"กลุ่มสามารถ" ยก SIM ขึ้นแท่นผู้นำทัพ

เมื่อ วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ เจ้าของ กลุ่มสามารถ ส่งสัญญาณบวก ด้วยการไล่ช้อนหุ้น SAMART ตลอดปี 2556 ล่าสุดขาย เรื่องโกอินเตอร์
“ขายเอาส่วนต่างเพื่อรอเก็บใหม่เมื่อราคาทิ่มหัวลง”
วิถีลงทุนเช่นนี้มักเห็นบ่อยๆจาก “นักลงทุนชื่อดัง” ไม่เว้นแม้แต่ “วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์” เจ้าของ “กลุ่มสามารถ” เมื่อเดือนมี.ค.2556 เขาขาย “หุ้น สามารถคอร์ปอเรชั่น” หรือ SAMART จำนวน 22,500,000 หุ้น ราคา 25.50 บาท โกยเงินเข้ากระเป๋าเหนาะๆ 573.75 ล้านบาท
ผ่านมา 4 เดือน เขาใช้เงินก้อนแรก 17.20 ล้านบาท ทยอยซื้อหุ้น SAMART อีกครั้งจำนวน 900,000 หุ้น ในราคา 20.44-18.40-17.60 บาท และใช้เงินก้อนที่สอง 4.27 ล้านบาท เพื่อช้อนหุ้นตัวเองอีกรอบในเดือนส.ค.จำนวน 50,000 ราคา 15 บาท และเดือนพ.ย.จำนวน 200,000 หุ้น ราคา 16.20 บาท
หากคิดจากจำนวนการซื้อหุ้น SAMART ที่ “วัฒน์ชัย” แจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่ากับว่า เขาใช้เงินแค่ 21.47 ล้านบาท ในการซื้อหุ้นตัวเอง แถมยังได้เก็บหุ้นในต้นทุนที่ต่ำกว่าราคาขายเมื่อเดือนมี.ค.ประมาณ 10 บาท (คิดจากราคาขายครั้งล่าสุด 15 บาท)
“กำไรสุทธิ 3 เดือนแรกปี 2557 สวยเกือบยกกลุ่ม” จะใช่เหตุผลทยอยซื้อหุ้นตัวเองของ “วัฒน์ชัย” หรือไม่??
ไล่มาตั้งแต่บริษัทแม่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น หรือ SAMART โกยกำไรสุทธิ 403.28 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง 349.88 ล้านบาท และบมจ.สามารถ ไอ-โมบาย หรือ SIM มีกำไรสุทธิ 196.71 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 171.19 ล้านบาท
ขณะที่ บมจ.สามารถ เทลคอม หรือ SAMTEL ทำกำไรสุทธิได้เพียง 210,37 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีตัวเลขอยู่ที่ 260.95 ล้านบาท และบมจ.วันทูวัน คอนแทคส์ หรือ OTO ไอพีโอน้องใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ที่มีกำไรสุทธิ 25.13 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.33 ล้านบาท
“วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น ฉายภาพอนาคตให้ฟังว่า ในช่วง 6 เดือนหลังปี 2557 บมจ.สามารถ ไอ-โมบาย หรือ SIM ซึ่ง SAMART ถือหุ้นอยู่ 57.36 เปอร์เซ็นต์ ยังคงเป็น “พระเอก” ของกลุ่มต่อไป เนื่องจากเขาเตรียมนำสินค้าบุกตลาดต่างประเทศ ภายใต้แบรนด์ "ไอ-โมบาย" โดยในช่วงปี 2557-2559 ทุกคนจะเห็น SIM เติบโตอย่างมาก หากแผนโกอินเตอร์ประสบความสำเร็จ
ถามว่า SIM จะโกอินเตอร์ด้วยวิธีใด ล่าสุด SIM เพิ่งเปิดตัวโทรศัพท์มือถือ DTV Smart Phone ซึ่งสามารถดูทีวีดิจิตอลผ่านมือถือได้แบบคมชัดไม่ต้องเสียค่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ภายใต้แบรนด์ “ไอ-โมบาย” เปิดตัวเพียงหนึ่งสัปดาห์มียอดขายแล้ว 20,000 กว่าเครื่อง ฉะนั้นเมื่อในเมืองไทยขายดี อนาคตแบรนด์นี้ต้องสามารถสร้างชื่อเสียงในตลาดต่างประเทศได้เช่นกัน
"ตั้งแต่เปิดตัว DTV Smart Phone มีผู้ประกอบการที่ประมูลทีวีดิจิตอลได้ 4-5 ราย โทรมานัดผมคุยเพียบ เขาต้องการนำคอนเทนท์มาลงทุนในมือถือของเรา SIM คือ เจ้าแรกในเมืองไทยที่นำเทคโนโลยีใหม่ที่มีผู้ใช้เพียง 20 ประเทศมาใช้ในระบบดิจิตอลทีวี ฉะนั้นในช่วงไตรมาส 2/2557 เราจะออกโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่อีก 7 รุ่น ราคาเฉลี่ย 3,200-8,000 บาท คาดว่าจะสร้างยอดขายได้อย่างดี"
ปัจจุบัน SIM ตั้งหน่วยงานใหม่ เพื่อดูแลตลาดส่งออกโดยเฉพาะ จากเดิมที่ฝากคนอื่นจำหน่ายสินค้า เมื่อก่อนเรายอดขายน้อยอาศัยคนอื่นขายย่อมทำได้ แต่เดี๋ยวนี้ยอดขายตกเดือนละ 50,000 กว่าเครื่อง สมควรแก่เวลาที่ต้องทำเอง
วันนี้ SIM เล็งจะส่งสินค้าต่างๆไปจำหน่ายในประเทศอิรัก ,ตะวันออกกลาง,ทวีปแอฟริกา ,พม่า และลาว ฉะนั้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าคงได้เห็นยอดขายโทรศัพท์มือถือในเมืองไทยประมาณ 4-5 ล้านเครื่อง และตลาดต่างประเทศ 10 ล้านเครื่อง ขณะที่ในปี 2557 คงมียอดขายประมาณ 4 ล้านเครื่อง
