"อิชิตัน" หุ้นดี "เซียน" กวาดเกลี้ยง

หุ้น ICHI ฮอตเกินห้ามใจเสี่ยป๋อง จูงมือ เสี่ยปู่ ชมโรงงานสุดไฮเทคของ ตัน ภาสกรนที ตั้งแต่ปลายปีก่อน วันนี้สมใจอยากได้เป็นเจ้าของ IPO
“ไม่ถูกใจ” อาการนี้เกิดขึ้นกับ “ตัน ภาสกรนที” เจ้าของ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป หรือ ICHI ทันทีที่รู้ราคาหุ้น IPO หลัง “ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ” ประธานกรรมการบริหารบล.เอเซียพลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เคาะราคาที่ 13 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยมีส่วนลด 36 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะซื้อขายวันแรกในวันนี้ (21 เม.ย.57)
“วันนี้หุ้น โออิชิ กรุ๊ป หรือ OISHI วิ่งไปไกลตั้งหลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับราคาไอพีโอ 19 บาท ที่บล.เอเซีย พลัส เป็นผู้กำหนด แต่เหตุใดถึงให้ราคาหุ้น อิชิตัน กรุ๊ป แค่ 13 บาท” “เจ้าพ่อชาเขียว” เคยพูดกับนักลงทุนคนสนิท
ราคาหุ้น ICHI นอกตลาดวิ่งไปไกลตั้ง 18 บาท!! ข่าวลือนี้เกิดขึ้นทันที หลังนักลงทุนกว่า 600 คน แห่นำฝาขวดหรือกล่องเครื่องดื่มอิชิตันมารับสิทธิ์ 250 คนแรก ในการจองซื้อหุ้น IPO คนละ 5,000 หุ้น จากทั้งหมดที่เสนอขาย 300 ล้านหุ้น โดยนักลงทุนพี่น้อง 2 รายแรก เดินทางจากเชียงรายมารับบัตรคิวในเวลา 22.00 น ในวันที่ 13 เม.ย.2557
“พลังบ้า” ถือเป็น “จุดเด่น” ที่นักลงทุนชื่นชอบในตัว “ชายวัย 55 ปี” คนนี้ เห็นได้จากการอัดแคมเปญโดนใจผู้บริโภคจนสามารถผลักดันชาเขียวแบรนด์ "อิชิตัน" ขึ้นแท่น “ผู้นำตลาดชาพร้อมดื่ม” แม้จะเพิ่งเปิดบริษัทเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2553 ด้วยการคว้าส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 สัดส่วน 42 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2556 แซงหน้าแบรนด์ “โออิชิ” ที่มีมาร์เก็ตแชร์ 39 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 3 คือ แบรนด์ “เพียวริคุ” 9 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นแบรนด์อื่นๆประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์
เมื่อปี 2556 มูลค่าตลาดชาพร้อมดื่มอยู่ระดับ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่อยู่ระดับ 6,300 ล้านบาท โดยในปี 2557 มีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะทะยานสู่ระดับ 40,000 ล้านบาท ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า หลังผู้บริโภคเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น เมื่อ “อิชิตัน” ทุ่มงบส่งเสริมกิจกรรมการตลาดไม่ยั้ง โอกาสที่ผู้บริโภคจะนิยมชาพร้อมดื่มอาจสูงขึ้นมาก
“เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” นักลงทุนเทคนิค เจ้าของพอร์ต “หลักพันล้านบาท” วิเคราะห์ความสวยของหุ้น ICHI ในฐานะที่ได้ครอบครองหุ้นไอพีโอร่วมกับภรรยาเกือบ 9 ล้านหุ้น ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า “ด้วยความที่ผมสนิทกับ “ตัน ภาสกรนที” เมื่อปลายปี 2556 แกมาชวนผมกับเหล่านักลงทุนรายใหญ่ อาทิเช่น “เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” ไปเยี่ยมชมโรงงานที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดอยุธยา เดินเข้าไปในโรงงานผมตกตะลึงกับระบบโลจิสติกส์ของเขา “เสี่ยปู่” ถึงกับเอ่ยปากว่า “สุดยอด”
