"เดอะ กอริลล่า"ธุรกิจเผ็ดร้อนของ"น็อต-วรฤทธิ์"

"เดอะ  กอริลล่า"ธุรกิจเผ็ดร้อนของ"น็อต-วรฤทธิ์"

'คลิกดม พลิกทา'คือวิธีใช้เจลสูดดม“เดอะ กอริลล่า”สลัดภาพของโบราณๆ มาอยู่ในรูปลักษณ์ทันสมัย เลือกใช้นวัตกรรมและความต่าง แจ้งเกิดธุรกิจเงินล้าน

ผ่านตากันไปบ้าง กับบทบาท “จงซิน” มือขวาคนสนิทของพระเอกมาเฟีย “หลิน หลานเซ่อ” จากละครเรื่อง “คิวบิก” สำหรับนักแสดงมากฝีมือ “น็อต-วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์”

นอกจอแก้ว เขาคือ นักธุรกิจหนุ่ม ที่เชี่ยวในสนามอยู่พอตัว เพราะชิมลางธุรกิจมาหลากหลาย ตั้งแต่ธุรกิจรีสอร์ท ร้านทำเล็บ ร้านอาหาร ร้านน้ำผลไม้ปั่น ฯลฯ เรียกว่าเจอมาหมด ทั้ง “สำเร็จ” และ “ล้มเหลว” บางตัวรุ่ง แต่บางตัวก็ เจ๊ง!

ทว่าทุกผลลัพธ์ ก็ให้บทเรียนที่คุ้มค่าแก่เขา

“ผมเรียนรู้ว่า ทำธุรกิจแล้วเราไม่มีเวลาให้มันจริงๆ ทำไม่ได้ ไม่คิดให้รอบคอบก่อนทำ ทำไม่ได้ ไม่มีความรู้กับมันอย่างจริงจัง..ทำไม่ได้”

เขาตกผลึกบทเรียน จากความผิดพลาด มาเป็นวัคซีนชั้นดี สร้างภูมิคุ้มกันในการเริ่มธุรกิจใหม่

วันนี้เราเลยได้รู้จักกับ เจลสูดดม “เดอะ กอริลล่า” (The Gorilla) บทพิสูจน์ “ธุรกิจคิดใหม่” แบบฉบับ “น็อต วรฤทธิ์” ในฐานะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จี สปีชี่ส์ จำกัด

“เริ่มจากที่ ผมทำรายการทีวีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ แล้วเจอกับอาจารย์ท่านหนึ่ง พูดคุยในเรื่องเกษตรกรรม โดยส่วนตัวผมสนใจในเรื่องการเกษตรนะ เพราะประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรม มีการส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เลยมองว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง สุดท้ายมาจบที่ พริก”

พืชเผ็ดร้อน ที่มีสรรพคุณในทางยา และยังสามารถแปลงไปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย ขณะที่คนปลูกพริกในบ้านเรา ส่วนใหญ่ก็ยังปลูกแค่ทำอาหารเท่านั้น ทั้งที่สารสกัด “แคปไซซิน” ในพริกมีประโยชน์มหาศาลมาก และเพื่อการปลูกที่เน้นให้ได้สารสกัดที่มากพอ ในพื้นที่ปลูกจำกัด ก็คงใช้พริกธรรรมดาๆ ในระดับความเผ็ด “พื้นๆ” ไม่ได้ จึงต้องเลือกใช้พริกพันธุ์ที่เผ็ดที่สุดในโลก อย่าง “พริกพิโรธ” ที่ว่ากันว่า เผ็ดกว่าพริกขี้หนูถึง 50 เท่า!

เขาไม่ได้เริ่มธุรกิจนี้อย่างโดดเดี่ยว แต่เลือกค้นคว้าและวิจัยร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ใช้เวลาทดลองวิจัยอยู่ร่วม 1 ปี จนได้สารสกัดจากพริกดั่งที่ต้องการ เบื้องต้นตั้งใจจะขายให้กับบริษัทผลิตอาหารสัตว์และบริษัทยา แต่ด้วยปัจจัยด้าน “ต้นทุน” ทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงไม่ได้

“ถ้าสกัดเป็นของพวกนั้น ต้นทุนจะแพงมาก ทำไม่ได้ เลยคิดว่าอุตส่าห์ทำกันมาขนาดนี้แล้ว ก็ไม่อยากให้ใครต้องผิดหวัง เลยมาคิดทำของที่คนทั่วๆ ไป สามารถใช้ได้ และเราเองก็ควบคุมต้นทุนได้ด้วย”

