กองทุนอีทีเอฟ - ESET50

กองทุนอีทีเอฟ - ESET50

ดัชนีหุ้นไทยที่นักลงทุนรู้จักดี นอกเหนือจาก SET Index คือ SET50 Index มีสภาพคล่องสูง ไม่เสี่ยงเรื่องผิดนัดชำระหนี้ น่าพิจารณาลงทุน

เมื่อกล่าวถึงดัชนีหุ้นไทยซึ่งเป็นที่รู้จักของนักลงทุนมากที่สุดนอกเหนือจากดัชนี SET Index แล้ว คงไม่พ้นดัชนีราคา SET50 Index ซึ่งเป็นดัชนีราคาหุ้นที่ใช้แสดงระดับและความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 50 ตัว ที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) และสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยผ่านเกณฑ์ที่กำหนด

จากข้อมูล ณ สิ้นมกราคม 2557 หุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET50 มีมูลค่าตลาดประมาณ 74% ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์โดยรวม โดยมีการกระจายตัวของหลักทรัพย์ในดัชนีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจและตลาดทุนของไทย

ปัจจุบันประกอบด้วยหลักทรัพย์ 15 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยมีน้ำหนักสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ พลังงานและสาธารณูปโภค (23.59% จำนวน 10 หลักทรัพย์) ธนาคารพาณิชย์ (21.51% จำนวน 7 หลักทรัพย์) สื่อสาร (15.10% จำนวน 6 หลักทรัพย์) พาณิชย์ (8.84% จำนวน 6 หลักทรัพย์) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (6.69% จำนวน 2 หลักทรัพย์) ในขณะที่ท่องเที่ยวเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักน้อยที่สุดในดัชนี

นักลงทุนที่ประสงค์จะลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET50 สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมอีทีเอฟที่ให้ผลตอบแทนสะท้อนการเคลื่อนไหวของดัชนีก่อนหักค่าใช้จ่าย โดยกองทุนประเภทนี้มิได้มีเฉพาะเพียงในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมีกองทุนรวมอีทีเอฟที่จดทะเบียนอยู่ในต่างประเทศที่อ้างอิงกับดัชนีนี้เช่นเดียวกัน เช่น Nomura NEXT FUNDS Thai Stock SET50 Exchange Traded Fund ในตลาดโตเกียว ,XIE Shares Thailand SET50 ETF ในตลาดฮ่องกง และ Lyxor ETF Thailand SET50 Net TR ในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีกองทุนอีทีเอฟที่อ้างอิงกับดัชนี MSCI Thailand Index ได้แก่ iShares MSCI Thailand Capped ETF จดทะเบียนในตลาดนิวยอร์ก และ db x-trackers MSCI Thailand TRN Index UCITS ETF - 1C ตลาดสิงคโปร์

โดยกองทุนของ Nomura และ iShares เป็นกองทุนที่ถือครองหุ้นที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงไว้จริง หรือที่เรียกกันว่า Physical Replication ในขณะที่กองทุนที่เหลือเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่ถือครองหุ้นหรือทรัพย์สินอื่นที่มิใช่สินทรัพย์อ้างอิง โดยใช้วิธีเข้าทำสัญญาแลกเปลี่ยนผลตอบแทนกับสถาบันการเงินเพื่อให้กองทุนรวมอีทีเอฟนั้นได้รับผลตอบแทนไม่แตกต่างจากดัชนีอ้างอิง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเราจะเรียกกองทุนประเภทนี้ว่า Synthetic Replication หรือ Swap-based ETF

ลักษณะการถือครองหุ้นของกองทุนรวมอีทีเอฟ นับเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินลงทุนของนักลงทุน โดยทั่วไปแล้วแม้ว่าการถือครองทรัพย์สินอ้างอิงไว้จริงอาจเป็นเหตุให้ผลตอบแทนของกองทุนแตกต่างจากดัชนีอ้างอิงได้บ้างเล็กน้อย แต่ก็มีข้อได้เปรียบที่ว่ากองทุนจะไม่มีความเสี่ยงที่เกิดจากการผิดนัดชำระหนี้ของคู่สัญญา

ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนก็นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมอีทีเอฟ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับการเปลี่ยนแปลงของดัชนีอ้างอิงมากที่สุด และเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุดในระยะยาว โดยปัจจุบันกองทุนรวมอีทีเอฟที่อ้างอิงกับดัชนีหุ้นไทยในต่างประเทศคิดอัตราค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนอยู่ที่ประมาณ 0.39 - 0.61% ต่อปี ต่ำกว่าค่าจัดการกองทุนรวมประเภทเชิงรุก หรือ Active Fund ที่มักจัดเก็บค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ประมาณ 1.50 - 2.00% ต่อปี ซึ่งหากมีระยะเวลาการลงทุน 10 ปี นั่นหมายถึงว่าผู้ลงทุนในกองทุนเชิงรับนี้จะมีแต้มต่อถึงเกือบ 15% เมื่อเทียบกับการลงทุนในกองทุนเชิงรุกนั่นเอง

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในดัชนี SET50 ทางบลจ. กรุงไทย เพิ่งนำกองทุนอีทีเอฟน้องใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใต้รหัสย่อว่า ESET50 โดยมีค่าจัดการกองทุนต่ำที่สุดเพียง 0.30% ต่อปี ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บลจ.กรุงไทย บล.เคที ซีมิโก้ และบล.เอเซียพลัส รวมถึงสามารถส่งคำสั่งซื้อผ่านบริษัทหลักทรัพย์ได้ทุกแห่งทั่วประเทศ และอย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ที่สนใจลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะคะ