เมื่อผู้กำกับขยับเป็น'Boss' วิชชพัชร์ โกจิ๋ว

เมื่อผู้กำกับขยับเป็น'Boss'

วิชชพัชร์ โกจิ๋ว

ถึงแม้เราไม่ได้ทำงานที่เรารักได้เอง แต่ถือว่าเราได้เสียสละและสร้างโอกาสให้คนอื่น นี่เป็นความพยายามเปลี่ยนมุมมองของตัวเอง

เป็นหนังคนละม้วนระหว่างบทบาทหน้าที่รับผิดชอบของ "พนักงาน" กับ "ผู้บริหาร" ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีโอกาสได้รู้ เนื่องจากไม่มีโอกาสอยู่ในทั้งสองบทบาท

แต่ "วิชชพัชร์ โกจิ๋ว" หรือ คนในวงการเรียกเขาว่า "เดียว" ซึ่งเวลานี้ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีทีเอช ออน แอร์ จำกัด สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกดังกล่าว

ในวันวานที่เคยเป็นผู้กำกับหนังมากความสามารถ มีผลงานที่ลือเลื่องและสร้างความจดจำและประทับใจเป็นอย่างดีก็คือ แฟนฉัน กับตำแหน่งผู้บริหารนั้น..ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

"เมื่อทำงานบริหารเราต้องเรียนรู้ที่จะไว้วางใจคนอื่น ต้องใช้คนให้เป็น ต้องเลือกคนให้เหมาะกับงาน และต้องทำใจว่า บางครั้งเราคงไม่ได้อย่างใจเสียทุกอย่าง การเป็นผู้บริหารจริงๆ แล้วเครียดกว่า เพราะเราไม่ได้ทำงานเองแต่ที่สุดเราต้องเป็นผู้รับผิดรับชอบ"

เดียวบอกว่า งานสำคัญในตำแหน่งผู้บริหาร ก็คือ "คน" ด้วยถือเป็นสินทรัพย์ (Assets)ที่ล้ำค่าของธุรกิจ โดยต้องพยายามคิดหาวิธีบริหารเพื่อทำให้คนภายใต้ความรับผิดชอบมีความสุขในการทำงาน

อย่างไรก็ตาม เรื่องคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย

เขายอมรับว่าแม้ภายนอกจีทีเอช อาจจะเป็นองค์กรที่สมาร์ท ดูดี แต่ข้างในก็เต็มไปด้วยปัญหาไม่น้อย ทำให้ช่วงแรกๆ ในภารกิจผู้บริหารของเขาแทบจะไม่มีเวลาคิดอะไร เหตุผลก็คือ ลำพังแค่ต้องทำหน้าที่แก้ปัญหาเรื่องคนตีกันก็เหนื่อยมากพอแล้ว

"ถ้าเราเก่งเรื่องคน และจัดการคนได้ดี ที่สุดเราจะมีเวลาไปทำงานครีเอทีฟ หรือคิดต่อยอดธุรกิจในอนาคต"

เมื่อข้อสรุปเป็นเช่นนี้ เดียวก็ได้เริ่มศึกษาเรียนรู้ในเรื่องของคน เรื่องการบริหารคน

และมีผู้บริหารระดับสูงของจีทีเอช เป็น "โรลโมเดล" ใกล้ตัวให้เขาได้เรียนรู้แบบ "ครูพักลักจำ" โดยต้องไปดูจากที่อื่นไกล

"ผมดูการทำงานของพี่วิสูตร พี่จินา ซึ่งพวกเขาบริหารงานมานาน อยู่กับคนมาเยอะ ผมดูว่าเขาดูแลคนแบบไหน ผู้บริหารที่นี่เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของการไดร์ฟให้คนทำงาน ในเรื่องการให้คุณให้โทษ และผู้บริหารที่นี่จะทำหนักกว่าพนักงาน ไม่ใช่ตื่นสายมาบ่าย แต่มาทำงานเช้ากว่าลูกน้อง กลับก็กลับทีหลัง"

นอกจากนี้ เขายังอาศัยการค้นคว้า จากการอ่านหนังสือเล่มเด็ดที่มีเนื้อหาเน้นหนักไปทางเรื่องบริหารคน

เมื่อบอกให้เขายกตัวอย่างผู้เขียนหรือหนังสือในดวงใจ ก็ได้ชื่อของ "สตีเฟน อาร์. โคว์วีย์" ผู้เขียนหนังสือที่ได้รับการนิยมมากที่สุดในโลก นั่นคือ " 7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง" หรือ The Seven Habits of Highly Effective People

"หนังสือของ สตีเฟน อาร์. โคว์วีย์ ให้ความรู้เรื่องของการบริหารความขัดแย้ง มีมุมมองและทางออกให้ แต่ผมก็ชอบอ่านหนังสือของนักเขียนชาวญี่ปุ่นด้วยที่จะเด่นในเรื่องของความเสียสละ ความซื่อสัตย์ ความมีวินัย การตรงต่อเวลา ผมว่ามันมีหลักคิดเป็นแบบเอเชีย และใกล้เคียงกับคนไทย"

แต่การเปลี่ยนแปลงตัวตนของมนุษย์ย่อมต้องอาศัยวันเวลา

เดียวบอกว่า หลายครั้งหลายคราวที่เขาก็ยังแก้นิสัยเดิมๆ ไม่ได้ ด้วยเป็นคนในกลุ่มลักษณะของนักบู๊ และแม้ว่าหน้าที่ของผู้บริหารก็คือ ต้องพยายามเรียนรู้ที่จะใช้คนก็ตาม หากแต่มีหลายต่อหลายครั้งที่เมื่อไม่เป็นอย่างที่ใจนึกเขาก็จะลงไปบรรเลงด้วยตัวเอง

"ผมจะลงไปสาวจนถึงต้นตอ ให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะผมเคยเป็นโปรดักชั่นมาก่อน เลยรู้ขั้นตอนการทำงานทุกอย่าง ทั้งงานถ่าย งานตัดต่อ

งานกราฟฟิค ดังนั้นพอเกิดปัญหาผมจะรู้ถึงปัญหาในทันที"

แต่ก็ถือว่าเรื่องนี้เป็นเหมือน "ดาบสองคม"

เดียวบอกว่า การที่ผู้บริหารอย่างเขารู้และเข้าใจในเนื้องานดี ทั้งยังลงไปแตะในเนื้องาน แน่นอนว่าเป็นการสร้างความรู้สึกของการ "ล้ำเส้น" หรือถ้าเป็นธุรกิจห้องแถวก็เรียกอาการนี้ว่าเถ้าแก่ "ล้วงลูก" ไม่ยอมให้ลูกน้องได้พยายามคิดแก้ไขจัดการด้วยตัวเอง

เขาก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ผู้บริหารไม่ควรทำ แต่อีกทางหนึ่งเดียวมองว่าการที่ผู้บริหารเป็นผู้รู้ในรายละเอียดงาน จะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในองค์กร เข้าใจพนักงาน และเข้าใจถึงลักษณะงานที่องค์กรทำอยู่เป็นอย่างดี

เมื่อถามเขาถึงมุมคิดในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ ในวันที่ธุรกิจต้องมองถึงตัวเลขกำไร เดียวกล่าวว่า สำหรับตัวเขานั้นเป็นผู้บริหารที่ไม่มีมุมของตัวเลขเป็นตัวตั้ง แต่มีการทำงานให้ดีเป็นตัวตั้ง

อย่างไรเสีย ผู้บริหารคงไม่อาจละเลยมุมการเงินและมาร์เก็ตติ้งไปได้ ในเวลานี้ตัวของเดียวเองก็กำลังเรียนรู้และทำความเข้าใจในเรื่องของการทำมาค้าขาย เรื่องของมาร์เก็ตติ้ง เรื่องของฝ่ายขาย กระทั่งลูกค้าเพิ่มมากขึ้น

" หน้าที่ผู้บริหาร เราต้องทำตัวอยู่ตรงกลาง รักษาสมดุลให้ได้ คนทำงานต้องเห็นว่าเราเข้าใจพวกเขา อีกทางบริษัทของเราก็ต้องหาเงินเข้ามาได้ด้วย ตรงนี้ถือเป็นข้อดีของจีทีเอช ไม่ใช่ว่าเราจะหวังโฆษณาเข้ามาเยอะๆ Tie-in เข้าไปในละคร หากเป็นอย่างนั้นคนที่คิดคอนเทนต์ดีๆ เขาคงไม่อยากอยู่อยากทำงานกับเรา คนดูเองก็คงไม่อยากดูละครของเรา"

สมการของจีทีเอชก็คือ พนักงานมีความสุข+ ยกระดับละครไทย+ รายได้จากสปอนเซอร์ + คนดูพึงพอใจ

เป้าหมายในอนาคต จากนี้จีทีเอชจะมุ่งผลิตละครเป็นหลัก โดยเป็นละครที่ต่อยอดจากภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จของค่ายจีทีเอช แต่อาจจะสร้างหนังจำนวนน้อยลงซึ่งในปี 57 นี้อาจมีเพียง 2-3 เรื่องเท่านั้น

เดียวบอกว่า แม้วันนี้เขาอาจทำคะแนนในหน้าที่ผู้บริหารยังไม่เต็มร้อย แต่พูดถึงความพยายามแล้วอาจเกินร้อย

"ผมมีพี่เก้ง (จิระ มะลิกุล) เป็นแบบอย่าง ถึงแม้วันนี้เราไม่ได้ลงไปทำงานที่เรารักได้เอง แต่ถือว่าเราได้เสียสละให้คนอื่นได้ทำงาน เป็นการสร้างโอกาสให้คนอื่น นี่เป็นความพยายามเปลี่ยนมุมมองของตัวเอง"

ขณะเดียวกัน ตัวของผู้บริหารหนุ่มคนนี้เองก็เป็น "ไอดอล" ในใจของเด็กวัยรุ่นไทยจำนวนไม่น้อย เลยให้เขาฝากข้อคิด คำแนะนำให้กับน้องๆ เพื่อก้าวเดินให้ถึงซึ่งความสำเร็จ

"ขอบอกไปถึงเด็กรุ่นใหม่ว่าต้องไม่เลือกงาน เพราะคุณไม่รู้หรอกว่า ตัวคุณเหมาะกับงานอะไร สำหรับผมไม่เคยปฏิเสธไม่ว่าจำนวนเงินหรืองานที่ผู้ใหญ่มอบหมายให้เราทำ เพราะมีความเชื่อว่าผู้ใหญ่เขารักและหวังดีกับเรา เขาจะพยายามหาสิ่งดีๆ ให้กับเรา ขอให้เราทำให้เต็มกำลัง"

การทำงานแบบเต็มกำลังความสามารถ จะกลายเป็นศักยภาพเป็นกำไรที่ติดตัว ...แล้วสิ่งดีๆ ก็จะเดินเข้ามาหาในไม่ช้า