เมื่อใช้สารสกัดจากพริก ก็ต้องคิดจากพริก เขาบอกว่า เริ่มจากมาดูสรรพคุณของพริก ว่าจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับคนได้บ้าง ก็พบว่า พริกช่วยในเรื่องการขยายหลอดเลือด ลดไขมัน ความเผ็ดร้อนของมันช่วยบรรเทาอาการคัน อาการแพ้ต่างๆ ที่เกิดจากแมลงกัดต่อย เลยได้ไอเดียที่จะทำเจลสูดดม กระโดดลงสนามยาดมยาหม่อง

“ผมวิเคราะห์ดู ตลาดนี้มีผู้เล่นอยู่ไม่เกิน 20 แบรนด์ มูลค่าตลาดรวมคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 พันล้านบาท และมีแบรนด์ที่เป็นเจ้าตลาดซึ่งอยู่มานานหลายปี กินส่วนแบ่งไปแล้วถึง 60-70%”

ใครคงมองว่านี่คือโจทย์หนัก แต่เขากลับมองว่า เป็น “โอกาส” แม้คนจะค่อนข้างมีแบรนด์รอยัลตี้สูงในการใช้ผลิตภัณฑ์เดิมๆ แต่ตลาดที่ไม่ใหญ่ ก็น่าจะยังมีช่องทางให้น้องใหม่ได้แจ้งเกิด โดยเฉพาะน้องใหม่ที่แตกต่างไปจากแบรนด์เดิมๆ ซึ่งมีอยู่ในตลาด

“ถ้าเราจะเข้าสู่ตลาดนี้จริงๆ อะไรคือจุดแข็ง จุดอ่อนของเรา และจะทำอย่างไร ให้ของๆ เราน่าสนใจ จึงตกผลึกมาเป็นเจลสูดดมที่มีตัวรูปลักษณ์ทันสมัย โดดเด่นและแตกต่าง มีการดีไซน์ให้ใช้งานง่าย เพียงแค่คลิกก็สูดดมได้ และ พลิกเปิดใช้ทาได้ในตลับเดียว”

เปลี่ยนภาพของยาดมยาหม่องของใช้ “คนแก่” มาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับคนทันสมัย ที่กล้าใช้ กล้าโชว์ แม้ในที่สาธารณะ ในราคาที่เข้าถึงได้ คือตลับละ 39 บาท

“เดอะ กอริลล่า” เปิดตลาดครั้งแรก ที่ตลาดนัดดาราช่อง 3 ซึ่งเขาบอกว่า ผลตอบรับดีมาก จนนำมาสู่การคิดหาตลาด “ถาวร” ให้กับผลิตภัณฑ์ ใครว่ายากก็ช่าง แต่เป้าหมายของเขาคือ “เซเว่นอีเลฟเว่น” กว่า 7,500 สาขาทั่วประเทศ

“ผมมองจากว่า กลุ่มลูกค้าของเราคือใครก่อน ซึ่งที่มองไว้คือ คนทำงาน นักเรียนนักศึกษา ซึ่งกลุ่มนี้เขาชอบเข้าร้านสะดวกซื้อมากกว่า เพราะว่าสะดวก ง่าย ไปเมื่อไรก็ได้ เลยตั้งเป้าไว้ว่า จะต้องเอาสินค้าของเราเข้าเซเว่นฯ ให้ได้ จึงเริ่มนำเสนอเซเว่นฯ ตั้งแต่แรกๆ ที่เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์”

ใครคิดว่าเอาของมาขายในเซเว่นฯ จะเป็นเรื่อง “กล้วยๆ” หรือคิดว่า เขาจะได้ "ใบผ่านพิเศษ" เพราะเป็นดารา “น็อต วรฤทธิ์” บอกเลยว่า มันยากมาก ต้องผ่านบททดสอบสาหัสไม่ต่างจากทุกคน และเขาต้องใช้เวลาถึง 2 ปี กว่าจะเข้าเซเว่นฯ ได้

“ครั้งแรกที่เจอเขาคอมเม้นต์อย่างเดียวเลย ว่าคุณจะขายได้เหรอ คนซื้อจะเข้าใจเหรอ เพราะมันเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคเลยนะ ใครจะรู้เหรอว่ามันคืออะไร ผมก็เอาคอมเม้นต์ทั้งหมดกลับมาปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา รวมถึงทดลองตลาดให้เขาเห็นว่า เราขายได้ เราเปลี่ยนพฤติกรรมคนได้จริงๆ นะ สุดท้ายก็ขายในเซเว่นฯ ได้ โดยเริ่มวางขายตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา”

