'พี่ซุป วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ'ภารกิจ เอาชนะสิ่งพิมพ์ขาลง

'พี่ซุป วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ'ภารกิจ เอาชนะสิ่งพิมพ์ขาลง

ปั้น'คอนเทนต์'น้ำดีป้อนเด็กไทยปีที่ 24 บนภารกิจใหม่'พี่ซุป วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ'กรรมการบริหารบ.ซูเปอร์จิ๋ว เอาชนะสิ่งพิมพ์ขาลงทำแมกกาซีนเด็ก

น้อยนักที่รายการโทรทัศน์ของไทยจะยืนหยัดอยู่ได้ยาวนาน จากหลายเหตุผลทั้งด้านเนื้อหา ความนิยมชมชอบ เรตติ้ง เม็ดเงินโฆษณา เอเยนซี่ฯ ล้วนทำให้มีรายการทีวีหมุนเวียนเปลี่ยนไปจากจอแก้วอยู่เสมอ ยิ่งเป็นการรายเด็กที่ "ท่อน้ำเลี้ยง" จากเม็ดเงินโฆษณาแค่หยิบมือเดียวหรือไม่ถึง 10% ของเม็ดเงินโฆษณาทางโทรทัศน์ที่มีราว 6-7 หมื่นล้านบาท

หรืออยู่ที่ระดับ 1,000-2,0000 ล้านบาทเท่านั้น

แม้ทุกคนไม่ปฏิเสธว่าเด็กมีความสำคัญมาก แต่ในเชิงธุรกิจสินค้าและบริการส่วนใหญ่ กลับเลือกที่จะควักงบโฆษณาให้กับรายการเด็กรั้งท้าย นั่นเพราะเงื่อนไขความคุ้มค่าทางธุรกิจ

ทว่า...สำหรับรายการ "ซูเปอร์จิ๋ว" กลับแตกต่างออกไป เพราะนอกจากจะไม่หายหน้าหายตาไปจากหน้าจอทีวีแล้ว ยังเป็นหนึ่งในคอนเทนต์(รายการ)เด็ก "น้ำดี" ที่เข้าสู่ 24 ขวบปี ภายใต้การประคบประหงมจากนักเศรษฐศาสตร์ที่มีใจ "รัก" การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อเด็กและครอบครัว อย่าง "พี่ซุป" วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ" กรรมการบริหาร บริษัท ซูเปอร์จิ๋ว จำกัด และบริษัท ซูเปอร์จิ๋ว อีเวนต์ จำกัด

เป็นนิสิตเรียนจบเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่กลับมาคลุกคลีกับวิชาชีพสื่อ ดูจะสวนทางกับวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา แต่พี่ซุปบอกว่า ขณะนั้นยังสับสนว่าจะเอ็นทรานซ์เข้าคณะอะไร ด้วยข้อจำกัดระบบการศึกษาไทยไม่ค่อยแนะแนวให้เด็กเรียนรู้ว่า ชอบหรืออยากจะเป็นอาชีพอะไร ทำให้เขาต้องเอ็นทรานซ์ถึง 2 ครั้ง ก่อนจะมาลงตัวที่คณะเศรษฐศาสตร์

"ตอนนั้นสอบเข้าไปได้ด้วยคะแนนค่อนข้างต่ำ" เขาเล่า

ครั้นจบการศึกษาก็ไม่ได้ทำงานด้านเศรษฐศาสตร์ เพราะก่อนนั้นเข้าสู่วงการโทรทัศน์ โดยการเริ่มต้นเป็นพิธีกรและทีมงานรายการ "ซูเปอร์จิ๋ว" ตั้งแต่อายุ 20 ปี ทำรายการเด็กเรื่อยมาจนกระทั่งปี 2539-2540 จึงตัดสินใจเป็น "เจ้าของรายการ" ด้วยเงินทุนตั้งต้นเพียง 2 ล้านบาท

เป็นนักธุรกิจมือใหม่ที่เข้ามาในจังหวะประเทศไทยเผชิญวิกฤติต้มยำกุ้ง ในปี 2540 ขณะนั้นเจ้าตัวบอกว่า เจอ "มรสุม" แบบเต็มๆ เพราะควักเงินผลิตรายการไป ก็มีแต่จะ "ขาดทุน"

แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคครานั้น ก็ด้วยความคิดที่ว่า

"หยุดทำจะหาเงินที่ไหนใช้หนี้" เขาหัวเราะ ก่อนเล่าด้วยแววตามุ่งมั่นว่า

"พี่อยากเอาชนะ พี่เชื่อว่ารายการเด็กในเมืองไทยจะต้องยืนหยัดอยู่ได้" แม้รายการทีวีสำหรับเด็กจะทำยากมาก แต่หากประสบความสำเร็จและมีส่วนสร้างสรรค์สังคมให้ดี เด็กเจริญเติบโต ประเทศเกิดความหวัง เป็นหนึ่งในยุทธการ "ขัดเกลา" เด็กโดยตรง ไม่ต่างจากอาชีพ "ครู"

ส่วนผลที่ได้รับคือ "ความภูมิใจ"

หลังเผชิญภาวะขาดทุนอยู่ 3-4 ปี การหาทางล้างขาดทุนสะสมของเขา เริ่มจากการประยุกต์ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์มาใช้ ตั้งแต่การหั่นงบประมาณในการผลิตรายการทีวีเพื่อให้ได้จำนวนตอนออกอากาศที่มากขึ้น เหมือนยืดอายุรายการ

ทว่า..นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดเท่ากับการพลิกเกมธุรกิจหันมามองเรื่องใกล้ตัว อย่างการวิจัยตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค ชวนบรรดาคุณหนูๆ มาพูดคุยจริงจัง

"ล้มลุกคลุกคลานที่สุดคือไม่มีเงิน ขาดทุนสะสม แต่ตอนนั้นโชคดีที่คิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่เครียดมาก และคิดในใจว่าถ้าขาดทุน 2 ล้านบาทเมื่อไหร่จะเลิก ก็ขยับไปเรื่อยเป็น 2.5 ล้านบาท ทะลุไปเรื่อย ดูแลแคชโฟลว์(กระแสเงินสด)ด้วยการนำหลักเศรษฐศาสตร์มาใช้"

พี่ซุป ยังเล่าว่า อยากทำรายการเด็กให้อยู่นานที่สุด เลยนำการตลาดต้นทุนต่ำ (Low Cost Marketing) มาใช้ ผลิตรายการตอนละ 8 หมื่นบาท ได้ 30 ตอน แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงคิดใหม่ ทำวิจัยและพัฒนา(R&D) ชวนเด็กมาคุย ปรากฏว่า เด็กรู้มากกว่าที่คิด

ตอนนั้นเด็กบอกว่ารายการเรากระจอกมาก เวลามายืนอยู่กลางรายการไม่ภูมิใจเลย เมื่อเทียบกับรายการผู้ใหญ่ เด็กหาว่าเราไม่ลงทุนฉาก ไม่หลากหลาย และบอกว่าพี่จะสั่งสอนเราไปถึงไหน ฟังครูสอนมาทั้งวันก็แล้ว และรายการส่วนใหญ่ก็ผลิตเพื่อเด็กกรุงเทพฯ

ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เขารู้ Insigth ความต้องการของผู้บริโภคหนูๆ อย่างแท้จริง

พี่ซุปเลยปรับวิธีคิด ยกเครื่องรูปแบบรายการ ฉาก สีสัน คอนเทนต์ต่างๆ เป็นการใหญ่ ลุยออกกองไปต่างจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อผลิตรายการแต่ละตอนมาออกอากาศ

"ที่ผ่านมาเราอยากให้เด็ก แต่เด็กไม่ได้อยากรับ แต่ตอนนี้เรานำ 2 อย่างมาประสานกัน"


ก้าวสู่ปีที่ 24 ของซูเปอร์จิ๋ว พี่ซุปยังสานฝันด้วยการสยายปีกสู่สื่อสิ่งพิมพ์ เป็นการเติมเต็ม Solution ให้กับธุรกิจสื่อให้ครบครันมากขึ้น จากที่มีแค่อีเวนท์ และรายการโทรทัศน์ เลือกจะมาเปิด "ซูเปอร์จิ๋ว Magazine" แต่ดันมาเปิดในยุคที่ธุรกิจน้ำหมึกอยู่ในช่วงขาลง


ทำไมจึงเป็นแบบนั้น พี่ซุปคิดอะไรอยู่ ???

