สุขเท่าเทียม ที่ "ร้านภูฟ้า"

สุขเท่าเทียม ที่ "ร้านภูฟ้า"

“ร้านภูฟ้า”โครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี คือหนึ่งต้นแบบกิจการเพื่อสังคมของคนไทยที่สร้าง"สุขเท่าเทียม"สู่สังคม

ผลิตภัณฑ์ละลานตา วางอวดโฉมอยู่ใน “ร้านภูฟ้า” ตั้งแต่ เสื้อผ้า , เครื่องจักสาน,อาหาร ของใช้ใกล้ตัว ตลอดจน ผลิตภัณฑ์จากภาพวาดฝีพระหัตถ์ ถูกจัดวางอย่างสวยงาม ดึงดูดสายตาขาช้อปที่พบเห็น

นี่ไม่ใช่แค่ร้านขายสินค้า แต่คือ โมเดลแก้ปัญหาสังคม ด้วยวิถีแห่ง Social Enterprise (SE)

“เมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ในโลกเองก็ยังไม่มีแนวคิดชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินงานของกิจการเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise ในวันนั้น หลายคนยังสงสัยว่า ภูฟ้า ขายของก็เหมือนมีกำไร ฉะนั้นจะเรียกเป็นองค์กรการกุศลได้อย่างไร แต่ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ของพระองค์ท่าน ที่ทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น จึงสามารถสร้าง Business Model ที่มีความแตกต่าง คือทั้งช่วยเหลือสังคมได้ และสามารถทำให้ธุรกิจยั่งยืนได้ด้วย ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกใหม่ของสังคมในวันนั้น”

"ศ.(พิเศษ)ดร.สาคร สุขศรีวงศ์" กรรมการและผู้จัดการทั่วไป ร้านภูฟ้า บอกเล่าที่มาของหนึ่งกิจการเพื่อสังคมของคนไทย ที่ยั่งยืนมานานกว่าสิบปี และมีอยู่ถึง 17 สาขา ในปัจจุบัน มีเม็ดเงินตอบแทนสังคมไปแล้วกว่า 100 ล้านบาท

“ร้านภูฟ้า” จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโครงการพัฒนาต่างๆ ตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ให้มีอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ส่งเสริมและพัฒนาชุมชนในถิ่นทุรกันดารให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการตลาด มีช่องทางการตลาดที่ถาวร โดยจะมีการจัดสรรผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น คืนกลับสู่ชุมชน หมุนเวียนเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน

“เป้าหมายของภูฟ้า ไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป็นเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ที่พระองค์ท่านได้ไปส่งเสริมอาชีพให้” เขาบอก

นอกจากการมีเป้าหมายที่แตกต่าง ความเด่นชัดของร้านภูฟ้า ที่ทำให้แตกต่างจากองค์กรธุรกิจ รวมถึงองค์กรการกุศลอื่น คือ การเลือกใช้โมเดล Social Enterprise มาสร้างความยั่งยืน ให้กับธุรกิจ และ สังคม

“ในบริษัททั่วไป เราจะมีคณะกรรมการที่เป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้น แต่สำหรับธุรกิจเพื่อสังคม เราไม่ได้มองแค่ผู้ถือหุ้นอย่างเดียว แต่จะต้องมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย โชคดีของร้านภูฟ้า คือการได้กรรมการเป็นผู้แทนของกลุ่มที่หลากหลาย ทั้งกลุ่มที่มาทางวิชาการ กลุ่มที่ทำงานในโครงการส่งเสริมอาชีพ กลุ่มนักธุรกิจ เหล่านี้เป็นต้น เพื่อจะได้นำแนวคิดและวิธีการดำเนินงานที่หลากหลายนั้น มาช่วยกันทำงาน เป็นโครงสร้างที่ผมขอใช้คำว่า..ส่วนผสมที่ลงตัว”

คณะกรรมการของร้านภูฟ้า ไม่มีใครมีอำนาจเบ็ดเสร็จ การทำงานจึงมีความยืดหยุ่นสูง ทั้งมีความเป็น “มืออาชีพ” ไม่ใช่เป็นการทำงาน “เล่นๆ” หรือ เป็นแค่ “งานอดิเรก” ผลตอบแทนที่ให้กับพนักงานของร้านภูฟ้า ก็เหมือนองค์กรปกติทั่วไป คือไม่ต้องเป็นอาสาสมัคร แต่ทุกคนจะมีผลตอบแทนที่ “สมเหตุสมผล”

ร้านภูฟ้า มีระบบการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ขณะที่การบริหารงานจะมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งสามารถขอพระราชทานคำแนะนำ ตลอดจนถวายรายงานผลการดำเนินงานต่อสมเด็จพระเทพฯ ได้

ร้านภูฟ้า เป็นหนึ่งกิจการเพื่อสังคม ที่แข่งขันได้ในโลกธุรกิจ โดยการตกแต่งร้านที่เหมือนร้านปกติทั่วไปให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้า มีสินค้าที่หลากหลาย ได้คุณภาพ ดูมีคุณค่า น่าครอบครองเป็นเจ้าของ ในราคาสมเหตุสมผลขณะเดียวกันผู้มาใช้บริการ ก็จะทราบดีแก่ใจว่า เงินทุกบาททุสตางค์ที่ใช้ไปในร้านภูฟ้า จะถึงมือประชาชนผู้ยากไร้ อย่างไม่ขาดตกพร่อง

“เรามีระบบการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ งบการเงินของร้านภูฟ้า จะต้องมีผู้สอบบัญชีได้รับใบอนุญาตเป็นผู้รับรอง เราเป็นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคม ที่สามารถสร้างความแตกต่าง ให้ความช่วยเหลือผู้คนในถิ่นทุรกันดาร ขณะเดียวกัน ตัวธุรกิจก็ต้องดำเนินอยู่ได้ด้วย”

องค์กรธุรกิจอาจเรียกผลตอบแทนของพวกเขาว่า “กำไร” แต่กับภูฟ้า พวกเขาใช้คำว่า “รายได้เหนือรายจ่าย” และนี่ก็คือส่วนที่ต้อง “จัดสรร”

“ถ้าองค์กรอยู่ในช่วงของการขยายตัว แน่นอนว่า รายได้เหนือรายจ่าย ก็ต้องใช้ลงทุน ตามพันธกิจหลักที่เรามองไว้ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง รายได้เหนือรายจ่ายเกิดส่วนเกินขึ้น ก็จะมีกรอบที่ชัดเจน ว่าเงินของเราจะถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อสังคมในด้านไหน ซึ่งตั้งแต่ภูฟ้าเปิดมา เราใช้เงินตอบแทนสังคมไปแล้วกว่าร้อยล้านบาท”

รายได้เหนือรายจ่ายของร้านภูฟ้า กระจายสู่สังคมผ่านโครงการพัฒนาในพระราชดำริ ทั้งให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร มุ่งส่งเสริมด้านโภชนาการแก่เด็ก ส่งเสริมการผลิตอาหารในพื้นที่เพื่อลดปัญหาขาดสารอาหาร ป้องกันโรคติดต่อที่สำคัญ เสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลอดจนสร้างความรู้และพัฒนาทักษะอาชีพ เหล่านี้เป็นต้น

เพื่อคนขาดโอกาสในพื้นที่ห่างไกล จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้ พร้อมพัฒนาชุมชนของตนให้ดีขึ้นได้ ไม่เป็นภาระแก่สังคม

หากซื้อสินค้าจากร้านทั่วไป เราอาจได้รับเพียง “สินค้า” แต่ลองมาใช้บริการที่ร้านภูฟ้า นอกจากได้สินค้าคุณภาพดี ถูกอกถูกใจแล้ว ยังเหมือนได้ “ร่วมทำบุญ” เนื่องจากเงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปกับสินค้า ส่วนที่เหลือจากการดำเนินงาน จะได้รับการจัดสรรไปให้กับสังคมด้วย และนี่คือ “คุณค่าเพิ่ม” ที่นักช้อปจะได้รับจากร้านภูฟ้า