“วัฒน์ชัย” เชื่อว่า ในอนาคต บมจ.วันทูวัน คอนแทคส์” หรือ OTO ผู้ประกอบการด้านการบริการลูกค้าผ่านศูนย์บริการข้อมูลครบวงจร (Contact Center) จะขึ้นแท่น “พระเอกคนต่อไป” เท่าที่ดูจากทิศทางการเติบโตของบริษัทแห่งนี้แล้วยอมรับว่า “สดใส”
ปัจจุบัน วันทูวันฯ มีส่วนแบ่งตลาดบริการ Outsourced Call Center ประเภท Customer Services กว่า 20 เปอร์เซ็นต์ โดยมีลูกค้าหลากหลายธุรกิจ อาทิ ธุรกิจสายการบิน , ธุรกิจประกันภัย และธุรกิจรถยนต์
“ปีนี้ OTO คงทำรายได้ในระดับ 1,000 ล้านบาท”
ถามถึงกลยุทธ์การดำเนินงานของกลุ่มสามารถ เขาตอบว่า บริษัทจะเน้นกระจายความเสี่ยงออกไปใน 4 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย 1.สายธุรกิจสื่อสารไอทีและโทรคมนาคมครบวงจร (ICT Solutions) 2.สายธุรกิจการสื่อสารข้อมูลและอุปกรณ์สื่อสารไอที (Mobile-Multimedia) 3.สายธุรกิจเทคโนโลยีอื่นๆ (Related Businesses) สุดท้ายคือ สายธุรกิจบริการสาธารณูปโภค (Utilities & Transportations )
ผลประกอบการของธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม จะออกมาสัดส่วนเท่าๆกัน เมื่อใดเกิดวิกฤติเศรษฐกิจฐานะการเงินของกลุ่มสามารถจะได้ไม่ผันผวนอีกต่อไป เห็นได้จากวิกฤติการเมืองรอบล่าสุด เราแทบไม่ได้รับผลกระทบ ไม่เหมือนอดีตที่กลุ่มสามารถต้องพึ่งพิงเพียงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราลดส่วนงานราชการลงเหลือ 30-40 เปอร์เซ็นต์ และเน้นงานเอกชนมากถึง 60-70 เปอร์เซ็นต์ อนาคตจะพยายามลดงานราชการให้เหลือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์
“ต่อไปพวกคุณไม่ต้องมาถามผมแล้วนะเวลาเมืองไทยเจอวิกฤติการเมือง” เขาสถบ
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บอกความเชื่อของตัวเองว่า ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/2557 จะเติบโตกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา แน่นอน “พระเอกของงาน” คือ ยอดขายโทรศัพท์มือถือ DTV Smart Phone และยอดขายกล่อง SET TOP BOX
ในปี 2557 จะมียอดขายกล่องเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มียอดขายกล่องแล้ว 30,000 กล่อง ขณะที่ไตรมาส 3/2557 จะได้รับผลดีจากการแจกคูปองทีวีดิจิตอลจำนวน 11 ล้านใบ นั่นเท่ากับว่า ในปีนี้บมจ.สามารถวิศวกรรม ซึ่งเป็นบริษัทในเครือจะสร้างยอดขายจากเสาอากาศและกล่องรับสัญญาณได้มากถึง 2 ล้านชุด คิดเป็นรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท
เขา พูดต่อว่า ภายในปี 2557 บมจ.สามารถเทลคอม เตรียมเข้าประมูลงานมูลค่า 17,000 ล้านบาท คาดว่าในช่วงไตรมาส 2/2557 จะได้งานเพิ่มเติมประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานโครงการส่วนต่อขยายขององค์กรต่างๆ เช่น งานของบมจ.การท่าอากาศยาน หรือ AOT งานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค งานของกรมที่ดิน และงานของกรุงเทพมหานคร เป็นต้น
ส่วนช่วงที่เหลือของปีนี้ “สามารถเทลคอม” จะเข้าประมูลงานอีกมูลค่า 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญางานอีก 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงานจัดซื้ออุปกรณ์ของวิทยุการบิน มูลค่า 500 ล้านบาท งานของการไฟฟ้า และงานเกี่ยวกับโครงการสนามบิน
“ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา “สามารถเทเลคอม” เซ็นสัญญาโครงการใหม่ไปแล้วมูลค่า 1,152 ล้านบาท ปัจจุบันมีงานในมือเกือบ 7,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ปีนี้จำนวน 3,000 ล้านบาท”
“วัฒน์ชัย” ทิ้งท้ายว่า การบริหารงานด้วยความรอบคอบ และสร้างสมดุลของแหล่งรายได้ เป็นสิ่งที่กลุ่มสามารถให้ความสำคัญมาตลอด เราแบ่งสายธุรกิจออกอย่างชัดเจน โดยมีกลุ่มลูกค้าหลากหลายทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และผู้บริโภครายย่อย