ระบบภายในโรงงานเป็นรูปแบบ automatic ออกแนวทันสมัยสุดๆ หลังบริษัทซื้อระบบมาจากประเทศญี่ปุ่น โรงงานใหญ่โต แต่เขาใช้คนทำงานเพียง 150 คน เป็นไปได้อย่างไร เขาสถบ ทุกอย่างทำงานเพียงแค่กดปุ่มลังเครื่องดื่มก็จะถูกยกไปวางในรถเทรลเลอร์ โรงงานแห่งนี้มีชั้นวางของสูงประมาณ 12-15 ชั้น สุดยอดจริงๆ เขาเอ่ยปากชมไม่ขาดปาก
“ใช้คนทำงานน้อยเท่ากับว่าบริษัทจะมีต้นทุนที่ลดลงอย่างมาก”
หุ้น ICHI ถือเป็นหุ้นที่เข้าหลักการลงทุนของนักลงทุนวีไอ ข้อ 1.เจ้าของลงมือทำงานเอง “ตัน” ไปโรงงานทุกวัน ข้อ 2.บริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการบริโภค กลุ่มแบบนี้วีไอชอบ ข้อ 3.ยอดขายสามารถขยายตัวได้อีกมากเมื่อเทียบกับยอดขายของภูมิภาค เท่าที่ฟัง “ตัน” แชร์อนาคตบริษัทดูเขาค่อนข้างเชื่อมั่นว่า เติบโตปีละ 15-20 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่เรื่องยาก
“เสี่ยป๋อง” ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ของโบรกเกอร์ เอเซียพลัส ยอมรับว่า ชอบหุ้น อิชิตันมาก (ลากเสียงยาว) บล.เอเซียพลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายให้หุ้น ICHI เท่าไรพร้อมรับซื้อทั้งหมด วันแรกของการซื้อขายราคาหุ้นคงสูงกว่าจอง แต่หลังจากเข้าซื้อขายแล้วราคาหุ้นจะมีหน้าตาอย่างไรคงต้องดูกันต่อไป
ราคาไอพีโอ 13 บาท หากมองในมุมนักลงทุนรู้สึกว่า “แพง” แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงปัจจัยพื้นฐาน ถือว่าสมเหตุสมผล “ผมให้ค่าพรีเมี่ยมความเก่งของ “ตัน” และความเป็นผู้นำในตลาดชาเขียวที่สามารถวิ่งแซงหน้าแบรนด์ “โออิชิ” ได้สำเร็จ หากวันแรกของการซื้อขายราคาวิ่งเกินไอพีโอไปมากๆอาจขายทำกำไรบ้างนิดหน่อย แต่ใจจริงต้องการเก็บหุ้น ICHI ไว้นานๆ ยกเว้นหุ้นขึ้นไปแตะ 20 บาท (หัวเราะ)
“ได้ยินคนวงในคุยกันว่า ราคาหุ้น อิชิตัน กรุ๊ป ในช่วง 2-3 ปี มีโอกาสขึ้นไปถึง 25 บาท”
เท่าที่อ่านบทวิเคราะห์ภายในของบล.เอเซียพลัส ที่ส่งให้นักลงทุน ระบุว่า มูลค่าพื้นฐานเหมาะสมของหุ้น อิชิตัน กรุ๊ป ในปี 2557 อยู่ระดับ 17 บาท เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย PER 20.6 เท่า หากไม่มีเหตุการณ์การเมืองมาขัดจังหวะ การที่บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านขวดต่อปี และ 200 ล้านกล่องต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตแบบขวด 600 ล้านขวดต่อปี และแบบกล่องยูเอชที 200 ล้านกล่องต่อปี น่าจะทำให้ราคาหุ้น ICHI ไปได้ไกล
ถามว่าระหว่างหุ้น อิชิตัน กรุ๊ป และหุ้น โออิชิ กรุ๊ป หรือ OISHI ตัวไหนน่าสนใจกว่ากัน? “เซียนหุ้นรายใหญ่” ตอบแบบไม่ลำเอียงว่า หุ้น อิชิตัน “สวยกว่า” วันนี้ราคาหุ้น โออิชิ กรุ๊ป แพงเกินไป แม้จะลงมาจาก “หลักร้อยบาท” แล้วก็ตาม ขณะที่ระบบโรงงานของโออิชิค่อนข้างโบราณกว่า
คุณตันเป็นคนเก่งในเรื่องการตลาด ทุกคนต้องยอมรับเรื่องนี้ เขาสามารถทำให้แบรนด์อิชิตันแข็งแกร่งได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ถือว่าไม่ธรรมดา วันนี้ทุกคนอยากได้หุ้น ICHI เพราะมั่นใจในตัวเขา แม้ที่ผ่านมาจะมีคนบางกลุ่มออกมากล่าวหาว่า “ตัน” สร้างภาพ แต่ถ้าสร้างภาพแล้วช่วยสังคมได้มากขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ บนโลกนี้จะมีคนรวยสักกี่คนที่คอยบริจาคเงินช่วยสังคม ครั้งหนึ่ง “ตัน” เคยเล่าให้ฟังว่า แกเสียใจทุกครั้งที่มีคนกล่าวหาว่า สร้างภาพ
