนี้เรายังเล็กอยู่จึงอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ฉะนั้นจึงมุ่งหน้าขยายกิจการ และไม่ใช่ให้ความสำคัญในการเล่นหุ้น ผมออกคำสั่งกับพนักงานทุกคน ห้ามเล่นหุ้น ห้ามดูหุ้น หากใครยังเปิดจอดูหุ้นจะยึดโทรศัพท์ และถ้ายังทำอีกครั้งจะไล่ออก
“เราจะทำธุรกิจเครื่องดื่มอย่างเดียว ยกเว้นเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม แต่เราจะไม่ทำหลายอย่าง ตั้งใจทำทีละอย่าง เมื่อย้อนถามว่า ตลาดนมเปรี้ยวน่าสนใจหรือไม่ หากมีวอลุ่มและกำไร ไม่ว่าเซกเมนต์ไหนก็น่าสนใจ” ตัน ตอบสั้นๆ
“เจ้าพ่อชาเขียว” ย้ำว่า ภายใน 2 ปีข้างหน้า (2558-2559) “อิชิตัน กรุ๊ป” ต้องมียอดขายแตะ “หมื่นล้านบาท” ไม่ว่ายอดขายจะมาจากสินค้าตัวไหน เราไม่รู้ แต่จะทำให้ได้ เมื่อมีเป้าหมายชัดเจนแล้วจะให้มานั่งเฉยๆ ขายชาเขียวตัวเดิมในแหล่งเดิมๆ คงเป็นไม่ได้
ฉะนั้นตลาดส่งออกถือเป็นทางเลือกหนึ่งในอนาคต แต่หากอยากประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง “เราคงต้องจับมือกับเพื่อนใหม่ เพื่อไปตั้งโรงงานผลิตในแถบเอเชียเป็นหลัก” ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษายังไม่สามารถลงลึกถึงเรื่องเงินลงทุน ที่ผ่านมาเดินทางไปดูตลาดประเทศเวียดนาม พม่า ลาว อินโดนีเซีย และกัมพูชามาแล้ว ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่า จะได้ข้อสรุปเมื่อไร
“เพื่อนใหม่ต้องมีทั้งช่องทางการขายและทุนให้เรา แต่ตอนนี้อย่าพยายามถามอะไรเลยมันยังไม่เกิดขึ้น”
เขา บอกว่า ช่วงเริ่มต้นของการโกอินเตอร์ เราคงทำได้แค่ส่งสินค้าไปขายชิมลางตลาดก่อน คาดว่าจะได้เห็นตัวเลขส่งออกในปี 2558 ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ยังมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ เน้นส่งไปขายในแถบ AEC เป็นอันดับแรก
แม้การส่งออกไปจะไม่ได้ทำให้ยอดขายโต เพราะต้องขายชาเขียวแพงกว่าเมืองไทย 2 เท่า อย่างในประเทศพม่าชาเขียวขายขวดละ 30 บาท แต่เราต้องส่งไปทดลองตลาด “กำไรขั้นต้น” ระหว่างส่งออกกับขายในประเทศมีตัวเลขใกล้เคียงกัน
ปี 2558 เมืองไทยจะกลายเป็นหนึ่งจังหวัดใน AEC เมืองไทยมีประชากร 60 กว่าล้านคน แต่ทั้ง AEC มีประชากร 600 ล้านคน ฉะนั้นหากเมืองไทยยังเติบโตได้ เราต้องยึดไว้ก่อน เมื่อบริษัทมีกำไรอย่างมั่นคงค่อยออกไปสู่ AEC อย่างเต็มตัว
“วันนี้เงินที่ได้จากการขายหุ้นไอพีโอ 3,900 ล้านบาท เรานำไปใช้หนี้บางส่วน แต่ยังไม่ได้นำไปลงทุนขยายกิจการ ส่วนเงินที่ซื้อไบเล่เรานำมาจากกระแสเงินสดของบริษัท”
--------------------------------------------
เพราะรักจึงกลับมา..