คำตอบคือ จากการวิจัยตลาดพบว่า แม็กกาซีนสำหรับเด็กอย่างแท้จริงในประเทศไทยแทบหาไม่เจอบนเชลฟ์หนังสือ เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่มีทั้ง เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก คิดส์(National Geographic Kids) โว้กสำหรับเด็ก (vogue) แอล(ELLE) เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือสำหรับเด็กยังมีราคาแสนแพง

ประเด็นสำคัญอีกอย่าง คือความต้องการกระตุ้นให้เด็กรักการอ่าน เพราะนับวันจำนวนบรรทัดของบรรดาคุณหนูไทยจะติดอันดับโลกรั้งท้ายในการเป็นหนอนหนังสือ ที่ปริมาณการอ่านต่อปีอยู่ที่ 2 เล่มต่อคนต่อปี เทียบกับเวียดนามอยู่ที่ 50 เล่มต่อคนต่อปี

"หนังสือเป็นความฝันที่อยากทำเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะตระหนักว่าการอ่านมีความสำคัญต่อเด็กมาก ทุกครั้งที่พบอันดับการอ่านหนังสือของเด็กไทยลดน้อยลงทุกปี ก็คิดว่าเราจะช่วยอะไรได้บ้าง เมื่อสำรวจตลาด หนังสือเด็กแทบไม่มีเลย ส่วนใหญ่เป็นนิทาน ไม่มีแม็กกาซีน เมื่อโมเดลที่สวรรค์ส่งมาอย่าง Free copy และสามารถผลิตหนังสือได้ในต้นทุนที่ต่ำ แก้โจทย์ความกังวลใจในอดีตได้

ส่วนธุรกิจสิ่งพิมพ์ที่มองเป็นขาลง ก็เชื่อมั่นว่าในวิกฤติยังมีโอกาสเสมอ"

ผลจากการระดมสมองและวิจัยตลาดตลอด 24 เดือน ลองผิดถูกแก้ไขคอนเทนต์ถึง 4 เล่ม ก่อนจะมี "ซูเปอร์จิ๋ว Magazine" ฉบับปฐมฤกษ์แจกฟรี 1.5 แสนเล่มทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา

เขายังปลุกความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า สปอนเซอร์ต่างๆ ว่า การทุ่มทุนสร้างสรรค์แมกกาซีนเด็กครั้งนี้จะวัดผลได้ เพราะพิจารณาความต้องการเนื้อแท้ของพ่อแม่ผู้ปกครอง ยินดีอยู่แล้ว ยิ่งเป็นโมเดล "แจกฟรี"

นี่ถือเป็นก้าวสำคัญของซูเปอร์จิ๋ว ในการผลิตคอนเทนต์สำหรับเด็ก ส่วนในแง่ธุรกิจคือการอาสาเป็น "Total Kids Solutions" ไม่ได้ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นเยาว์ แต่ส่งเสริมความรู้เพิ่มเติม ควบคู่กับการมีสื่อครบวงจรเพื่อเป็นคอนเทนต์ โปรวายเดอร์ อันดับ 1 ในใจ (Top of mind) ของลูกค้า รับกับกระแสทีวีดิจิทัล

ขณะที่เป้าหมายใหญ่ในอนาคต พี่ซุปบอกว่า "วันหนึ่งอยากทำให้ซูเปอร์จิ๋วเป็นเหมือนสถาบันเพื่อเด็กและครอบครัวอย่างแท้จริง คอนเทนต์ทุกอย่างที่ปลุกปั้นอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือพ่อแม่ผู้ปกครองฝึกอบรมบุตรหลาน โดยขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นอยู่"

คร่ำหวอดในแวดวงคอนเทนต์สำหรับเด็กมานาน ถามว่ายุคนี้มีอะไรน่าเป็นห่วง พี่ซุปบอกว่า ห่วงวิถีวัยเยาว์ เพราะเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อโลกยุคใหม่ และปฏิเสธไม่ได้ แม้ข้อดีคือเด็กสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากเมื่อเทียบกับอดีต แต่เวลาที่ถูกใช้ไปก็จะทำให้เด็กเสียโอกาสเรียนรู้และออกไปใช้ชีวิตในโลกกว้าง การแบ่งเวลามีความสำคัญมาก

"เวลาไปทานข้าวนอกบ้าน เจอพ่อแม่ยุคใหม่ให้ลูกเล่นไอแพด เล่นเกม หากเด็ก 4-5 ขวบไม่คุยกันในครอบครัว เมื่อโตขึ้นจะสื่อสารกันยังไง ทานข้าวเสร็จค่อยเล่นก็ได้ เทคโนโลยีมีอิทธิพลทั้งบวกและลบแต่จะควบคุมมันอย่างไร

มนุษย์มีเวลาในชีวิตเท่าเดิม 24 ชั่วโมง เวลาวิ่งเล่นของเด็กหายไป ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่ผู้ใหญ่ต้องสอนเด็กให้รู้จักแบ่งเวลา"