เอสซีจีทุ่มหมื่นล้านตั้งรง.ซีเมนต์ในลาว

เอสซีจีทุ่มหมื่นล้านตั้งรง.ซีเมนต์ในลาว

บอร์ด"เอสซีจี" อนุมัติลงทุน "หมื่นล้าน" ตั้งโรงงานปูนซีเมนต์ กำลังการผลิต 1.8 ล้านตันในลาว พร้อมเร่งโรงงานแห่งที่2 ในกัมพูชาให้เสร็จเร็วขึ้น

ปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐสะดุดลง ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ยอดขายซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในประเทศปรับตัวลดลง ทำให้หลายบริษัทต้องปรับทิศหารายได้จากต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียนทดแทน เนื่องจากตลาดยังเติบโตต่อเนื่อง

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่าคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทได้อนุมัติให้บริษัทลงทุนจัดตั้งโรงงานปูนซีเมนต์แห่งแรกในแขวงคำม่วน ประเทศลาว กำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี มูลค่าการลงทุนรวม 1 หมื่นล้านบาท คาดเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปี 2560 โดยการลงทุนครั้งนี้เป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทในการขยายการลงทุนไปในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง

"ความต้องการวัสดุก่อสร้างในภูมิภาคยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในแถบอินโดจีน ได้แก่ ลาว กัมพูชา และพม่า ซึ่งการลงทุนตั้งโรงงานปูนซีเมนต์ในลาว เพื่อรองรับความต้องการใช้ซีเมนต์ในลาว และแถบภาคอีสานของไทยเป็นหลัก ส่วนความต้องการในกัมพูชานั้น บริษัทมีแผนจะเร่งก่อสร้างโรงงานปูนซีเมนต์แห่งที่ 2 ให้เสร็จเร็วขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น"

นอกจากการลงทุนดังกล่าวแล้ว บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ หรือ เอ็มแอนด์เอ อีกหลายดีล คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ โดยหนึ่งในนั้นเป็นกิจการผลิตสินค้าและบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่ม หรือ เอชวีเอ(HVA) และยังยอมรับว่าอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการโรงงานปูนซีเมนต์ในเวียดนาม ซึ่งใช้เวลาในการพิจารณาศักยภาพการลงทุนมาหลายปี แม้ว่าในขณะนี้ปริมาณการผลิตซีเมนต์ในเวียดนามจะเกินความต้องการ ทำให้ขาดโอกาสในการทำกำไรก็ตาม

เดินหน้าลงทุนไทย-ต่างประเทศ

นายกานต์ ยังกล่าวว่า บอร์ดยังอนุมัติงบลงทุนสำหรับการพัฒนาสินค้าและบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่ม หรือ เอชวีเอเป็นเงิน 1.82 พันล้านบาท ในกลุ่มธุรกิจกระดาษ หรือ เอสซีจี เปเปอร์ สำหรับโครงการปรับปรุงเครื่องจักรของบริษัทผลิตภัณฑ์กระดาษไทย เพื่อผลิตกระดาษ Glassine ซึ่งเป็นวัสดุรองหลังฉลากประเภท Pressure Sensitive เป็นรายแรกของอาเซียน กำลังการผลิต 6 หมื่นตันต่อปี ตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและภูมิภาคที่เพิ่มสูงขึ้น คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในต้นปี 2559

"เอสซีจี ยังเดินหน้าลงทุนตามแผนงานที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่มีการชะลอการลงทุนแม้แต่โครงการเดียว เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ แม้ว่าจะยังมีปัญหาการเมืองจะยังเป็นความเสี่ยงอยู่ ขณะที่ตลาดอื่นในภูมิภาคอาเซียนยังคงเติบโต ที่สำคัญจากการที่บริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ในภูมิภาคมากขึ้น ทำให้สามารถเกลี่ยสินค้าภายในภูมิภาคได้ โดยปีนี้มีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท โดยแหล่งเงินส่วนใหญ่มาจากกำไรจากการดำเนินงานเป็นหลัก"

ไตรมาสแรกกำไรสุทธิลด 5%

กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี ยังกล่าวต่อว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 121,765ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของทุกธุรกิจและมีกำไร สุทธิ 8,381 ล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 1 ปี 2556 มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่กว่า 1 พันล้านบาท

สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน มีรายได้จากการขาย 10,261 ล้านบาท คิดเป็น 9 % ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจุบัน เอสซีจี มีสินทรัพย์ในอาเซียน รวม 73,041 ล้านบาท คิดเป็น 16 % ของสินทรัพย์รวมที่มีอยู่ 459,231 ล้านบาท

"ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1 ดีกว่าที่บริษัทประเมินไว้ จากธุรกิจเคมีภัณฑ์เป็นหลัก ทำให้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปีเอสซีจีอาจจะปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้น จากเดิมตั้งที่ตั้งเป้าการเติบโตในระดับ 10% หรือมีรายได้ในระดับ 4.7 แสนล้านบาท"

ซีเมนต์ซบ-เคมีภัณฑ์ทิศทางฟื้นตัว

ส่วนธุรกิจซีเมนต์แม้จะมีปัญหาทางการเมือง แต่ในช่วงไตรมาสแรก ตลาดในประเทศยังเติบโตได้ในระดับ 4%ส่วนยอดขายวัสดุก่อสร้าง ติดลบ 7-8% บางผลิตภัณฑ์ติดลบ 10% อย่างไรก็ตามแนวโน้มยอดขายซีเมนต์ในช่วงไตรมาส 2น่าจะอ่อนตัวลง เพราะไม่มีโครงการลงทุนของภาครัฐเข้ามาขับเคลื่อนความต้องการ ทำให้คาดว่ายอดขายซีเมนต์ในประเทศปีนี้จะเติบโตน้อย ในระดับ 0-3% แต่ความต้องการในภูมิภาคอาเซียนยังเติบโตได้ดี

ด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์อยู่ในช่วงขาขึ้นและฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากความต้องการสินค้าในตลาดโลกสูงขึ้นแต่ทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจจีนค่อย ๆ ชะลอตัวลง ด้านธุรกิจกระดาษคาดการณ์การส่งออกในอาเซียนดีขึ้นเนื่องจากความต้องการสินค้ากระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนเติบโตต่อเนื่อง

สำหรับการส่งออก ในไตรมาสแรกปีนี้ เอสซีจีมีรายได้จากการส่งออก 32,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 27% จากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 25%

ส่วนยอดขายสินค้าเอชวีเอเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกของปีนี้ อยู่ที่ 40,894 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของยอดขายรวม ขณะที่สินค้า เอสซีจี อีโค แวลู (SCG ECO Value) มียอดขาย 38,013 ล้านบาท คิดเป็น 31% ของยอดขายรวม