“ตัน ภาสกรนที” เล่าช่วงเวลาที่ตัดสินใจกลับมาทำธุรกิจชาเขียวเหมือนเดิมว่า เรารู้ว่ามันเป็นธุรกิจที่ดี ที่ผ่านมาทำด้วยความรัก ที่สำคัญทีมงานของเรามีความชำนาญในธุรกิจชาเขียว ฉะนั้นมั่นใจว่าหากกลับมาทำอีกครั้งน่าจะทำได้ดี
จริงๆ ตั้งใจจะไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ล้อมรั้วที่ดินแล้ว ได้ผู้รับเหมาและใบอนุญาตแล้ว แต่บังเอิญหุ้นส่วนที่รู้จักกันมานานกว่า 20 ปี มีความจำเป็นต้องลาออกจากที่เดิม เพื่อหันมาทำธุรกิจชาเขียว เขาจึงดึงผมกลับมาเป็นกัปตัน ทำให้ต้องทิ้งธุรกิจที่ตั้งใจจะทำไปก่อน
วันนี้ผมไม่รวย แต่พอใจแล้ว เมื่อก่อนลูกน้องคนอื่นยังไม่มีบ้านไม่มีรถ แต่วันนี้หลายคนมีเกือบครบแล้ว แม่บ้านของผมเป็นเศรษฐีเงินล้านแล้ว ถามว่า วันนี้ตัดสินใจถูกหรือไม่ “ถูก” เขาบอกทันที แต่ธุรกิจไม่จบแค่วันนี้ เรายังต้องรับผิดชอบกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อย เงินผมยังไม่เครียดเท่าเงินของคนอื่น ฉะนั้นอย่ากดดันผมมากด้วยการซื้อหุ้น ICHI ในราคาแพงเกินไป (หัวเราะ)
ราคาหุ้น ICHI ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกวันรู้สึกอย่างไร? “ตัน” บอกว่า การลงทุนมีความเสี่ยงก่อนซื้อต้องตัดสินใจให้ดีๆ เพราะมันเงินของคุณ ฉะนั้นต้องใจเย็นๆ อย่าใจร้อน ผมไม่ได้เล่นหุ้นไม่เคยสนใจ บางวันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า หุ้นขึ้นไปเท่าไรแล้ว ไม่อยากแนะนำให้คุณซื้อๆ ขายๆ ธุรกิจมันต้องค่อยเป็นค่อยไปจะไปรีบร้อนไม่ได้ วันนี้ “อิชิตัน กรุ๊ป” ซื้อไบเล่ คุณจะให้มียอดขายวันพรุ่งนี้คงเป็นไปไม่ได้
“แฟนคลับ” “ตัน” เยอะข้อนี้ต้องยอมรับ ดูง่ายๆ ตั้งแต่ผมนำหุ้น โออิชิ กรุ๊ป หรือ OISHI เข้าตลาดหุ้นจนประกาศลาออก ไม่เคยทำให้นักลงทุนรายย่อย “ขาดทุน” แม้แต่คนเดียว ผมขายหุ้นไอพีโอ OISHI ราคา 19 บาท ตอน “ตัน” ขายหุ้นออก ราคาหุ้นโออิชิอยู่ที่ 32 บาท เมื่อลาออกราคาหุ้นอยู่ที่ 80 บาท ช่วงหุ้นขึ้นเยอะๆ ไม่มีทางการโทรศัพท์มาสอบถาม
ทุกวันนี้หุ้น อิชิตัน กรุ๊ป ยังคงมีนักลงทุนวีไอหลายสิบคน ขอเข้าฟังข้อมูลและเยี่ยมชมโรงงานอย่างต่อเนื่อง กองทุนต่างประเทศก็มาเช่นกัน ปัจจุบันยังไม่มีกองทุนเข้ามาถือหุ้นเรา แต่จากการโรดโชว์กองทุนหลายรายอยากได้หุ้นเรา เขาอยากเป็นหุ้นส่วนของอิชิตัน กรุ๊ป
เวลามีคนบอกว่า ผมชอบสร้างภาพ ความรู้สึกแรกคือ ไม่เป็นไร สังคมไทยต้องการภาพที่ดี ฉะนั้นผมมีวันนี้ได้ เพราะเห็นคนอื่นสร้างภาพแบบดีๆ มาก่อน มีกำไรแบ่งปันคนอื่น ไม่ใช่สร้างภาพแบบเห็นแก่ตัว เมื่อหลายวันก่อนมีโอกาสเจอน้องคนหนึ่ง เขามาเล่าให้ฟังว่า เคยฟังผมบรรยายเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนี้เขามีธุรกิจ 200 ล้านบาท นั่นเป็นเพราะได้กำลังใจจากเราฉะนั้นทุกครั้งที่มีโอกาสอยากเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม
ผมจะพยายามแบ่งเงินไปช่วยสังคมให้มากที่สุด ล่าสุดตั้งใจจะบริจาคเงินช่วยโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศมูลค่า 1,174 ล้านบาท เฉลี่ยโรงเรียนละ 1 ล้านบาท เป้าหมายการบริจาคของผม คือ 5,000 ล้านบาท ภายในเมื่อไรไม่รู้ทำไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ตายเสียก่อน
“โจว เหวินฟะ” สุดยอดนักแสดงฮ่องกง คือ บุคคลต้นแบบที่ผมเลียนเรื่องการบริจาค ส่วนการตั้งมูลนิธิก็เลียนแบบมาจาก “วอร์เร็น บัฟเฟตต์” นักลงทุนชื่อดัง
“ทุกครั้งที่เจอข่าวลบ ผมเฉยๆ ถือเป็นเรื่องปกติ มีคนชอบต้องมีคนเกลียด ขออย่างเดียวอย่าเอาระเบิดไปปาบ้านผมพอ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่างเอง ผมไม่ใช่คนดี แต่พยายามจะทำความดี ฉะนั้นอย่าคาดหวัง เพราะ “ตัน” ไม่ใช่เทวดา เป็นเพียงคนติดดินธรรมดาคนหนึ่ง”
ที่ผ่านมาผมมักเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆ ถามว่า แล้วเวลาผมต้องการแรงบันดาลใจจะหาจากไหน ด้วยความที่เรียนจบแค่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 3 จึงยึดพ่อแม่ และ “ดร.เทียม โชควัฒนา”ผู้ก่อตั้งบมจ.สหพัฒนพิบูล เป็นแรงบันดาลใจ บางครั้งพ่อพูดประโยคเดียว ทำให้เรามีแรงจนถึงทุกวันนี้
“แรงบันดาลใจชั้นเยี่ยมที่ขาดไม่ได้ คือ เดินตามรอยเท้าพ่อหลวง โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง”







