"นับหนึ่งใหม่ได้เสมอ"วิถี SMEsพันธุ์ "อึด"

"นับหนึ่งใหม่ได้เสมอ"วิถี SMEsพันธุ์ "อึด"

จากกิจการที่เคยรุ่งเรืองยืนหยัดมาได้นับทศวรรษกลับต้องเผชิญพายุสาหัสทว่าไม่มีอะไรเลวร้ายสำหรับเอสเอ็มอีพันธุ์อึดเพราะธุรกิจนับหนึ่งใหมได้เสม

ผลิตภัณฑ์สวยเก๋ มีไอเดียและนวัตกรรม แถมยังรักษ์โลกรักษ์สิ่งแวดล้อม ผลงานของกลุ่มคลัสเตอร์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม คลัสเตอร์เครื่องหนังและรองเท้า ตลอดจนคลัสเตอร์ศิลปะประดิษฐ์และของที่ระลึก ทั้ง 45 กิจการ ที่อวดโฉมอยู่ในโซน “Green Industry Cluster” ของ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) และหน่วยงานพันธมิตร ณ งานมหกรรมการเงินครั้งที่ 14 (Money Expo 2014) สะท้อนความ “ไม่ธรรมดา” ของผู้ประกอบการยุคนี้

แต่ที่น่าสนใจไปกว่าผลิตภัณฑ์ที่เห็น ก็คือ เลือดนักสู้ที่มีอยู่อย่างเข้มข้น ใครจะคิดว่า จากธุรกิจที่มีแรงงานเกือบร้อยชีวิต มีรายได้หลายล้านบาทต่อปี กับตลาดที่เฉิดฉายอยู่ทั่วโลก ทว่าวันนี้ กลับต้องดิ้นรนอยู่รอดด้วยการปรับลดขนาดองค์กร (Downsizing) บางรายถึงขนาดต้องปิดโรงงานเพื่อมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ สู้แบบคนตัวเล็ก เพื่อแจ้งเกิดในสนามได้อีกครั้ง!

“เรารับจ้างผลิต(โออีเอ็ม) มาประมาณ 15 ปี มีแรงงาน 60-70 คน ช่วงที่รุ่งเรืองสุดๆ เคยส่งออกรองเท้าอยู่ประมาณ 4 แสนคู่ต่อปี แต่หลังจากจีนเปิดประเทศ มีคู่แข่งเข้ามา ยอดออเดอร์ก็ลดลงเรื่อยๆ มาเจอวิกฤติปี 40 เหมือนซ้ำเติมเข้าไปอีก จนล่าสุดเศรษฐกิจโลกไม่ดี จากตลาดหลักๆ ที่เคยส่งออกไปอย่าง ยุโรป หายเกลี้ยง ไม่ใช่แค่ออเดอร์ลดลงนะ แต่มัน..ไม่มีเลย”

“เอื้อมเดือน เทภาศักดิ์” ผู้ประกอบการเครื่องหนัง บอกสถานการณ์ช้ำๆ ที่เธอย้ำว่า “น่ากลัวมาก” และดูจะสาหัสกว่าวิกฤติปี 40 เพราะในวันนั้นออเดอร์นอกหาย ก็ยังกลับมา “ง้อ” ลูกค้าในประเทศได้ และต่อสู้จนพ้นวิกฤติได้ภายใน 3 ปี แต่สถานการณ์ ณ วันนี้ ช่างแตกต่าง ทั้งการมาถึงของเออีซี ที่ประเทศเพื่อนบ้าน กลายเป็นผู้ผลิตที่น่ากลัวสำหรับไทย ทั้งค่าแรงถูกกว่า ขณะบางรายสามารถพัฒนาคุณภาพได้ทัดเทียมไทยแล้ว โรงงานไทยบางแห่ง เลือกย้ายฐานไปเพื่อนบ้าน สินค้าจีนยังเข้ามาแชร์ตลาด ส่วนบางสินค้าที่แปะแบรนด์ไทยแต่เลือกไปจ้างจีนผลิตก็ยังมีให้เห็น

ซ้ำเติมให้เจ็บหนักด้วยสถานการณ์ภายในประเทศ ตั้งแต่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานสูงลิ่ว ปัญหาการเมืองในประเทศ ที่ยังไม่นิ่งสงบ ทำให้ลูกค้าต่างชาติไม่มั่นใจที่จะออเดอร์สินค้าจากไทย เพราะกังวลว่าจะส่งสินค้าให้ไม่ได้