“คุณตันเป็นคนจริง พูดแล้วทำ แถมยังเป็นผู้ให้และผู้รับ ดั่งสำนวนที่ว่า give and take”
ฟาก “เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” เซียนหุ้นรายใหญ่ เล่าให้ฟังสั้นๆว่า หลังไปเยี่ยมชมโรงงานของ “อิชิตัน” ยอมรับว่า ทึ่งในระบบของโรงงานที่มีความทันสมัยมากๆ ทุกอย่างใช้ระบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในแง่ของคนทำงานได้จำนวนมาก เมื่อผสมผสานกับพื้นฐานที่ดีของบริษัท และความสามารถของ “ตัน” ที่สามารถนำพาชาเขียวขี้นแท่นอันดับ 1 แซงหน้าแบรนด์โออิชิได้ ยอมรับว่า หุ้น ICHI “น่าสนใจระดับหนึ่ง”
“ตัน” เล่าแผนธุรกิจโกอินเตอร์สั้นๆให้เหล่านักลงทุนที่เข้าไปเยี่ยมชมโรงงานฟังว่า หลังเข้าตลาดหุ้นมีแผนจะไปตั้งโรงงานผลิตเครื่องดื่มที่ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยความที่ประเทศดังกล่าวมีประชากรมากถึง 280 คน ประกอบกับยังไม่มีคู่แข่งที่ทำเครื่องดื่มเข้าไปทำตลาดในประเทศอินโดนีเซีย ทำให้เขามองเห็นโอกาสการเติบโต
ถามว่า ราคาหุ้น ICHI 13 บาท แพงไปหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่แพง” สำหรับไซด์ธุรกิจขนาดนี้ หากวันแรกของการซื้อขายราคาหุ้นขึ้นไปสูงระดับหนึ่งอาจขายทำกำไรบ้าง แต่หากวันหนึ่งราคาหุ้นพุ่งพรวดไป 20 บาท คงขายหมด
ด้าน “พีรเจต สุวรรณนภาศรี” ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ หรือ UIC ในฐานะนักลงทุนวีไอ วิเคราะห์ว่า ราคาหุ้น 13 บาท ของหุ้น ICHI ไม่มีคำว่า “แพง” หรือ “ถูก” เพราะนักลงทุนทุกคนเชื่อมั่นในตัว “ตัน ภาสกรนที” มากๆ หลายคนมองว่า ราคาหุ้นและธุรกิจของ “อิชิตัน กรุ๊ป” ยังสามารถไปได้อีกไกล ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ยอดจองล้นทะลึก นักลงทุนส่วนใหญ่อยากได้หุ้น เพื่อถือระยะกลางหรือยาว
คุณตันเก่งเรื่องมาร์เก็ตติ้ง เขามีกุศโลบายในการทำการตลาดที่ดี องค์กรที่วางรากฐานแบบนี้ราคาหุ้นไม่มีทางต่ำจองในวันแรกของการซื้อขาย แต่หลังจากเข้าตลาดหุ้นแล้วคงต้องมานั่งดูว่า เขาจะขยายตัวด้วยวิธีใด จริงอยู่วันนี้เขาเป็นอันดับ 1 ในเครื่องดื่มชาเขียว หลังตีตลาดกระจุยจนแบรนด์ โออิชิ ต้องหลีกทางให้ โดยเฉพาะในยุคที่ “แมทธิว กิจโอธาน” นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการ
แต่อย่าลืมว่า ตอนนี้ตลาดชาเขียวกำลังเริ่มขยับตัวยาก ฉะนั้นเขาคงต้องหาผลิตภัณฑ์อื่นๆมาทดแทน แม้วันนี้จะมีตลาดเครื่องดื่มอื่นๆมาเป็นยอดขายรอง แต่ยังถือว่า ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ฉะนั้นปัญหาหลังจากนี้คือ “ตัน” จะหาตุ๊กตาตัวไหนมาผลักดันผลประกอบการให้เติบโตอย่างยั่งยืน
“จุดอ่อน” ของ “อิชิตัน กรุ๊ป” คือ การที่ “ตัน” ทำงานแบบ one man show หากเขายังคงทำงานเช่นนี้คงต้องรักษาสุขภาพมากๆ ส่วน “จุดเด่น” คือ เรื่องการเงิน และการตลาด ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เขาสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เขาทำได้!!
ในแง่ของงบการเงิน “ตัน” สามารถพลิกฟื้นขาดทุน 791 ล้านบาท ในปี 2554 หลังโดนน้ำท่วมใหญกรุงเทพมาเป็น “กำไรสุทธิ” ในปี 2555 จำนวน 689 ล้านบาท ส่วนในแง่ของการตลาดเขาอัดแคมเปญชนิดคู่แข่งต้องโบกมือลา จากนี้ผลประกอบการของบริษัทน่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ผู้บริหารวางไว้เฉลี่ย 15-20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
หากมีคนให้หุ้นจองหุ้น อิชิตัน กรุ๊ป “ผมจะรีบรับไว้เลย” วันแรกคงขึ้นได้ไม่มากเต็มที่น่าจะประมาณ 15-16 บาท ส่วนตัวเชื่อว่า วันแรกนักลงทุนคงพร้อมใจเทขายทำกำไรหากราคาขึ้นมาสูงๆ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนอะไรหลายๆอย่างมักเกิดขึ้นได้เสมอ
ถามว่า หุ้นตัวนี้ถือยาวได้หรือไม่ เขาตอบว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ว่า “ตัน” จะเดินเกมธุรกิจอย่างไรต่อไป แต่สถานการณ์การเมืองแบบนี้คงไม่มีใครกล้าถือยาว “ผมอยากให้นักลงทุนที่ไม่ได้หุ้นจองให้รอไปเก็บวันหลัง ไม่ต้องรีบร้อน ใจเย็นๆ ตามสถิติหุ้นน้องใหม่หลังเข้าตลาดหุ้นมักลงทุนง่ายกว่าวันแรก ใครจะไปรู้หากการเมืองวุ่นวายหนัก หุ้น ICHI อาจลงมาต่ำกว่าราคาจองก็ได้ อย่าลืมว่า การเมืองมักมีผลต่อหุ้นทุกตัว
“วันนี้นักลงทุนรายใหญ่ตัวจริง เขาไม่มองผลตอบแทนจากเงินปันผลเป็นหลักแล้ว แต่จะมองผลตอบแทนจากราคาหุ้นมากกว่า เขาไม่เสียเวลาเก็บกินเงินปันผลปีละแค่ 7-8 เปอร์เซ็นต์ เพราะทำให้พอร์ตลงทุนเติบโตช้า”
ถามว่า ระหว่างหุ้น OISHI กับหุ้น ICHI ตัวไหนน่าสนใจกว่า “พีรเจต” วิเคราะห์ว่า แม้ราคาหุ้น OISHI จะลดลงจากระดับร้อยกว่าบาทมาซื้อขายแถวๆ 85 บาท แต่หากมองกำไรสุทธิในปี 2556 ที่ปรับตัวลดลงเหลือ 455 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 653 ล้านบาท ทำให้หุ้น OISHI ไม่น่าสนใจเท่าหุ้น ICHI
“ผมไม่มีหุ้น ICHI แม้ไม่ได้ก็ไม่เคยดิ้นรน เพราะก่อนจะซื้อหุ้นสักตัว ผมต้องมีโอกาสได้คุยกับผู้บริหารก่อน ซึ่งผู้บริหารคนนั้นต้องยกหูหาง่าย เจอตัวง่าย กินข้าวได้ แต่ถ้าถึงตัวยากไม่ค่อยชอบเท่าไร”
17 บ. เป้าหมายหุ้น ICHI
ฝ่ายวิจัยของบล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ส่วนใหญ่บริษัทนำไปขยายกำลังการผลิตแบบขวดเพิ่ม 2 สาย คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2 ปี 2557 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตแบบขวดเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1,000 ล้านขวดต่อปี หรือประมาณ 66.7 เปอร์เซ็นต์ รวม 5 สายการผลิต แบ่งเป็น 3 สายการผลิตแบบขวด่ และ 2 สายการผลิตแบบกล่อง
กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะสามารถรองรับยอดขายของบริษัทได้ในช่วง 4 ปีข้างหน้า (2557-2560) ให้สามารถเติบโตเฉลี่ยปีละ 16 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ขณะเดียวกันยังผลักดันให้ “กำไรสุทธิ” ขยายตัวประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์ต่อปี หลังจากบริษัทใช้กำลังการผลิตเต็มที่จะสามารถลดปริมาณการว่าจ้างผู้ผลิตภายนอก (OEM) จาก 25 เปอร์เซ็นต์ เหลือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยอัตราการผลิตแบบขวดเฉลี่ยในปี 2560 จะอยู่ระดับ 94 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แบบกล่องจะอยู่ที่ 85 เปอร์เซ็นต์
