'ธีรกรณ์ ไรวา'รุ่น 2 เอสแอนด์พี ทำเหตุให้ดี ผลที่ดีจะตามมา

'เอสแอนด์พี' ย่างสู่วัย 41 กะรัต เริ่มผ่องถ่ายให้ทายาทรุ่น 2 รับไม้ต่อ'เจมส์ ธีรกรณ์ ไรวา' ภารกิจปั้นแบรนด์ร้านอาหารไทยบนเวทีโลก
คลุกคลีอยู่ก้นครัวร้านอาหารเอสแอนด์พีมาตั้งแต่เด็ก ช่วงวัยรุ่นไขว่คว้าหาความรู้ในต่างแดนทั้งเมืองลุงแซมและแดนอาทิตย์อุทัย ก่อนเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานอยู่ไม่กี่ปี พอเศรษฐกิจตกต่ำเป็นจังหวะเดียวกับที่ "เจมส์ ธีรกรณ์ ไรวา" ผู้จัดการส่วนพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) 1 ใน 8 ทายาทรุ่น 2 กลับมาสานต่อธุรกิจ กุมบังเหียนธุรกิจเครือข่ายร้านอาหารไทยแท้
โดยมีพี่ใหญ่ "วิฑูร ศิลาอ่อน" รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสธุรกิจอาหารในประเทศ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เป็นแม่ทัพในขณะนั้น
ปัจจุบันบทบาทของธีรกรณ์ นอกจากดูแลส่วนพัฒนาธุรกิจแล้ว เขายังสวมหมวก "ซีอีโอ" ผู้ปลุกปั้น "บริษัท เอส แอนด์ พี อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ดส์ จำกัด" ดูแลร้านอาหารญี่ปุ่น "ไมเซน" และ "อุเมโนะ ฮานะ" ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นเหมือนการ "ลับคม" ก่อนแผ่ขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มขึ้นในต่างแดน
แม้จะยอมรับว่า การเข้ามารับไม้ต่อธุรกิจครอบครัวในจังหวะการค้าไร้พรมแดน จะท้าทายไม่น้อย จากภาวะการแข่งขันที่ดุเดือด แต่เขาไม่ถึงกับกังวล หรือกดดันมากนัก นั่นเพราะตลอดระยะเวลา 4 ทศวรรษของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าเอสแอนด์พีจะเผชิญวิกฤติมากี่รอบ ก็ยังผ่านมาได้ทุกครั้ง
ทายาทรุ่น 2 ยังมาพร้อมกับพันธกิจสำคัญที่ได้รับมอบหมายจากครอบครัว นั่นคือการ “ต่อยอด” รากฐานการเติบโตของเอสแอนด์พี ที่ผู้ใหญ่บุกเบิกไว้ดีแล้ว ให้ดียิ่งขึ้น กับวิสัยทัศน์ “ขอเป็นเชนร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก”
หนุ่มเจมส์บอกว่า สเต็ปแรกคือของการสานวิสัยทัศน์ คือการบรรจงสร้างแบรนด์ร้านอาหาร “ไมเซน" และ "อุเมโนะ ฮานะ" ให้ผู้บริโภคจดจำ (Brand Awareness) โดยเฉพาะแบรนด์ "อุเมโนะ ฮานะ" ร้านอาหารญี่ปุ่นหรู เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ที่เอสแอนด์พีไม่เคยทำมาก่อน
ถามว่าท้าทายแค่ไหน ? เขาเล่าติดตลกว่า “การทำร้านอุเมโนะ ฮานะ ชาเลนจ์มาก ยากมาก เปิดร้านวันแรก ไมเซนว่านอนไม่หลับแล้ว สำหรับร้านอุเมโนะฯ หัวใจแทบกระเด็นออกจากอก ลุ้นว่าจะขายได้ไหม” พูดจบก็หัวเราะ
"ผลปรากฎว่ายอดขายดี ก็ปลื้ม ทั้งเหล่าเซเรบริตี นักแสดงมาช่วยสร้างแบรนด์ผ่าน Instagram ให้ด้วย"
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เจ้าตัวตื่นเต้นเป็นพิเศษ เกิดขึ้นเมื่อครั้งลองผิดลองถูกปลุกปั้นร้านโตเกียว โชกุโด ช่วงปี 2554-2555
แต่สุดท้าย "แป๊ก!!" ไม่สำเร็จ ยอดขายไม่วิ่ง ทำให้ต้องปะทะความเห็นกับคนในครอบครัวยกใหญ่ว่าจะเปิดร้านต่อหรือจะปิดร้านดี แต่ก็ขัดผู้ใหญ่ไม่ได้ต้องปิดร้านไปในที่สุด
“การทำร้านโตเกียว โชกุโดไม่สำเร็จ ผมได้บทเรียนที่สำคัญ คือ การไม่หยุดที่จะแสวงหาโอกาสใหม่ ซึ่งขณะนั้นเราก็อยากลอง เขา(ผู้ใหญ่)ก็อยากให้ลอง เพื่อให้เราได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง กลายเป็นบทเรียนที่คุ้มค่า”
ความล้มเหลวในครั้งนั้นยังสอนให้รู้ว่า สำหรับธุรกิจร้านอาหาร “โลเคชั่น” (ทำเล) สำคัญที่สุด ความยากอีกอย่างคือ
“แม้จะมีของอร่อยก็จริง แต่จะทำยังไงให้ของอร่อยทุกครั้ง ทุกวัน ทุกจาน จะทำยังไง” นี่คือสองหัวใจหลักของธุรกิจร้านอาหาร
ขณะที่บริบทของโลกธุรกิจวันนี้ ที่ต้องติด “สปีด” ขยายธุรกิจ แสวงหา “ทางลัด” ผลักดันการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะการซื้อกิจการ ถามทายาทรุ่น 2 ว่าคิดเรื่องพวกนี้ไหม ?
"ธีรกรณ์" พยักหน้าแทนคำตอบ ส่วนจะทำหรือไม่ทำ ย่อมขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสของตลาดที่เปิดกว้าง ไม่เพียงในไทยแต่หมายถึงในตลาดในภูมิภาคอาเซียน
เขายังมั่นใจในศักยภาพของแบรนด์เอสแอนด์พีที่มีอายุยาวนาน คุ้นหูคนไทย สิ่งสำคัญที่คนมักไม่รู้ เอสแอนด์พี ยังเป็นร้านอาหารไทยที่มีเครือข่ายแม่ครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก และการมีทีมงานหลังบ้านที่พรั่งพร้อม ซึ่งเป็น "แต้มต่อ" สำคัญในการโตนอกบ้าน
ส่วนไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบใน “รสชาติ” อาหารของผู้บริโภคที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศนั้น หนุ่มเจมส์กลับไม่ได้มองว่าเป็น “อุปสรรค” ในการทำตลาดต่างแดน หากแต่ความยากอยู่ที่การบริหารและแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะธุรกิจร้านอาหารเป็นเรื่องของ “สด” และสร้างแบรนด์ที่โดนใจผู้บริโภค
แต่การที่จะออกไปเติบโตในต่างแดนได้นั้น จำเป็นต้องวางรากฐานตลาดในประเทศให้แข็งแกร่งก่อน
“โลกนี้ในที่สุดจะค่อยๆขยับเข้ามารวมกัน การสื่อสารอินเทอร์เน็ตทำให้คนรู้มากขึ้น และโลกเล็กลง การออกไปต่างประเทศไม่ใช้ปัญหา เช่น การผนึกกับญี่ปุ่น ก็เป็นขั้นต่อไปที่บริษัทที่เดินไป เรามั่นใจในผลิตภัณฑ์ และการเติบโตว่าต้องมาจาก 3 เสาหลักธุรกิจ (Core business) คือต้องเสิร์ฟอาหาร "อร่อย สะอาด บริการดี"
นี่คือหัวใจสำคัญ ที่จะทำให้เอส แอนด์ พี โดดเด่นในตลาดธุรกิจร้านอาหารอาเซียนได้ เขาเชื่อเช่นนั้น
วางหมากธุรกิจไว้มากมายขนาดนี้ เมื่อถามถึงเป้าหมายธุรกิจ "ธีรกรณ์" บอกว่า วิชั่นองค์กรบอกไปแล้ว แต่สำหรับตัวเขาจะให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงาน มากกว่าการมุ่งไปที่ตัวเลขยอดขายหรือรายได้
"สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือสานต่อเจตนารมณ์ของคนรุ่นก่อน เอสแอนด์พีเป็นบริษัทที่ดูแลพนักงานดี พ่อ(ร.ท.วรากร ไรวา รองประธานกรรมการ) ป้า(ภัทรา ไรวา(ศิลาอ่อน) ประธานกรรมการ) ดูแลพนักงานราว 5,600 คนเหมือนคนครอบครัว"
เขายังประเมินธุรกิจในยุคนี้ว่า ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ใน 5 ส่วน ได้แก่ พนักงาน ลูกค้า ซัพพลายเออร์ ชุมชุน และประเทศชาติ หากทำให้ทั้ง 5 ส่วนนี้มีความสุขได้แล้ว ความสำเร็จจะตามมา
“เป้าหมายสูงสุดของผมไม่คิดถึงยอดขายอยู่แล้ว ห่วงแต่เรื่องพนักงาน ขอให้ทำงานแล้วแฮปปี้อยู่กับเราได้นานๆ พื้นฐานอยู่ตรงนี้ ถ้าทุกคนแฮปปี้ทุกอย่างจะตามมาหมดทั้งยอดขาย พนักงานบริการลูกค้าดี ก็ทำให้ยอดขายดีขึ้น นี่เป็นความเชื่อที่ว่า ทำเหตุให้ดี ผลที่ดีจะตามมาเอง"







