"ให้" มากกว่า "รับ"สูตรเปลี่ยนโลก ฉบับ "ทรงกลด บางยี่ขัน"

"ให้" มากกว่า "รับ"สูตรเปลี่ยนโลก ฉบับ "ทรงกลด บางยี่ขัน"

เขาคือนักสร้างแรงบันดาลใจผ่านตัวอักษรที่ใส่ใจโลกและสิ่งแวดล้อมในยุคที่ใครต่างอยากเป็นนักเปลี่ยนโลก“ทรงกลด บางยี่ขัน”บอกแค่ต้องให้มากกว่ารับ

ชื่อของ “ก้อง-ทรงกลด บางยี่ขัน” ไม่ได้ห่างไกลความคุ้นเคยของคนยุคนี้ เขาคือ บรรณาธิการนิตยสาร a day นักเขียน นักสิ่งแวดล้อม พิธีกรรายการโทรทัศน์ ผู้จุดประกายความคิด และสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน

ในเทศกาลสัปดาห์กิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (Social Enterprise Week Thailand 2014) เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา “ทรงกลด” เป็นหนึ่งในนักสร้างแรงบันดาลใจ ที่มาแบ่งปันความคิดในมุมของเขา ให้กับเหล่าผู้ประกอบการสังคม

“ชีวิตผมมีระบบน้อยมาก เรียกว่า “ไม่มีระบบ” เลยก็ได้ แต่เพื่อนหลายคนชอบบอกว่า ไม่ได้นะ มันมีตำรา มีศาสตร์ต่างๆ มากมายที่บอกว่า คุณต้องมีการวางแผนชีวิต เพื่อจะได้รู้ว่าชีวิตควรเดินไปอย่างไร ที่จะไม่เคว้งคว้าง”

การตั้งเป้าหมายชีวิต และ วางแผนชีวิต เลยดูจะเป็นเรื่องสลักสำคัญโดยเฉพาะกับวัยทำงาน ซึ่งลองได้ถามใครสักคนในเรื่องนี้ คำตอบที่ได้คงหนีไม่พ้น อยากรวย อยากได้โบนัส อยากเลื่อนขั้นเร็วๆ อยากเติบโตในหน้าที่การงาน อีกกี่ปีถึงจะมีบ้าน มีรถ ผ่อนรถ ผ่อนคอนโดหมด เมื่อไรต้องแต่งงาน มีครอบครัว ฯลฯ

แผนชีวิตที่ทรงกลดสรุปว่า “เชิงปริมาณ” และจับต้องได้

จนเมื่อลองย้อนดูชีวิตตัวเอง เขาบอกว่า ทำงานมาจนอายุ 35 ปี ทุกวันนี้ก็ยังคงทำงานหนัก

“บางคนที่ติดตามอินสตราแกรมดูชีวิตผมสบายมาก ขี่จักรยาน เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศอยู่ตลอด ชีวิตน่าอิจฉามาก..แต่จริงๆ แล้ว ชีวิตผม..บัดซบมาก”

ชีวิตการเป็นบก.นิตยสารแสนสาหัส ใช้ชีวิตหนักหน่วง อยู่ภายใต้ภาวะกดดัน มีชีวิตในถุงนอนใต้โต๊ะทำงานเดือนละหนึ่งสัปดาห์เป็นอย่างน้อย รวมชีวิตตลอด 10 ปี ที่นิตยสาร a day ทรงกลดใช้ชีวิตแบบนี้มาแล้วถึง 840 วัน พูดง่ายๆ คือ หนึ่งในสี่ของชีวิตเขา คือ การนอนถุงนอนใต้โต๊ะทำงาน

“พอเริ่มแก่ตัวผมเลยถามคำถามนี้กับตัวเอง ว่าทำงานแบบนี้ไปทำไม? รวมไปถึงว่า ทำไมผมถึงไม่เคยตั้งคำถามนี้เลยกับชีวิตตลอดสิบปีที่ผ่านมา แล้วผมก็รู้คำตอบที่ทำให้ไม่เคยมีปัญหากับการต้องใช้ชีวิตแบบนี้ นั่นเพราะสิ่งที่ผมได้คืนจากการใช้ชีวิตอย่างหนักหน่วง คือ งานที่ทำออกมา..มีความหมาย”

เขาบอกผลของการทำงานหนัก ที่ได้งานซึ่งให้คุณค่า สามารถเปลี่ยนความคิด หรือชีวิตใครคนหนึ่งให้ดีขึ้นได้ กลายเป็นความรู้สึกที่ย้อนกลับมาตอบตัวเขาว่า ‘ทำงานหนักมีประโยชน์’ และทุกสิ่งที่ทำ ‘ไม่ได้สูญเปล่า’

นั่นทำให้เขาเริ่มกลับมาตั้งคำถามกับทฤษฎีบริหารต่างๆ ถึงการตั้งเป้าหมายชีวิตเป็น “เชิงปริมาณ” ว่าถูกต้อง หรือเพียงพอหรือไม่?

“ผมไม่ค่อยเห็นใครตั้งเป้าหมายชีวิตเป็นเชิงคุณภาพ เช่น อยากเห็นภาพตัวเองตอนอายุ 35 ปี ได้ทำให้คนที่รักมีความสุขขึ้นอีก ตอนอายุ 40 ปี อยากมีลูกที่สามารถเลือกทุกอย่างด้วยตัวเองได้..ผมว่าเป้าหมายเชิงคุณภาพสำคัญมาก”

การตั้งเป้าหมายชีวิตจึงไม่ควรหลงลืม ‘เป้าหมายเชิงคุณภาพ’ รวมไปถึงใครสักคนที่อยากเปลี่ยนโลก

“แต่ก่อนผมเคยคิดว่า งานที่แก้ปัญหาสังคม งานเปลี่ยนโลก ไม่ใช่หน้าที่ของประชาชน มันเป็นหน้าที่ของผู้บริหารประเทศ เอ็นจีโอ หรือซุปเปอร์ฮีโร่เท่านั้น แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า หน้าที่ของการแก้ปัญหา เป็นหน้าที่ของทุกคน และเราไม่ควรยกภาระให้ใครคนใดคนหนึ่ง หรืออาชีพใดอาชีพหนึ่ง แต่ทุกคนควรรับภาระนั้นไปโดยเท่าเทียมกัน เพราะโลกมีปัญหาเยอะ ก็ต้องการวิธีการแก้ที่หลากหลาย”

บทบาทของการ “เปลี่ยนโลก” จึงไม่ได้มีเพียงผู้ประกอบการสังคมเท่านั้น แต่ไม่ว่าใคร ทำอาชีพอะไร ก็สามารถร่วมแก้ปัญหาในแบบของตัวเองได้ บนความถนัดที่มี เพื่อเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น

“คำว่าเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นสำหรับผม มีสองระดับ ระดับแรก สมมติเราทำร้านอาหารร้านหนึ่ง แค่ทำให้อร่อย คนกินแล้วยิ้ม มันก็ทำให้โลกดีขึ้นแล้วนะ อย่าเพิ่งไปคิดถึงการแก้ปัญหาใหญ่โต แค่คนกินแล้วมีความสุขกับอาหารของเรา ก็ถือว่าวิเศษแล้ว ถ้าทุกอาชีพทำแบบนี้ได้โลกก็จะน่าอยู่ขึ้นมาก”

ก็แค่ทำให้ผู้คน “มีความสุข” กับสิ่งที่เราทำ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้ ขณะที่ขั้นต่อไป คือการเห็นปัญหา และอยากให้เกิดการแก้ปัญหานั้นจริงๆ เช่น ทำร้านอาหารแล้วเห็นว่าวัตถุดิบมีสารพิษมากมาย จึงมาคิดว่าจะทำอย่างไร ที่จะแก้ปัญหา จนนำไปสู่การแก้ปัญหานั้นได้ในที่สุด

สิ่งที่เขาย้ำในตอนนี้ก็แค่ เมื่ออยากเป็นคนแก้ปัญหา ก็ต้อง ‘เข้าใจปัญหานั้นอย่างถ่องแท้’

“ปัญหาจำนวนมาก ถูกแก้โดยคนที่ไม่อยากแก้ปัญหา ทำให้การแก้หลายครั้งซ้ำร้ายปัญหาให้หนักไปกว่าเดิม ยกตัวอย่าง คนจำนวนมากอยากปลูกป่าชายเลน เพราะคิดว่าคงช่วยอะไรได้ พอไปปลูก ป่าชายเลนก็เยอะขึ้น ซึ่งฟังดูเหมือนจะดี แต่ปรากฏระบบนิเวศน์ต้องการพื้นที่ตรงกลางที่มีน้ำขึ้นน้ำลง ให้สิ่งมีชีวิตได้อยู่อาศัย ซึ่งพอขยายป่าชายเลนไปเรื่อยๆ สัตว์ที่อยู่ตรงนั้นก็หายไปหมด ด้วยความไม่รู้ และไม่มีการวิจัยปัญหามาก่อน”

ฉะนั้น การแก้ปัญหาสังคม จึงไม่ได้ต้องการแค่การลงมือแก้ แต่ต้องเริ่มจากการรู้และเข้าใจในปัญหานั้นดีเสียก่อน

ประเด็นต่อมา ซึ่งเขาย้ำว่า ‘สำคัญมาก’ คือลองถามตัวเองดูว่า การที่อยากเป็นคนแก้ปัญหาสังคม ต้องทำอะไรที่เหนื่อยหนักขนาดนี้ เราทำเพื่ออะไร? ‘ทำเพื่อตัวเอง หรือทำเพื่อคนอื่น’

ซึ่งทัศนคติที่เกิดจาก “อยากทำเพื่อตัวเอง” นี้ เขาย้ำว่า เป็นความคิดที่น่ากลัวมาก และถ้าทุกงาน ทุกงบประมาณ ทุกทรัพยากรที่ทำลงไป เกิดจากการแค่อยากให้เราเป็นที่รู้จัก ถูกพูดถึง ถูกมองว่าเป็นคนสนใจโลก สุดท้ายแล้ว ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านี้ ก็จะไม่ยั่งยืน และมิอาจเกิดประโยชน์สูงสุดได้

“ทุกคนควรเปลี่ยนความคิดว่า เรากำลังทำเพื่อเขา เขามาก่อนเรา ถ้าโครงการนี้แก้ปัญหาได้ คนมีชีวิตที่ดีขึ้น หรืออะไรก็ตามดีขึ้นได้ แม้เราไม่ได้เป็นที่รู้จัก คนไม่ได้มาเชิดชูเรา ไม่ใช่ปัญหาเลย มันเป็นสิ่งที่โอเคมากครับ”

การตั้งเป้าหมายว่า ‘ฉันจะพยายามทำเพื่อคนอื่น’ มีความคิดที่อยากทำเพื่อคนอื่น มากกว่าทำเพื่อตัวเอง ทรงกลดมองว่า จะเป็นความคิดที่ทำให้ตัวเราเล็กลงมากๆ และจากเป้าหมายชีวิต ที่ใครหลายคนเคยมองว่า อยากรวย อยากมีนั่นมีนี่ จะมี ‘ความหมาย’ น้อยมาก เมื่อเทียบกับเป้าหมายชีวิต.. ‘อยากเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ’

“ในทางบัญชี ถ้าเราให้มากกว่ารับก็เหมือนจะขาดทุน แต่จริงๆ แล้ว ทัศนคติการให้มากกว่ารับนี้ ไม่ได้ขาดทุนอะไรเลย กลับจะทำให้ไม่ว่า ชีวิตเรา งานของเรา โลกของเรา ดีขึ้นได้ และจะเป็นพลังสำคัญที่ทำให้ Social Enterprise สำเร็จได้”

เขาสะท้อนความคิดของคนที่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการสังคม แต่เชื่อว่า ความคิดเปลี่ยนโลก แก้ปัญหาสังคม ใครๆ ก็ทำได้ ด้วยทัศนคติเริ่มต้นแค่..อยากเป็น “ผู้ให้” มากกว่า “รับ”