“ปี 2560 รายได้อาจทะยานสู่ระดับ 11,578 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจะอยู่ระดับ 1,684 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.30 บาท”
ส่วนผลประกอบการในปี 2557 ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า รายได้จากการขายจะอยู่ระดับ 7,896 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 22 เปอร์เซ็นต์ และอาจมีกำไรสุทธิประมาณ 1,070 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.82 บาท บนสมมุติฐานอัตราการใช้กำลังการผลิตแบบขวดเฉลี่ย 63 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2557 และอัตราการใช้กำลังการผลิตแบบกล่องเฉลี่ย 70 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้
สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2557 อาจเพิ่มขึ้นจากระดับ 31.8 เปอร์เซ็นต์ เป็นระดับ 32.5 เปอร์เซ็นต์ หลังโรงงานมีการผลิตมากขึ้นจนทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด และลดปริมาณการว่าจ้างผู้ประกอบการภายนอก
โครงสร้างทางการเงินที่มีแนวโน้มดีขึ้น หลังภาระหนี้เริ่มลดลง ขณะที่ส่วนผู้ถือหุ้นจะเติบโตตามฐานทุนและกำไร ฉะนั้นบริษัทมีโอกาสจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเป็นครั้งแรกในปี 2557 หุ้นละประมาณ 0.33 บาท และจะเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 0.40 บาทในปี 2558 สมมุติฐานดังกล่าวอ้างอิงจากอัตราการจ่ายเงินปันผล หรือ Dividend Payout Ratio แบบอนุรักษ์นิยม 40 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ
หากนำหุ้น ICHI มาเปรียบเทียบกับหุ้น OISHI จะพบว่า ในช่วงที่ผ่านมาหุ้น OISHI ซื้อขายเฉลี่ย PER ประมาณ 20 เท่า และมีอัตรากำไรสุทธิในส่วนของธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ แต่อัตรากำไรสุทธิของหุ้น ICHI ในปี 2557 จะอยู่ระดับประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นมูลค่าเหมาะสมของหุ้น ICHI ควรซื้อขายอย่างน้อยเทียบเท่าค่าเฉลี่ย PER ระดับ 20 เท่า หรือ 16.47 บาท
แต่เมื่อฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานด้วยวิธี Discounted Cash Flow หรือ DCF โดยกำหนด WACC หรือต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของกิจการระดับ 10 เปอร์เซ็นต์ และ Terminal Growth Rate ที่ 3 เปอร์เซ็นต์ จะได้มูลค่าเหมาะสม ณ สิ้นปี 2557 ระดับ 17 บาท
ความเสี่ยงในการทำธุรกิจ ข้อ 1.การแข่งขันตลาดชาเขียวที่รุนแรง หลังธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตที่ดี และมีกำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง แถมยังเป็นธุรกิจที่มีการกีดกันทางการค้าค่อนข้างต่ำ (Barriers to entry) แต่ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ “อิชิตัน” บวกกับการมีแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าน่าจะยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้น และสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดได้เหมือนเดิม
ข้อ 2.บริษัทมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำกำไร แต่ด้วยนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขาย ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ







