Branding in Action ปราบ "กบฎ" ผู้บริโภคให้อยู่หมัด

เมื่อโลกของแบรนด์เป็นใหญ่ผ่านพ้น ลูกค้าเป็น "กบฏ" ไม่เดินตามแบรนด์ "ความต่าง" คือสิ่งที่ต้องควานค้น ไม่ง่ายแต่มีวิธี
นักการตลาด เจ้าของสินค้า หรือแม้แต่นักศึกษาการตลาด กำลังเข้าสู่วงโคจรใหม่แห่งการสร้างแบรนด์พลิกตลาด หลังโลกยุค "แบรนด์เป็นใหญ่" ผ่านพ้น ธุรกิจนับวันจะแข่งขันรุนแรง สินค้าเหมือนกัน เทคโนโลยีทันกัน นักสร้างแบรนด์จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องเจอโจทย์ท้าทายบทใหม่
เมื่อผู้บริโภค (Consumer) คือศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่ง !!!
"ฉีกทิ้ง" ตำราการตลาดเล่มเดิม เปิดห้องปฏิบัติการติวเข้ม "Brand Therapy" เช็คสุขภาพ บำบัดแบรนด์ ถ่ายทอดองค์ความรู้เข้มจาก "นักสร้างแบรนด์มือพระกาฬ" จากเดนท์สุ พลัส ระดมยุทธวิธีสร้างแบรนด์ผสมผสานจากศาสตร์หลายมิติ ฟูมฟักจอมยุทธ์แบรนด์โลดแล่นในสังเวียนการตลาด
ด้วยหลักสูตร “Branding in Action” พาเจ้าของกิจการ เข้าห้องเรียนติวเข้ม แผนปฏิบัติการสร้างแบรนด์ตรึงใจลูกค้า จากกูรูที่ยกขบวนคนทำแบรนด์ทั้งกระทรวงสอนแบบตัวต่อตัว เพื่อให้เข้าถึงตัวตนของแบรนด์อย่างถึงแก่น มุ่งเน้นสอนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ให้รู้จริง และลงมือปั้นแบรนด์กันจริงๆ จังๆ
ดลชัย บุณยะรัตเวช ประธานกรรมการ บริษัท เดนท์สุ พลัส จำกัด (อดีตผู้ก่อตั้ง บริษัท แบรนด์ซเคพ จำกัด) แวดวงโฆษณาและนักการตลาดไม่มีใครไม่รู้จักเขา ธุรกิจโฆษณาและการตลาดยกให้เขาเป็น "กระบี่มือหนึ่ง" ในการสร้างแบรนด์ของเมืองไทย บนประสบการณ์เกือบ 30 ปีจะมาถ่ายทอดวรยุทธเจาะใจผู้บริโภคยุคใหม่ ยุคที่ลูกค้าท่องแต่คำว่า "I am what I am"
ฉันต้องการเดี๋ยวนี้ในวิถีของฉัน !!!
ที่ใครๆ เรียกว่า Gen Me ลูกค้าเป็นศูนย์กลางควบคุมได้ทุกสิ่ง everything jingle bell แม้กระทั่งแบรนด์ สินค้า จากอดีตที่เจ้าของสินค้าเคยเป็นผู้นำถ่ายทอดอะไรไปลูกค้าก็พร้อมรับ
แต่ยุคนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป
โจทย์ยากของนักการตลาดที่จะวางแผนแบรนด์ เพื่อเปลี่ยนใจเหล่าลูกค้ากบฏให้กลับมายึดติดแบรนด์
ดลชัย เล่าว่า นักการตลาดที่เก่ง จะต้องงัดวิธีการทั้งศาสตร์และศิลป์ หลอมรวมสมองทั้งสองซีก ทั้งการคิดอย่างมีตรรกะ หลักการ คู่ไปกับซีกสมอง ช่างจินตนาการ สร้างสรรค์ไอเดีย
จุดสำคัญที่ยากแต่สนุก และท้าทาย นั่นคือ "การเอาโลกของเขามาบวกกับโลกของเรา (สินค้า+แบรนด์)”
เจ้าของสินค้าและนักสร้างแบรนด์จำเป็นที่จะต้องเปิดตัวเองเข้าไปนั่งในโลกของผู้บริโภค (ลูกค้า-Consumer) เข้าไปเลียบๆ เคียงๆ หาให้เจอว่าเขาต้องการอะไร และวนกับค่านิยมอะไร เมื่อสำรวจโลกใบนี้เสร็จ ก็ต้องหันกลับมาเข้ามาเข้าใจ “ขุมพลัง” (Core Power) แบรนด์และสินค้าของเรา
จึงจะเรียกว่าศาสตร์แห่งการสร้างแบรนด์ การสร้างคุณค่า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมลูกค้าต้องจ่ายแพงกว่าสินค้าอื่นเพื่อซื้อคำว่า “แบรนด์”
"ในธุรกิจที่เหมือนกันหมด เทคโนโลยีก็เท่าทันกันหมด เราจึงต้องหาความต่างในตัวเองให้เจอ ซึ่งยากมากในยุคนี้ แต่เราต้องหาให้เจอ ขุมพลัง ที่ซ่อนอยู่ในตัวทุกสินค้า ส่วนผู้บริโภคก็เอาใจยากขึ้นทุกวัน ความต้องการมากขึ้น นักการตลาดที่เก่งจึงต้องบวกโลกของแบรนด์กับโลกของลูกค้า ฟังเสียงลูกค้าไม่ใช่อยากพูดอะไรก็พูดไป ไม่ได้อีกแล้ว"
จุดสำคัญอยู่ที่การเริ่มต้นค้นหาตัวเอง สำรวจว่าเราคือใคร มีคุณค่าอย่างไรในใจผู้บริโภค สืบเสาะให้เจอแล้วนำไป "ต่อยอด" แต่ละสินค้ามีจุดขายที่แตกต่างกัน บางสินค้าขาย รูป รส กลิ่น เสียง (sensory) หรือประสบการณ์ เช่น บูทิค โฮเทล
ก่อนจะนำมาสร้างเรื่องราว (Story) เป็นนักเล่านิทานสินค้า เช่นเดียวกันกับแบรนด์สินค้าระดับโลกทุกตัวล้วนใส่เรื่องราว จึงอยู่มาได้นับสิบปี
“เจ้าของสินค้าหลายคนมัวแต่เน้นขายของทำการตลาด แต่ไม่รู้จักดีเอ็นของตัวเอง ไม่เคยสนใจสร้างเรื่องราวและสร้างคุณค่าของแบรนด์ก็พลาดเป้าหมาย หลงทิศ เมื่อมีคู่แข่งมาขายสินค้าในแบบเดียวกันราคาถูกกว่า ก็ไม่สามารถเก็บลูกค้าไว้ได้ (Lose Focus)"
การตลาดที่เข้ากับคนยุคนี้จึงต้องเป็นกลยุทธ์ "การอยู่ร่วมกัน" ไม่ต่างจากการใช้ชีวิตคู่ (Engagement) ที่ต้องเอาผู้บริโภคนำ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องหาอาวุธเข้าไปเจาะใจ (Touch point) ผู้บริโภคให้รู้สึกว่าแบรนด์มีคุณค่าสำหรับเขามากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ แบบนำเสนอทัศนคติ ปลุกความคิดใหม่ๆ วิ่งไปกับเทรนด์
นั่นเพราะ แบรนด์คือเรื่องราว และการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด (Journey) แบรนด์จะนิ่งๆ ตลอดอายุขัยจึงเป็นไปไม่ได้ แบรนด์ต้องมีการเคลื่อนไหว ในทิศทางเดียวกันกับค่านิยมที่ลูกค้าเล็งเห็น แบรนด์กับลูกค้าจึงเดินทางไปพร้อมกันได้อย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง
อาวุธชิ้นนี้ถูกเรียกว่า “Market Sharing”
พงศ์ศักดิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดนท์สุ พลัส จำกัด อีกมือฉกาจในการสื่อสารผู้บริโภค ประสบการณ์การปั้นแบรนด์ที่ผ่านมือเขา อาทิ บุญรอดบริวเวอรี่ ,เบียร์ลีโอ,The Pizza Company ,NIVEA,ซีเล็คทูน่า,ไม้ฝาเชอร่า,กระทิงแดง
เขาคือหนึ่งในผู้ไขรหัสสินค้า เชื่อมต่อ (Connect) เข้าหาผู้บริโภคในยุคนี้
สิ่งสำคัญในการเปิดประตูเข้าหาผู้บริโภคยุค Gen Me อะไรก็ตัวฉัน หรือ ปัจเจกนิยม (Individualism) ต้องการอะไรเพื่อฉันคนเดียว ดูคนเดียว บริโภคคนเดียว
ลูกค้า กลายเป็น "กบฏ" ที่ชอบเดินนำหน้าสินค้า จึงต้องเข้าสืบเสาะ สังเกตพฤติกรรมของบริโภค รหัสผ่านเดิมๆ อย่างทุ่มเงินโฆษณาทางสื่อนับแสนนับล้าน อาจจะไม่ได้ผลเลยหากแตะไม่ถึงค่านิยมและทัศนคติ การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของพวกเขา
“แบรนด์ต้องรู้วิธีการแสดงตัวตนชัดเจน ว่ามีความหมายและคุณค่าอย่างไรในใจผู้บริโภค จึงจะแจ้งเกิดแบรนด์ให้น่าหลงใหลในระยะยาวได้ ทำให้ลูกค้ารักคุณสุดหัวใจ ลูกค้าก็ไม่ใช่แค่ลูกค้า ซื้อของ แต่จะเป็น สาวก (Evangelist) จงรักภักดี พิทักษ์แบรนด์ คอยเป็นปากเป็นเสียงออกรับแทนแบรนด์ ไม่ว่ามีข่าวเสียหายร้ายแรงจะรีบออกมาปกป้อง เสมือนกับว่าเป็นเจ้าของ"
เขายังบอกถึง "บันได 3 ขั้น" ที่จะเข้าไปนั่งถึงแกนกลางชีวิตผู้บริโภค
เริ่มต้นจากการเล่าเรื่องแบรนด์ที่น่าฟัง (Story ability) ไอเดียและคอนเซ็ปต์แบรนด์ต้องแข็งแกร่งมีเข็มทิศชัด
สเต็ปต่อมาจึงคิดค้นกลยุทธ์เชิญชวนลูกค้า หรือผู้บริโภคให้มาร่วมสื่อสารเรื่องราว จากการผสมผสานข้อมูลที่ลูกค้าสนใจรวมกันกับแนวคิดสร้างสรรค์ เชื้อเชิญให้ผู้บริโภคฟังร่วมวงกิจกรรมด้วย
สเต็ปสุดท้ายคือ ยุทธการดาวกระจายในกลุ่ม สังคม ชุมชน แบ่งปันประสบการณ์ หรือ แชร์ริ่ง (Sharing) ลูกค้าสาวกของแบรนด์เรากระจายไปหาลูกค้าคนในเครือข่าย ขั้นตอนนี้ไม่ต่างจาก "การเปิดเวที" แบ่งปันประสบการณ์จากลูกค้ามาอยู่ในเรื่องราวของแบรนด์
“ต้องสร้างการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ใช้เรื่องราวของแบรนด์ไปแสดงออกเชื่อมโยงกับลูกค้า โดยทำให้ลูกค้าอยากส่งต่ออย่างมีความสุข และสนุกกับแบรนด์โดยไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียด" เขาเล่ากุศโลบาย
ทว่า ผู้บริโภคยุคนี้ไหวตัวเร็ว หากคนขายของตั้งประเด็นขายของ คนจับไต๋ได้ ก็จบเห่
เขายกตัวอย่างการแชร์ริ่งสุดบูมที่เป็นกรณีศึกษาน่าเรียนรู้ อย่าง โค้ก กระป๋องที่คนอยากส่งความปรารถนาดีไปสู่เพื่อนๆในเครือข่ายสังคม หรือแม้กระทั่งแม็กนั่ม ไอศกรีม ที่กลับมาฮือฮา เกิดเป็นกระแสรีแบรนด์อีกรอบ ก็เพราะยุทธวิธีประชิดติดตัวลูกค้า ในแบบที่เขาต้องการ กินแล้วฟิน ส่งต่อ แชร์ภาพแล้วสร้างความปลาบปลื้ม โดยไม่รู้สึกว่าเป็นการโฆษณาให้สินค้า
สินค้าเหล่านี้จึงไม่ต้องทุ่มงบการโฆษณาสูงลิบลิ่ว แบบการตลาดในยุคที่ผ่านมา สองแบรนด์นี้ใช้โฆษณาบนจอทีวี เพื่อการย้ำเตือน (Remind) เท่านั้น สิ่งที่ปลุกตลาดบูมคือ กลยุทธ์การนำเสนอเรื่องราว สุข สนุก จนทำให้คนอยากแชร์ต่อ
ความสำเร็จของโค้ก กับ แม็กนั่ม ไอศกรีม มาจุดติดอีกคราว เป็นเพราะการนำเสนอไอเดียใหม่ๆ หรือ รีเฟรช แบรนด์ใหม่ไม่ปล่อยให้เรื่องราวเก่ากรุ เท่าอายุแบรนด์
“โค้ก นิ่งไม่ได้ต้องรีเฟรชไอเดียใหม่ๆ บางทีก็ได้ไอเดียที่เกิดเป็นตามสถานการณ์จริงในยุคปัจจุบัน (practical) แบรนด์คือตัวตัดสินผู้ชนะบนเวทีได้เลย" เขาเล่า
เพราะแบรนด์ในยุคนี้ขายกันที่ประสบการณ์การใช้ชีวิต จึงต้องขายประสบการณ์จากแบรนด์ (Brand experience)
อีกตัวอย่างที่เกิดการแชร์ประสบการณ์และขายไอเดียการใช้ชีวิต คือ ฮอนด้า ซูมเมอร์X มอเตอร์ไซค์ฉีกกฎ สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของวัยรุ่นเจนใหม่ ในยุคนี้ แคมเปญถูกตั้งว่า ชีวิตนอกกรอบ "Life Unblock" เปิดเวทีให้ลูกค้า นักร้อง นักดนตรี คนทำเสื้อผ้าร่วมกันแชร์ไอเดีย แต่งมอเตอร์ไซค์ ในแบบของคุณ คนร่วมสนุกกันจำนวนมากเข้ามาแล้วก็กระจายแคมเปญ แบ่งปันภาพถ่ายไปในโลกโซเชียลมิเดีย
แบรนด์จะถูกกระจายไปในหมู่คนในวงกว้างเพื่อนๆ ในหลายๆ แวดวง เพราะแคมเปญถูกจริตกับคนยุคนี้ แบรนด์ก็เกาะเกี่ยวไปกับพวกเขาได้
เช่นเดียวกัน แคมเปญการตลาดชิ้นนี้ไม่ต้องทุ่มงบมหาศาลเพื่อซื้อสื่อโฆษณาบนหน้าจอทีวี เป็นเพียงการส่งต่อ แบ่งปันประสบการณ์บนโลกโซเชียลมีเดีย ก็มีพลังทางการตลาดได้ไม่แพ้สื่อหลัก
เพียงแต่ต้องคิดแคมเปญ เจ๋งๆ โดนๆ มันๆ สนุกจับใจไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย
ดลชัย อธิบายถึงรสนิยมของผู้บริโภคว่า การเกิดการเชื่อมต่อกันระหว่างแบรนด์และลูกค้าคือการสร้างสายสัมพันธ์ที่ไปกระตุกต่อม "อารมณ์ร่วม" (Emotional) ไม้เด็ดที่เอาชนะคู่แข่งที่ฟังก์ชันเหมือนกัน สินค้าไม่ต่างกัน ความสัมพันธ์เชิงอารมณ์ที่สร้างคุณค่าให้กับลูกค้าเท่านั้นที่จะเด็ดขั้วหัวใจผู้บริโภค
หลายกลยุทธ์ที่ไม่ได้ใช้วิธีขายของแต่เอาชนะใจลูกค้าได้ หากมีการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อลูกค้ามาตลอด เช่น การพัฒนาสังคม สร้างแรงบันดาลใจ ปลุกพลังความคิดและไอเดียใหม่ๆ จัดกิจกรรม คลุกคลีกับกลุ่มเป้าหมายลูกค้า เช่น หากเป็นนักศึกษาก็ต้องไปทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย
“ต้องมีหลากหลายมิติในการบริหารจัดการแบรนด์ หากเริ่มเบื่ออยู่มานาน แบรนด์ก็ต้องสร้างความตื่นเต้นให้ผู้บริโภค" เขาเล่า
สิ่งเหล่านี้เป็นการศึกษากระแสของโลกอย่างรอบด้าน ตั้งแต่สังคม การเมือง เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม แล้วค่อยนำมารวมความคิด เชื่อมแบรนด์เข้ากับลูกค้า
แบรนด์เป็นนามธรรม แต่มีพลังทางอารมณ์ จึงต้องไปสร้างอารมณ์หลงรักจากลูกค้า มีวิธีการเป็นรูปธรรม ด้วยเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ตั้งแต่ โลโก้ อีเวนท์ แคมเปญ ไอเดีย ในการเข้าถึงเรื่องราวเฉพาะตัว สร้างความหมายในชีวิตให้กับชีวิตลูกค้า
“เป็นการจัดการประสบการณ์ให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ สุดท้ายจะเกิดความคิดที่มีคุณค่าฝังอยู่ในใจคนไม่เปลี่ยนแปลง” เขาเล่า
อย่างที่รู้กันว่ากระแสประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นหนึ่งในโจทย์ในสนามรบที่มาแรง นักการตลาด คนทำแบรนด์ต้องเตรียมตัว "ดลชัย" เล่าว่า หากเจ้าของสินค้า ทำฐานรากขององค์กรให้แข็งแกร่ง มีแบรนด์ที่สร้างตัวตนชัดเจน ก็จะต่อยอดข้ามไปบุกสมรภูมิต่างๆ ในภูมิภาคได้ไม่ยาก
สิ่งที่แบรนด์ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ก็คือ "มิติความหลากหลาย" ของชนชาติอาเซียนทั้งเรื่องทัศนคติ ค่านิยม ศาสนา รวมถึงความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การสื่อสารจึงต้องประยุกต์ความเป็นแบรนด์ในตัวเรา ให้เข้ากับตลาดที่จะไปบุก
"บางแบรนด์บางสินค้าไปทื่อๆ เพราะคิดว่าขายดีในบ้านเราพอข้ามไปในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนก็ไปไม่รอด เพราะไม่เข้าใจรสชาติลิ้น ศาสนา ค่านิยมท้องถิ่น ก็ไปไม่รอด นี่คือสิ่งที่สินค้าต้องเตรียมพร้อม"
----------------------------------------------
SMEs มีแบรนด์เป็นอาวุธลับ
แนวคิดและความเชื่อบางอย่างไม่ถูกซะทีเดียว โดยเฉพาะคำว่า "แบรนด์" คือ กลยุทธ์สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ทุนหนา สายป่านยาวเท่านั้น เปล่าเลย อาวุธลับของแบรนด์เหมาะอย่างยิ่งกับผู้ประกอบการไซต์กลางและเล็ก หรือ SMEs
ดลชัย บุณยะรัตเวช ประธานกรรมการ บริษัท เดนท์สุ พลัส จำกัด นักสร้างแบรนด์ เล่าว่า เงินทุนไม่ใช่ปัญหาสำหรับการสร้างแบรนด์ให้กับ SMEs เพราะแบรนด์คือการใช้ความคิด ไม่ใช่การใช้ทุน คือการร่างยุทธวิธี สร้างคุณค่าในใจคนด้วยต้นทุนต่ำ แต่หวังผลสูง
“อยู่ที่ไอเดีย และกลยุทธ์ ที่จะวางแผนการใช้เงินให้คุ้มค่า แบบไม่หว่านกระจัดกระจาย” กูรูแบรนด์เปิดเปลือกการสร้างแบรนด์ให้ SMEs
เขาลงลึกกลยุทธ์สร้างแบรนด์สำหรับ SMEs ว่าควรเสาะหาทุกโสตสัมผัส (Sense) เพื่อตอบสนอง (Serve) ตามที่ลูกค้าต้องการ เช่นเดียวกันกับกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า (CRM -Customer Relationship Management)
"ต้องไหวทันกับผู้บริโภค เกาะติดไปกับเค้า"
ขาดไม่ได้เลยคือการวางแผนเลือกเจาะจงกลุ่มลูกค้า (Focus) "อย่าหว่าน" เลือกหมดตกม้าตาย หาให้ชัดแล้วเล็งไปที่กลุ่มเป้าหมาย
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะข้อจำกัดของ SMEs คือทุนต่ำจึงต้องคำนวณหาจุดคุ้มทุนสูงสุดด้วยต้นทุนต่ำสุดไปพร้อมกัน
ต้องเลือกชัดๆ ไปเลยว่า "ลูกค้าคุณคือใคร??"
“ทุกอย่างที่ SMEs จ่ายไปต้องย้อนกลับมาทดแทน (Afford) กับสิ่งที่เสียไป ทุกช่องทางที่เสียไปต้องหาทางทำเงิน (Make money) จึงต้องรู้ว่าสินค้าไหน ทรัพยากรไหนในธุรกิจ จะเป็นรายได้"
แม้จะเป็นคนตัวเล็ก แต่SMEs ก็มีข้อได้เปรียบยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจ ตรงที่มีความยืดหยุ่นกว่า (Flexible) หากเดินผิดแผน ฉะนั้นเมื่อวางแผนไปแล้ว SMEs มีสิทธิเช็คเข็มทิศ ประเมินสิ่งที่ได้กับสิ่งที่เสียมันคุ้มค่ากันไหม ถ้าไม่ได้ก็แก้ลำกันใหม่ได้ทัน
ไม่ว่าจะเป็นร้านขนม ร้านกาแฟ ร้านตัดขนหมา หรือสปา ในความเหมือนกันของสินค้า ต้องหาคุณค่าภายในของตัวเองออกมาให้ได้ เช่น สปา ที่เห็นกันอยู่ทั่วกรุง พลิกโฉมความต่างกันได้ตรงที่ "โอเอซิส ของคนกรุงเทพ" ก็ทำให้สปาร้านนี้เด่นเด้งขึ้นมา
ขณะที่ พงศ์ศักดิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดนท์สุ พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า การที่ SMEs ในประเทศไทย มีอายุไม่ยืนยาว ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดแนวคิดในเชิงกลยุทธ์ และการวางแผนธุรกิจ จุดเริ่มต้นที่จะเชื่อมไปถึงปลายทางคือแบรนด์
หลายกิจการหลงทิศ ไม่รู้แม้กระทั่งตัวเองคือใคร ก็ไปต่อไม่ได้
“เราต้องหาความดีงามในตัวเรา ที่จะนำไปสู่การสร้างแบรนด์ให้ชื่อจดจำ”
โจทย์เก่าการวางแผนว่ายากแล้ว เมื่อSMEs รุ่นใหม่มาเจอกับโจทย์โหดหินของคนยุคนี้ ที่ธุรกิจแตกต่างจากรุ่นพ่อรุ่นแม่อย่างสิ้นเชิง แม้รุ่นลูกจะไปร่ำเรียนแผนการตลาดมาเป็นต้นทุน
ทว่ากลยุทธ์การสร้างแบรนด์เป็นเรื่องใหม่ที่ต้องแสวงหาบทเรียนนอกตำรา เรียนผ่านกรณีศึกษามากมายพร้อมกับ รู้วิถีทางอ่านโจทย์ภายในใจสินค้าของเราไปพร้อมกัน




