3 เดือนโรงไฟฟ้าชีวภาพเกิด"เซอร์ไพรส์แรก" TAE

3 เดือนโรงไฟฟ้าชีวภาพเกิด"เซอร์ไพรส์แรก" TAE

“ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่” คิดการใหญ่ หลังเข้าตลาดหุ้น อนาคตพร้อมขึ้นแท่น “ผู้ประกอบการเอทานอลระดับโลก” รายได้โตปีละ 30 เปอร์เซ็นต์

“รายได้ขยายตัวเฉลี่ย 30 เปอร์เซ็นต์ ติดกัน 4 ปีซ้อน” (2553-2556)

ตัวเลขนี้คงการันตีการเติบโตอย่างยั่งยืนของ “บมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่” หรือ TAE ผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอล (แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5 เปอร์เซ็นต์) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง บริษัทในเครือ บมจ.ลานนารีซอร์สเซส หรือ LANNA ไม่มากก็น้อย (LANNA ถือหุ้นอยู่ 75.75 เปอร์เซ็นต์)

ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตเอทานอลจำนวน 2 สายการผลิต ตั้งอยู่ที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ขนาดกำลังการผลิตเอทานอลสายการผลิตที่ 1 จำนวน 150,000 ลิตรต่อวัน และสายการผลิตที่ 2 จำนวน 200,000 ลิตรต่อวัน รวมทั้งสิ้น 350,000 ลิตรต่อวัน โดยใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลัก ล่าสุดบริษัทเดินเครื่องผลิต 365,000 ลิตรต่อวัน หรือ 120.75 ล้านลิตรต่อปี ถือเป็นผู้ผลิตที่มีกำลังการผลิตมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ

จากสถิติ 3 ปีก่อน (2554-2556) “ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี” สร้างรายได้ให้ “ลานนารีซอร์สเซส” เพิ่มขึ้นทุกปี 1,098-1,349-1,659 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งรายได้จากการขายเอทานอลของ“ลานนา รีซอร์สเซส” คิดเป็นสัดส่วน 8.35-10.04-13.64 ตามลำดับ

วันที่ 5 มิ.ย.นี้ บริษัทเตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 200 ล้านหุ้น รวมถึงหุ้นสามัญเพิ่มทุนเดิมที่บมจ.ลานนารีซอร์สเซส ถืออยู่ 96,037,733 หุ้น รวมเป็น 296,037,733 หุ้น ราคาขาย 2 บาทต่อหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท

บริษัทจะได้เงินระดมทุน 400 ล้านบาท โดยจะนำไปลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าก๊าซชีวภาพขนาด 3 เมกะวัตต์ และใช้ภายในโครงการผลิตเอทานอล 120 ล้านบาท ที่เหลือชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน 200 ล้านบาท นอกนั้นจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ก่อนจะเล่าอนาคต “สมชาย โล่ห์วิสุทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า “ผมเริ่มทำธุรกิจเอทานอลด้วยการฝ่าฟันอุปสรรค ใครจะรู้ว่าจากความไม่เข้าใจบวกกับการไม่ยอมรับของผู้ประกอบการและผู้บริโภคจะเป็นปัญหาของการจำหน่ายเอทานอลในช่วงแรกๆ”

บริษัทถือกำเนิดจากนักธุรกิจกลุ่มหนึ่ง ด้วยทุนจดทะเบียนตั้งต้นเพียง 10 ล้านบาท ก่อนจะเริ่มหาพันธมิตร ช่วงนั้น “ลานนารีซอร์สเซส” ผู้ผลิตและจำหน่ายถ่านหินทั้งในประเทศและต่างประเทศแสดงความสนใจจะทำธุรกิจด้านพลังงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจถ่านหิน

เมื่อมีการพูดคุยกันจนบรรลุข้อตกลง เราจึงทำการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 280 ล้านบาท ทำให้ “ลานนารีซอร์สเซส” เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 75 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นบริษัทได้มีการขอใบอนุญาตผลิตและจำหน่ายเอทานอลกับกระทรวงอุตสาหกรรม