สถานการณ์เลวร้าย ที่ทำให้ธุรกิจซึ่งเคยมีคนงานถึง 60-70 คน มีรายได้หลายสิบล้านบาทต่อปี มามีแรงงานเหลือเพียง “12 คน” จากธุรกิจที่เคยส่งออกถึง 90% ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่โดยหันมาสร้างแบรนด์ของตัวเองในชื่อ “หนึ่งเดียว” เมื่อประมาณ 3 ปี ที่ผ่านมา ควบคู่โออีเอ็มที่เหลืออยู่เพียง 60%

ถึงวันนี้ธุรกิจไม่เพียง “ไม่มีกำไร” แต่เธอบอกว่า ยังอยู่ในสภาวะ “เข้าเนื้อ”

“ทุกวันนี้ที่ยังทำอยู่ เพราะรักในงานนี้ ชอบและภูมิใจ จึงต้องทำเพื่อประคองให้ธุรกิจอยู่ได้ เริ่มจากหาออเดอร์จากประเทศที่เขาสั่งจำนวนไม่เยอะ แต่เน้นสินค้าที่มีคุณภาพและดีไซน์ เพราะกำลังเรามีแค่นี้ รวมถึงขายในแบรนด์ของตัวเองด้วย”

เธอบอกการปรับตัวเพื่อประคองกิจการ และยังยิ้มสู้อย่างมีความหวัง โดยเฉพาะเมื่อได้ทำกระเป๋าและรองเท้าแบรนด์ของตัวเองที่ ดีไซน์เฉียบ คุณภาพนอก แต่ราคาไทยๆ ใช้ทน ใช้ดี มาตรฐาน “Made in Thailand” ก็เชื่อว่าจะติดตลาดได้ไม่ยาก

“สามปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ หาจุดเด่น หาคาแรคเตอร์ของตัวเอง ซึ่งทุกคนที่มีประสบการณ์ต่างบอกว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้นะ เพราะแค่ได้มาออกงาน ก็เหมือนได้เปิดชื่อของเราไปแล้ว และแม้วันนี้จะยังขายไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีคนรู้จักเราเพิ่มขึ้นอีกคน แล้ววันหนึ่งก็จะขายได้เอง ที่สำคัญแบรนด์นี้เป็นของเราและจะอยู่กับเราไปตลอด”

ขณะแผนรับมือกับอาเซียน “เอื้อมเดือน” บอกเราว่า ไม่ได้มีแค่แง่ร้าย ลองมองในแง่ดี นี่ก็คือ “ตลาดใหม่” เพราะเพื่อนบ้านยังให้การยอมรับในชื่อเสียงของแบรนด์ไทย จึงมองที่จะไปเปิดตลาดเออีซี แนะนำตัวให้ผู้คนรู้จักผลิตภัณฑ์ “หนึ่งเดียว” ให้มากขึ้น และนี่ก็น่าจะเป็นการปรับตัวที่ประคองให้ธุรกิจอยู่รอดได้ ในสภาวะ “หน่วงๆ” อย่างวันนี้

ท่ามกลางผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของเลือดนักสู้ ยังมีของแต่งบ้านและเครื่องประดับเซรามิกหน้าตาน่ารักน่าชัง แบรนด์ “Familyclay” (แฟมิลี่เคลย์) สะดุดตาผู้เข้าชมตั้งแต่แรกเห็น

นี่คือ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ในธุรกิจเก่าแก่ ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ของ 4 พี่น้อง “จิรารัตน์ มหามนตรี” , “นวลอนงค์ มิ่งกมลกุล” , “รัตนา ต่อธนกุล” และ “รัชดา หนองบัว” พวกเขาเริ่มจากทำโรงงานตุ๊กตาผ้า และเซรามิก เน้นงานรับจ้างผลิตและเจาะตลาดแมส ยุคเฟื่องฟู เคยมีรายได้ที่ยังมี “กำไร” หลักล้านบาทต่อปี มีคนงานกว่าครึ่งร้อย

ทว่าวันนี้ กำไรหดหาย ต้นทุนค่าแรงและพลังงานพุ่งสูงขึ้น เครื่องจักรก็ทำท่า “หมดอายุ” เพราะอยู่ด้วยกันมานาน ที่มาของการตัดสินใจ “ขายโรงงาน” เพื่อมาเริ่ม “นับหนึ่งใหม่” จากแรงงานที่เหลือเพียงสมาชิกครอบครัวเท่านั้น