ด้วยประสบการณ์ทำงานในหลายภาคส่วน ทั้งองค์กรธุรกิจ กิจการเพื่อสังคม ตลอดจนองค์กรการกุศล ศ.(พิเศษ)ดร.สาคร ย้ำกับเราว่า แนวคิดด้าน Social Enterprise สามารถปรับใช้ได้กับทุกองค์กร

“อยากให้ภาคธุรกิจ มีเป้าหมายส่วนหนึ่งในการทำงานเพื่อสังคม ไม่ใช่แค่เพื่อซีเอสอาร์ หรือแค่การประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่อยากให้มีความลึกในการทำงานเพื่อสังคม เพื่อประโยชน์แก่สังคมอย่างแท้จริงและยั่งยืน เพราะถ้าโมเดลที่ทำไม่ยั่งยืนแล้ว มันจะแค่ ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้ว ดับไป’ อย่างรวดเร็วมาก”

นอกจากนี้ “การสร้างคุณค่าร่วม” ทั้งกับลูกค้า พนักงาน องค์กร และสังคม จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อความยั่งยืนขององค์กร เขาบอกว่า ตลอดกว่าสิบปีที่ทำงานกับภูฟ้า ทำให้มองเห็นถึงความแตกต่างว่า ผลตอบแทนที่เป็น “ตัวเงิน” ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต แต่เราสามารถสร้างความท้าทายให้เกิดขึ้นได้กับทุกองค์กร ด้วยความลึกซึ้งในการสร้าง “คุณค่าร่วม”

ขณะที่การทำงานกิจการเพื่อสังคม สอนความสามารถในการยอมรับความคิดเห็นที่หลากหลายและแตกต่าง องค์กรธุรกิจที่จะยั่งยืนได้ ก็ต้องฟังเสียงสังคมให้มากขึ้น มากกว่าแค่ "ผลประโยชน์ทางธุรกิจ"

“หากสามารถรับฟังความต้องการของสังคมได้ ก็จะสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริงให้ธุรกิจ” เขาย้ำผลพึงได้จากการทำเพื่อสังคม

ในวันนี้คนหนุ่มสาวมากมาย เริ่มเบื่องานในภาคธุรกิจ หลายคนอยากรู้สึก “Feel good” เลยคิดสร้างธุรกิจเพื่อสังคมขึ้นมา เขาบอกว่า เป็นแนวคิดที่ดี แต่ย้ำว่า เท่านั้น “ไม่พอ” เพราะสิ่งที่ผู้ประกอบการเพื่อสังคม จะต้องมองให้ลึกและกว้าง คือ เราต้องการสร้างความแตกต่างอย่างไรให้สังคม ต้องการเปลี่ยนแปลงในเรื่องใด และอยากสร้าง “คุณค่า” อะไรเพื่อนำส่งให้สังคม

สำคัญกว่านั้น คือ ต้องเข้าใจว่า การหารายได้ ไม่ใช่เรื่องผิดบาป เพียงแต่รายได้ที่ได้มานั้น ต้องสามารถนำส่งสินค้าคุณภาพและบริการที่ดี ให้กับผู้บริโภคได้ เป็นการ "วิน-วิน" ด้วยกันทุกฝ่าย ขณะที่ต้องให้ลูกค้ารับรู้ได้ด้วยว่า เงินที่พวกเขาจ่ายไปนั้น จะได้รับการจัดสรรเพื่อประโยชน์ของสังคมอย่างไร

เพื่อร่วมเป็นหนึ่งใน Social Enterprise สร้างความสุขที่เท่าเทียมให้ผู้คน และสร้างความยั่งยืนมั่นคงให้กับโลกใบนี้