ช่วงแรกของการทำงานมีอุปสรรคพอควร เพราะผู้ใช้น้ำมันยังไม่ยอมรับเอทานอล ส่วนใหญ่ กลัวน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลจะทำ ให้เครื่องยนต์พัง ประกอบกับช่วงเริ่มต้นมีแรงต่อต้านจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งเราใช้เวลาสร้างความเข้าใจนานพอควร โชคดีตรงที่ได้รับความร่วมมือจากคู่ค้าคนสำคัญอย่างบมจ.ปตท. หรือ PTT และบมจ.บางจาก ปิโตรเลียม หรือ BCP ในการให้ความรู้และความเข้าใจ

ปี 2548 บริษัทเริ่มผลิตและจำหน่ายเอทานอลจากสายการผลิตที่ 1 ครั้งแรก ด้วยกำลังการผลิต 165,000 ลิตรต่อวัน โดยใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ ลูกค้ารายแรก คือ บมจ.ปตท. ช่วง 2-3 เดือนแรกที่จำหน่ายเอทานอลมีความขลุกขลักพอควร แต่หลังจากให้ความรู้มากขึ้นหลายคนเริ่มยอมรับส่งผลให้ความต้องการเอทานอลเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ลิตรต่อวัน สมัยนั้นเรายังเป็นบริษัทรายเดียวที่ผลิตเอทานอล

แม้ช่วงแรกจะมีอุปสรรค เขาย้ำ แต่เราก็มี “กำไรสุทธิ” ทันทีในปีแรก หลังจากนั้นในปี 2553 บริษัทตัดสินใจก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง (สายการผลิตที่ 2) ส่งผลให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 200,000 ลิตรต่อวัน หรือ 66 ล้านลิตรต่อปี ก่อนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 365,000 ลิตรต่อวันในปี 2555 โดนใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พูดถึงแผนงานในอนาคตว่า เราอยากเป็น “World Class ethanol producer” หรือ ผู้ประกอบการเอทานอลระดับโลก ที่มีการเติบโตยั่งยืนอย่างมีนัยสำคัญ และมีคุณภาพ

“พูดไปเหมือนความฝัน แต่ “วิชั่น” คือ ฝันที่เราอยากเห็น”

ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทยังคงอยากเห็นรายได้เติบโตเฉลี่ย 30 เปอร์เซ็นต์ทุกปี ตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะนโยบายส่งเสริมการแก๊สโซฮออล์ที่มีอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคง เห็นได้จากแผนพัฒนาพลังงานทดแทนที่รัฐบาลเคยตั้งเป้าไว้ว่า ความต้องการใช้เอทานอลและพลังงานทดแทนจะอยู่ระดับ 9 ล้านลิตรต่อวันในปี 2564

โดยจะเริ่มขยับจากปี 2557 ที่อยู่ระดับ 2.8 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 5 ล้านลิตรต่อวันในปี 2560 ปัจจุบันความต้องการใช้แก๊สโซฮอล์ E 20 และ E 85 ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และหากติดตามข่าวของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันจะเห็นว่า หลายรายเริ่มขยายสถานีการให้บริการ และมีการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 เป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น

“อุตสาหกรรมเอทานอลในปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเมื่อได้รับการส่งเสริมแบบจริงจังจากภาครัฐบาลจะทำให้ ผู้บริโภคเริ่มเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ตอนนี้เหลือเพียงน้ำมันเบนซิน 95 เท่านั้นที่ยังขายอยู่ในตลาด”

“สมชาย” บอกอีกว่า ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า บริษัทจะมีโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซชีวภาพในการผลิตขนาดกำลังการผลิต 3 เมกะวัตต์ โดยก๊าซชีวภาพจะมาจากโรงงานของเราเอง ฉะนั้นจะช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิง รวมถึงจะทำให้บริษัทมีการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทขยายตัวมากขึ้น

ขณะเดียวกันบริษัทกำลังศึกษาเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ คาดว่าอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีความชัดเจน ซึ่งการขยายกำลังการผลิต เราสามารถขยายได้ครั้งละ 200,000 ลิตรต่อวัน ขึ้นอยู่กับนโยบายของเราว่าจะขยับไปทางไหน ธุรกิจหยุดนิ่งไม่ได้ ไม่ช้าเร็วธุรกิจต้องปรับตัว ยิ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ยิ่งต้องให้ความสำคัญ

ถามถึง “จุดแข็ง” เขาตอบว่า ปัจจุบันมีการเปิดเสรีธุรกิจพลังงาน ส่งผลให้มีผู้ประกอบการเข้ามาในตลาดนี้มากขึ้น แต่บริษัทมีข้อได้เปรียบคู่แข่งรายใหม่ๆตรงที่เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจมานานมากกว่า 10 ปี ขณะที่ฐานลูกค้าของเราชัดเจน ซึ่งในตลาดมีลูกค้าเพียง 6-7 บริษัท เมื่อผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เข้ามาคงต้องใช้เวลาพอสมควรในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

นอกจากนั้นเรายังแข็งแกร่งในเรื่องของคุณภาพ ปัจจุบันเราใช้เทคโนโลยี MAGUIN INTERIS ของประเทศฝรั่งเศส ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ที่ผลิตออกมามีความบริสุทธ์ถึง 99.8 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่ามาตราฐานที่กำหนดไว้ 99.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการขนส่งตรงต่อเวลา สุดท้าย คือ เรื่องต้นทุนที่ต่ำ ปัจจุบันเราใช้ไอน้ำ และก๊าซธรรมชาติ ที่ผ่านการบำบัดมาใช้ในการผลิต

“การยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91 ถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมนี้เปลี่ยนแปลงไป “จากเดิมที่เป็นเพียงเด็กทารก วันนี้กำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่วิ่งได้”

ออมหุ้นงานอิสระ “สมชาย”

“สมชาย โล่ห์วิสุทธิ์” ในฐานะนักลงทุนรายย่อย บอกว่า เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นมานานแล้ว แต่ตัวเองเป็นนักลงทุนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการติดตามความเคลื่อนไหวมากนัก เนื่องจากต้องทำงาน ส่วนใหญ่จะชอบลงทุนในหุ้นที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เน้นพื้นฐานดี จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ

“ไม่เล่นหุ้นใหญ่ใช่ว่าใจไม่ถึงนะ”

ปัจจุบันพอร์ตมูลค่าหลักล้านบาท ตอนนี้มีหุ้นอยู่ในมือ 7 ตัว ส่วนใหญ่จะอยู่ใน “กลุ่มพลังงานและกลุ่มขนส่ง” เช่น หุ้น บีทีเอส กรุ๊ป หรือ BTS เลือกลงทุนหุ้นตัวนี้ เพราะมองว่าเป็นหุ้นที่เกี่ยวกับสาธาณูปโภคพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ฉะนั้นคนต้องใช้บริการทุกวัน

ขณะเดียวกันยังเป็นหุ้นที่ไม่มีความหวือหวา ไม่เหมือน“กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้ยังเจ็บหนักเพราะ หุ้น แสนสิริ หรือ SIRI ซื้อมาตั้งแต่ 3 บาทกว่า แต่โชคดีมีไม่เยอะ (ปัจจุบันซื้อขายเฉลี่ย 1.80 บาท)

นอกจากนั้นยังมีหุ้น หุ้น ลานนารีซอร์สเซส หรือ LANNA พึ่งซื้อมาไม่นาน อีกตัวคือ “หุ้น พีทีที โกลบอล เคมิคอล” หรือ PTTGC หุ้นตัวนี้ “ชอบมาก” เพราะเป็นหุ้นที่มีอนาคต บริษัทมีความมั่นคง และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เรียกว่า “เข้าสเปกผมทุกอย่าง”

“เมื่อก่อนผมเคยมีหุ้น ปตท.หรือ PTT และหุ้น บางจาก ปิโตรเลียม หรือ BCP แต่ตอนนี้ขายออกไปหมดแล้ว” (ยิ้ม)