“พอเริ่มกำไรน้อยลง กระทั่งคิดว่า ถ้ายังอยู่แบบนี้อีกสักสองปีแล้วไม่เหลือกำไรเลย คนงานที่อยู่ตรงนี้จะลำบาก แล้วเราจะเหมือนโรงงานอื่นที่ปิดตัวแล้วก็ลอยแพคนงาน จึงตัดสินใจที่จะปิดโรงงานตอนนี้ ตอนที่เรายังพอมีกำลังอยู่ แล้วตอบแทนคนงานตามกฎหมายทุกอย่าง เพื่อให้เขาออกไปอย่างแฮปปี้ และสามารถไปตั้งตัวได้”

“นวลอนงค์ มิ่งกมลกุล” ฝ่ายการตลาด แฟมิลี่เคลย์ บอกแนวคิดการทำธุรกิจบนความรับผิดชอบ ที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องไม่เดือดร้อนทั้งการ “มีอยู่” และ “จากไป” ของธุรกิจ

จากธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ มาเริ่มใหม่กับคนเพียง 3-4 ชีวิต เธอบอกแค่ว่า “แฮปปี้” มาก เพราะสามารถปลดแอกความกดดันทุกๆ อย่าง ไม่ต้องมานั่งเครียดว่าพรุ่งนี้ธุรกิจจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องวิ่งหาลูกค้า เพื่อให้คนงานยังมีงานทำอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องถูกกดราคา ไร้อำนาจต่อรอง ขณะที่ยังคิดเกมรุกหน้าใหม่ให้ธุรกิจ นั่นคือ การพัฒนาสินค้าที่มี “มูลค่า” และ “คุณค่า” ในแบรนด์ตัวเอง กับสินค้าทำมือสวยเก๋ไม่ซ้ำใคร สามารถขยับราคาจากงานเดิม ที่ขายแค่ชิ้นละ 50 บาท สูงสุดก็แค่ 600 บาท ณ วันนี้ สินค้าสุดพิเศษมีราคาขายตั้งแต่ชิ้นละ 400 บาท ไปจนถึงประมาณ 4 พันบาท และยังเป็นที่ต้องการของตลาดในยุคนี้

จากเงินทุนที่ขายโรงงานเดิม ก็นำมาสร้างโรงงานเล็กๆ แห่งใหม่ เวลาเดียวกันก็เปิดเป็นโรงเรียน สอนเพ้นท์เซรามิก เพื่อนำประสบการณ์ตลอด 2 ทศวรรษ มาสร้างโอกาสใหม่ให้ธุรกิจ จากที่ต้องวิ่งหาลูกค้า ก็เลือกเปิดหน้าร้านออนไลน์ให้ลูกค้าวิ่งเข้าหาบ้าง เลือกขายของราคาดี ไม่เน้นสั่งล็อตใหญ่ ไม่ต้องการคนกลาง..เท่านี้ก็ “ปลดล็อก” อุปสรรคสุดหนักอกได้แล้ว

สมาชิก “แฟมิลี่เคลย์” ไม่ได้มีอายุน้อย เรียกว่าเด็กสุดก็ 50 ปี ส่วนพี่คนโตก็กว่า 60 ปีเข้าไปแล้ว แต่ทำไมพวกเขายังรับได้กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยังคิดบวก และกล้าที่จะเริ่มต้นใหม่ในวันนี้

คำตอบสั้นๆ ที่มีให้พวกเราก็แค่..

“ธุรกิจเริ่มใหม่ได้ และเริ่มเมื่อไรก็ได้ เพราะความสามารถอยู่กับตัวเราไม่หายไปไหน”

และนี่คือการปรับตัวของเอสเอ็มอีพันธุ์อึด ในยุคที่อุปสรรคถาโถมรอบด้าน แต่พวกเขายังเลือกต่อสู้ และไม่ท้อ เพราะเชื่อว่า ธุรกิจ..นับหนึ่งใหม่ได้เสมอ

...........................................................

Key to success

ถอดดีเอ็นเอ “SMEs พันธุ์อึด”

๐ ปรับลดขนาดองค์กร ลดต้นทุน ประคองธุรกิจ

๐ ไม่โดดเดี่ยว หาเพื่อน รวมตัวเป็นคลัสเตอร์

๐ สร้างแบรนด์ตัวเอง กู้วิกฤติโออีเอ็ม

๐ ทำของคุณภาพ มีดีไซน์ ในราคารับได้

๐ หาช่องทางใหม่ๆ สร้างโอกาสให้ธุรกิจ

๐ ทำธุรกิจบนความรับผิดชอบ

๐ อย่ากลัว อย่าท้อ เพราะชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