ใช้เวลานานถึง 2 ปี เป็นคนอื่นอาจจะถอดใจไปแล้ว แต่สำหรับนักแสดงหนุ่ม เขาบอกเราว่า ไม่เคยคิดถอดใจ เพราะระหว่างนั้น ก็ยังมีรายได้จากช่องทางอื่น อย่างการขายออนไลน์ ออกบูธตามตลาดนะ และออกงานอีเว้นต์ต่างๆ มาหล่อเลี้ยงบริษัทอยู่ด้วย แต่ที่ต้องมุ่งมั่นกับเซเว่นฯ เพราะต้องการช่องทางที่ “ยั่งยืน” ให้กับแบรนด์ของพวกเขา

แม้เป็นนักแสดง แต่เขาก็มีความคิดแบบนักธุรกิจ ไม่ใช่แค่ดาราที่ลุกมาทำการค้า “ขำๆ”

“ทำธุรกิจมีอีโก้ไม่ได้ครับ ความมั่นใจต้องมีแน่นอน แต่ในความมั่นใจ เราต้องรับฟังและพร้อมปรับปรุงแก้ไขด้วย คือไม่มีใครที่คิดถูกเสมอไปหรอก ถ้าเกิดมีใครคอมเม้นต์อะไรมา ก็ควรเก็บว่าวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เขาคอมเม้นต์นั้น จริงหรือเปล่า ถูกต้องหรือเปล่า สิ่งที่เขาว่ามา เราปรับปรุงได้ไหม ทำให้ดีขึ้นได้ไหม ถ้าทำได้เราก็ควรทำ” เขาบอกวิธีคิด

หนึ่งภาพสะท้อนความมั่นใจในธุรกิจ คือ การประกาศที่จะทำยอดขายโตสิบเท่าในปีแรก หรือขายให้ได้ประมาณแสนชิ้นต่อเดือน ก่อนตั้งเป้าที่จะกินส่วนแบ่งตลาดให้ได้ 5% หรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท ภายใน 2 ปี!

“ผมดูจากร้านเซเว่นฯ ที่มีอยู่หลายพันสาขาทั่วประเทศ ผมขอแค่ขายให้ได้สาขาละโหลต่อเดือนเท่านั้น จะทำไม่ได้เชียวเหรอ ขณะที่ของก็ไม่ได้แพง เป็นของที่คนสามารถซื้อหาได้อยู่แล้ว มันก็น่าจะเป็นไปได้”

แม้รายได้ร้อยล้านบาท อาจจะเหลือ “กำไร” ที่ไม่มากนัก แต่นั่นก็คือความท้าทายและเป็นเป้าหมายจากการทำงานหนักของเขา ก่อนแย้มให้ฟังว่า กำลังจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีกสองสามตัวในปีนี้ อย่างยาหม่องน้ำ ยาดมแบบหลอดแบบที่ผู้คนคุ้นเคย และบาล์มที่ใช้ทาตัวก่อนออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

โดยโจทย์เดียวที่กำหนดทางในการพัฒนาสินค้า คือพระเอกจะต้องเป็น “พริก” เท่านั้น

ถามถึงเป้าหมายในการทำธุรกิจ เขาบอกแค่ว่า..

“ผมไม่ได้อยากร่ำรวยมากมายกับธุรกิจนี้ แค่อยากทำแล้วเกิดความมั่นคงในชีวิต สามารถเลี้ยงดูคนรอบตัว ครอบครัว ลูกน้อง ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ผมพูดกับพนักงานเสมอว่า อย่ามองผมเป็นเจ้านาย แล้วคุณเป็นลูกน้อง แต่เราเป็นเพื่อน เป็นพาร์ทเนอร์กัน ทุกคนมีส่วนได้ ส่วนเสียจากงานตรงนี้หมด ถ้าผมรวย คุณก็ต้องรวย คุณทำงานร้อย ก็ต้องได้ร้อย ทำเท่าไร ต้องได้เท่านั้น นี่คือ ตัวผม ผมไม่เอาเปรียบใคร”

เขาสะท้อนคมคิด ของคนที่ไม่ใช่ไม่เคยล้มในเวทีธุรกิจ แต่เลือกหยิบมาเป็นบทเรียน เพื่อก้าวที่ไกลกว่าในวันนี้

...............................................

Key to success

ไอเดียแจ้งเกิด แบรนด์ “เดอะ กอริลล่า”

๐ สินค้ามีนวัตกรรม และความแตกต่าง

๐ ใช้ช่องทางที่เข้าถึงคนได้ทั่วประเทศ

๐ ไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

๐ ใช้ “พริก” เป็นพระเอกสร้างจุดขาย

๐ ความล้มเหลวในอดีต เป็นบทเรียนชั้นยอด