โค้ชเปลี่ยนชีวิต นพดล ตั้งวัชรินทร์

เช่นเดียวกับนักกีฬา มนุษย์ธรรมดาทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งงานหรือประกอบอาชีพอะไร ความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้ามีโค้ช
คือคำยืนยันของ "นพดล ตั้งวัชรินทร์" Executive Coach & Trainer เจ้าของบริษัท Max Potentials
เขาบอกว่า เพราะคนเรามักมี "ปม" ภายในตัวตนและเป็นเหมือน "กับดัก" ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้พ้น จนไม่อาจทำความฝันให้เป็นจริงได้ในหลายครั้งหลายครา ทว่าโค้ชสามารถช่วยแก้ปมที่มี และจะช่วยนำไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จได้อย่างมีความสุข
นพพลย้ำว่า บนเส้นทางของความสำเร็จ ชีวิตควรต้องเต็มไปด้วยความสุข และไม่ควรเต็มไปด้วยความเครียด การห้ำหั่น และการแย่งชิง
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยอาศัยการโค้ชในรูปแบบของ "Success Coaching"
อาจมีหลายคนกำลังงุนงงและสงสัยว่าการโค้ชนั้นแท้จริงมีอยู่กี่แบบ และแตกต่างกันอย่างไร นพดลอธิบายว่า ในภาพรวมจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ
โดยแบบแรก ปัจจุบันพบเห็นในแวดวงของคนทำงานทั่วไป ก็คือ การโค้ชเพื่อการสร้างผลงาน หรือ Performance Coaching
ขณะที่แบบที่สอง ซึ่งเริ่มนำมาใช้โค้ชผู้บริหารระดับสูง รวมถึงคนทั่วๆ ไป ก็คือ โค้ชชีวิต หรือ Life Coach และส่วนใหญ่ใช้เทคนิค NLP (Neuro-linguistic programming) ซึ่งว่าด้วยเรื่องของการจัดพฤติกรรมของสมองและจิตใต้สำนึก โดยใช้ชุดภาษาพูดและทางกายมาช่วยให้บุคคลแปลความสิ่งที่มากระทบใหม่ แล้วตอบสนองเป็นพฤติกรรมใหม่ที่ดีเป็นประโยชน์กับชีวิต
ขณะที่ Success Coaching ในสไตล์ของนพดลนั้น เป็นการผสมผสานการโค้ชของทั้ง 2 รูปแบบ คือการโค้ชเพื่อการสร้างผลงาน และ โค้ชชีวิต
โดยโปรแกรม Success Coaching จะมีด้วยกันอยู่ 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย
ขั้นตอนแรก การตั้งเป้าหมาย เปรียบเปรยว่าเหมือนคนเรากำลังนั่งอยู่ในรถ แต่หากไม่รู้ว่าจะต้องขับรถคันนี้ไปยังที่ไหน ที่สุดก็คงไม่อาจสตาร์ทเครื่องยนต์ให้รถวิ่งไปข้างหน้าได้ ความจำเป็นก็คือ ควรต้องถามตัวเองให้แน่ชัดว่าจุดหมายปลายทางที่อยากจะไปนั้นอยู่ที่ใดกันแน่
ขั้นตอนที่สอง ความเชื่อมั่นถึงศักยภาพของตัวเอง ว่าเราเก่งและพร้อมที่จะเดินทางไปยังเป้าหมายที่หวังไว้ได้อย่างแน่นอน เพราะหากรู้ถึงเป้าหมายความต้องการ แต่แล้วกลับยังลังเลไม่แน่ใจในฝีมือของตัวเอง รถคันนั้นย่อมต้องจอดแช่อยู่ต่อไป
ขั้นตอนที่สาม เมื่อพร้อมและตัดสินใจจะเหยียบคันเร่ง แต่แล้วก็พบว่าตัวเองกลับดึงเบรคมือค้างไว้ ซึ่งทำให้รถออกวิ่งในแบบตื้อๆ คือไม่วิ่งฉิวแบบปรู๊ดปร๊าด ซึ่งนพดลบอกว่า เบรคมือในทีนี่สำหรับเขาก็คือ ความกลัว ความเชื่อ ที่เป็นเงื่อนไขที่คนเรามักสร้างมันขึ้นมาเอง ตัวอย่างที่เขายกมาให้เห็นก็เช่น ถ้าคนๆ หนึ่งคิดจะมีความรัก ตรงกันข้ามเขากลับสร้างความเชื่อที่ว่า รักแท้ไม่มีในโลก เขาคนนั้นก็คงไม่มีวันจะมีความรัก หรือ ถ้าคนๆ หนึ่งต้องการจะประสบความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานและครอบครัว แต่เขามีความเชื่อว่าการทุ่มเททำงานจะส่งผลทำให้ครอบครัวล้มเหลว เขาก็จะไม่มีวันมุ่งมั่นไปกับการทำงาน เป็นต้น
ขั้นตอนสุดท้าย ต้องมีวิธีการมองโลกให้ถูกต้องเพื่อสร้างความสุขไว้เป็นปราการป้องกันไม่ให้เกิดอาการ "จิตตก" เพราะแน่นอนว่าในระหว่างทางนั้น คนเรามักต้องเจออุปสรรค ความลำบากอย่างหลีกหนีไม่พ้น และอาจต้องหลงทางหรือยางแตกกันบ้างในบางครั้งในบางที
หากพิจารณาจากขั้นตอนต่างๆ ที่ว่ามาแล้วก็พบว่า ปัจจัยความสำเร็จล้วนขึ้นอยู่กับตัวเราเองทั้งสิ้น ซึ่งนพดลบอกว่า ชีวิตของคนเรานั้นเลือกได้ว่าจะตกเป็นเหยื่อ หรือจะฮึดสู้โดยเลือกลิขิตชีวิตของตัวเอง
"ถ้าเราบอกว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นต่อเมื่อประเทศไทยมีความสมานฉันท์ได้ หรือต่อเมื่อคนอื่นต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ มันหมายถึงอำนาจนั้นอยู่ที่คนอื่น เราเองไม่มีอำนาจ ไม่มีทางเลือกหรือสามารถควบคุมอะไรได้เลย สิ่งสำคัญก็คือเราต้องมองว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมันย่อมมีทั้งดีและไม่ดี แต่สิ่งที่เราควรทำก็คือเลือกที่จะตอบสนองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และหากลองแล้วไม่เกิดผลก็ต้องลองอีกอย่าท้อถอย "
อะไรคือ ความท้าทายและทำให้คนกลายเป็นเหยื่อ
นพดลตอบว่า นั่นอาจเป็นเพราะความฝันของคนๆ นั้นยังไม่แรงพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น เช่น หลายครั้งที่คนคิดจะลดน้ำหนักแต่แล้วก็ไม่สำเร็จ นั่นเป็นเพราะเขาคนนั้นมองไม่เห็นภาพว่าเมื่อสามารถลดน้ำหนักได้ตามต้องการแล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิต แต่เขารู้เพียงแค่ว่าเขาควรต้องลดน้ำหนักตามที่หมอสั่ง ดังนั้นเมื่อเขามองไม่เห็นภาพถึงหุ่นที่สวยงามจะสวมชุดอะไรก็มีแต่คนชม รวมไปถึงความสดชื่น ประปรี้กระเปร่า
"บางทีก็เป็นเพราะเขาอาจขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งต้องลองไปค้นดูว่าใน 4 ขั้นตอนนี้นเราติดกับดักอยู่ตรงจุดไหน"
ใครที่ควรจะเข้าโปรแกรม Success Coaching?
นพดล บอกว่า สำหรับเขา ก็คือคน 3 กลุ่ม ซึ่งมีอยู่มากมายในสังคมไทยและทั่วโลก โดยกลุ่มแรก คือ คนที่จมน้ำ เป็นกลุ่มคนที่พบเจอแต่ความทุกข์ เจอแต่ปัญหา เจอแต่ความท้อแท้ ทำให้ชีวิตแต่ละวันเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย เซ็ง เศร้า มีความโกรธในทุกเรื่องทุกราวที่ผ่านเข้ามา อย่างไรก็ดีคนกลุ่มนี้ย่อมมีความต้องการที่จะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ อยากพบเจอความสุข ความสบายใจ
กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มคนที่อยู่พ้นน้ำแล้ว ชีวิตโอเคแล้ว หากแต่เขายังต้องการมีชีวิตที่มีคุณค่ามากกว่าที่เป็น ซึ่งเปรียบเหมือนคนที่กำลังนั่งอยู่บนเรือและต้องการเดินทางไปยังที่ไหนสักหนึ่งแห่ง แต่แล้วก็ยังไม่รู้วิธีหรือทิศทางที่จะใช้เดินทางไป
กลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มคนที่อยู่พ้นน้ำและอยู่บนเรือแล้ว และมีความรู้สึกว่ามีความปลอดภัยดีจนไม่คิดจะเดินทางต่อไป เพราะส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้มีอดีตที่เคยมีความเจ็บปวดในการเดินทาง จึงหากทางหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความล้มเหลว ด้วยกลัวว่าตัวเองจะจมน้ำพบเจอกับความผิดหวังอีกเป็นซ้ำสอง และแน่นอนลึกๆ แล้วพวกเขาก็ล้วนปรารถนาจะไขว่คว้าหาชีวิตที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้นไม่น้อยกว่าคนกลุ่มอื่นเช่นกัน
นพดลบอกว่า สำหรับเขาแล้วความสุขมาจากคำว่า Work-Life Integration การทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิต หาใช่ WorkBalance -life หรือการสร้างสมดุลยภาพระหว่างชีวิตกับงาน ตัวเขานั้นได้ละทิ้งตำแหน่งงานระดับผู้บริหารระดับสูงที่มีเงินเดือนระดับหลักล้านบาทมาใช้ชีวิตของโค้ชของเทรนเนอร์ แต่แล้วก็กลับสร้างความสำเร็จได้อย่างน่าทึ่ง
" ผมมองว่าหลายครั้งคนเราจะตัดสินใจทำอะไรก็แล้วแต่ มักต้องการรู้ทุกสเต็ปว่าทำแล้วจะเป็นอย่างไร ซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเอาแต่มองหาโอกาสความเป็นไปได้ที่สุดเราคงไม่กล้าทำอะไร แต่เราควรต้องถามตัวเองว่าชีวิตที่มีความสุขจริงๆ คืออะไร เราต้องพยายามมองให้เห็นว่าตัวเองจะต้องทำอะไร ชีวิตเราเป็นอย่างไร เพราะมันก็คือความสุขในทุกๆ วัน"
เพราะชีวิตที่มีความสุขนี่เอง ทำให้ในวันนี้นพดลได้เกิดแรงบันดาลใจครั้งยิ่งใหญ่คืออยากจะทำให้สังคมไทยมีความแข็งแรงมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น และหวังว่ารอยยิ้มจะกลับคืนสู่สยามเมืองยิ้มอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของงาน "ปลดล็อคชีวิต พิชิตความฝัน" (Drive to Success) (จัดวันที่ 4 ธันวาคมนี้) ซึ่งตัวเขาพร้อมจะทำหน้าที่โค้ชชี้แนะแนวทางแห่งความสำเร็จ พลังของความเชื่อ ความลับแห่งความอิ่มเอิบ พลังของเป้าหมาย และการสร้างโมเมนตัมสู่ความสำเร็จให้กับคนอื่นๆ อย่างเต็มความสามารถ (ผู้ที่สนใจติดตามคลิก www.Max-Potentials.com)







