'ดิฐวัฒน์ อิสสระ'ปลาทูกระโจนสังเวียนอสังหาฯ

ไม่ต้องว่ายน้ำออกไปกลางทะเลก็เจอ"ปลาทู-ดิฐวัฒน์ อิสสระ"หนุ่มอารมณ์ดีที่กระโจนเข้าสู่สั่งเวียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามรอยครอบครัว
ครอบครัวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หมื่นล้านอย่างตระกูล "อิสสระ” ในวันที่เริ่มปล่อยให้เหล่าทายาทเข้ามาบริหารโครงการต่างๆ มากขึ้น ตามความถนัดและความชอบของทายาทแต่ละคน ถึงคิวของหนุ่มอารมณ์ดีชื่อเล่นเก๋ไก๋นามว่า "ปลาทู" หลายคนนึกว่านี่คือชื่อจริง แต่ไม่ใช่
ชื่อจริงเขาคือ "ดิฐวัฒน์ อิสสระ” ทายาทคนกลางของ “สงกรานต์ อิสสระ” บิ๊กบอสแห่งกลุ่มชาญอิสสระ ทายาทของ "ชาญ อิสระ" ผู้ก่อตั้งอาณาจักร
ในวัย 30 ต้นๆ ดิฐวัฒน์ ต้องเข้ามาดูแลหลายโปรเจคมูลค่ารวมๆกันเกินพันล้านบาท ในเก้าอี้ Creative Director
เจ้าตัวเดินยิ้มมาแต่ไกล เข้ามายังห้องสมุดที่เปิดโล่งอยู่ตรงกลางออฟฟิศ ซึ่งถูกจัดให้เป็นห้องประชุมไปในตัว ดูเขาเป็นคนรวยอารมณ์ขัน ไม่แปลกที่จะสามารถสร้างมิตรภาพกับคนแปลกหน้าได้ง่ายๆ
“ผมเข้ามาทำงานที่บริษัทน่าจะสัก 4-5 ปีได้แล้วครับ ตอนเข้ามาป๊าของผมจับนั่งในตำแหน่งเล็กๆ ฝ่ายศิลป์ฝ่ายออกแบบ ตามที่ผมเรียนมาคือ Product Design จาก Central St. Martins College of Art & Design ป๊าสอนให้เราเริ่มเรียนรู้งานในตำแหน่งเล็กๆ ไม่ใช่ว่าเป็นลูกหลานเจ้าของแล้วจะได้นั่งทำงานในตำแหน่งใหญ่ ที่นี่เราเริ่มจากตำแหน่งเล็กๆ ก่อนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผมหรือพี่ชาย (ปลาวาฬ)”
ถามหนุ่มปลาทูต่อว่า ที่ต้องเข้ามาสานต่อธุรกิจเป็นเพราะหน้าที่ หรือความชอบ หนุ่มอารมณ์ดีตอบคำถามทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดนานว่า
“มันอยู่ในสายเลือด พวกเรารู้ดีว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งที่จะต้องเข้ามาดูแลกิจการที่ครอบครัวได้เริ่มไว้ ผมเองก็อยากเห็นกิจการเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องไปในอนาคต ตอนนี้ ผมคงไม่คิดไปทำธุรกิจอื่นๆ นอกจากอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว"
ผมก็คิดเสมอว่าต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด !!
ย้อนกลับไป ดิฐวัฒน์ หนุ่มนักเรียนนอกใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะกลับมาอยู่เมืองไทยเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา ทว่าเขากลับมีความอ่อนน้อมถ่อมตนแบบฉบับไทยๆ สังเกตเห็นจากการพูดคุยกับพนักงานในบริษัทที่มีอาวุโสสูงกว่า
“ทุกวันนี้ผมทำงานร่วมกับพี่ป้าน้าอาคนอื่นๆ ในบริษัทที่เขาทำงานมานานกว่าผม บางคนมาอยู่ด้วยกันตั้งแต่รุ่นคุณพ่อผม ผมว่าความอ่อนน้อมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะผมได้อะไรๆ มากมายจากสิ่งนี้ ผมสนุกกับงานและแฮปปี้กับงานที่นี่มาก เหมือนกับทำงานกันในครอบครัวมากกว่า ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ มีบ้างที่รู้สึกเหนื่อย หรือท้อ แต่เชื่อไหมผมมีทีมงานที่ดี มีซีเนียร์ที่เก่งๆ คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำเลยไม่รู้สึกว่างานที่ทำมันกดดันเท่าไหร่"
อีกอย่าง “ป๊าของผม” มักจะให้คำแนะนำในการทำงานอยู่เสมอ เขายิ้ม
เขายังย้อนอดีตในวัยเด็กให้ฟังว่า “ป๊า” มักจะเดินทางบ่อยๆ เวลาเดินทางก็จะพาครอบครัวไปด้วยเสมอ ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ ทั้งไปทำงานหรือพักผ่อน
“ตอนเด็กๆ ป๊าหลอกพวกเราว่าจะพาไปเที่ยว” เขาหัวเราะ ก่อนจะให้ข้อมูลว่า
“อย่างโครงการศรีพันวาปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน ตอนนั้นผมน่าจะอายุ 16-17 วันหนึ่งป๊าบอกว่า ไปเที่ยวกัน ผมดีใจมากที่จะได้ไปเที่ยว เพราะนานๆ ทีจะได้กลับมาเมืองไทย แต่ปรากฏว่าป๊าพาไปดูที่ที่หนึ่งซึ่งก็คือที่ศรีพันวาในปัจจุบัน ยืนดูที่แปลงนี้ 8-9 ปีก่อนที่จะซื้อมาพัฒนาโครงการศรีพันวา ขับรถเข้าไปก็ไกลพอสมควร แล้วป๊าก็บอกให้ดูๆ ไว้ ชี้นี่ ชี้นั่นให้ดู เวลาเดินทางพ่อก็จะสอนและบอกให้ดูๆ ไว้ว่าคนอื่นเขาทำอะไรบ้าง มันก็ซึมซับมาเอง”
ดิฐวัฒน์ ยังเล่าถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ได้ซึมซับมาจากป๊าซึ่งเป็น "ไอดอล" ของเขา ว่า นอกจากเรื่องการวิเคราะห์ทำเลเด่น หากวันไหนไปดูที่ดินแล้วฝนตก หรือครึ้มฟ้าครึ้มฝน ต้อง "ถอยออกมาก่อน" เพราะฮวงจุ้ยไม่ดี
"เราเชื่อว่า การดูที่ดินต้องมีเวลาเดินสำรวจนานๆ ดูได้นานๆ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของฮวงจุ้ยด้วย ซึ่งศาสตร์แบบนี้มาจากพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ "
ทุกวันนี้ ดิฐวัฒน์ ยังต้องเดินทางบ่อยมากขึ้น จากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในมือที่ต้องดูแล โดยเฉพาะ
โครงการบ้านทิวทะเล หัวหิน ซึ่งเป็นโครงการที่เขาเองดูแล โครงการทิวทะเล เฟส 1 มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท
ขณะที่ทิวทะเล เฟส 2 มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท และทิวทะเล เฟส 3 กำลังจะตามมาติดๆ ซึ่งมีแผนจะทำเป็นโรงแรม
“ครับช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเดินทางบ่อย เพราะต้องไปดูงานที่ผมทำอยู่ ซึ่งก็คือ ทิวทะเล หัวหินนี่ละ เดินทางเกือบทุกอาทิตย์เลย” เขายิ้ม
มีอีกหลายโครงการที่หนุ่มคนนี้ดูแลไล่มาตั้งแต่ ศรีตะวัน เป็นบ้านตากอากาศหรูที่เขาใหญ่ มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เจ้าตัวบอกว่าเป็นบ้านเดี่ยว หลายคนซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่สอง
โครงการอิสระ วิลเลจ มูลค่า 100 ล้านบาท เป็นโครงการทาวน์โฮม โครงการอีซีคอนโด 1 มูลค่าโครงการประมาณ 1,800 ล้านบาท และมีแผนจะขึ้นโครงการที่ 2 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหาพื้นที่ในการก่อสร้าง เช่นเดียวกับ
โครงการในแนวราบที่ ถนนนางลิ้นจี่ ซึ่งจะเป็นโครงการ Luxury เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลางๆ
“โครงการที่นางลิ้นจี่นี้จะเปิดตัวในช่วงสิ้นปีนี้ มีพื้นที่เริ่มต้นที่ 100 ตารางเมตรขึ้นไป ซึ่งเรากำลังออกแบบอยู่ เบื้องต้นน่าจะอยู่ที่ 24-30 ยูนิต ที่นี่เราได้ที่ดินมาก่อน 3 ไร่ พอเราคิดจะทำเจ้าของที่ๆ ติดกันก็ประกาศขายอีก 4 ไร่ เราก็เลยได้มาทั้งหมด 7 ไร่"
สำหรับรายได้ของแต่ละโครงการ ดิฐวัฒน์ เล่าว่า จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากรายได้ของโครงการทิวทะเลเฟส 1 ที่รับรู้รายได้เข้ามาแล้วในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ โครงการทิวทะเล เฟส 2 จะรับรู้รายได้ในปีช่วงไตรมาส 3 ปี 2557 ส่วนทิวทะเลเฟส 3 จะรับรู้รายได้ในไตรมาส 3 ปี 2558 ส่วนโครงการอีซี่ คอนโด จะรับรู้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ปี 2556 ถึงไตรมาส 1 ปี 2557"
เป้าหมายของเราคือ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้มีความยูนิคมากที่สุด ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของกลุ่มชาญอิสสระ นอกเหนือไปจากเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการ
“เราเป็นเหมือนศิลปินมากกว่าดีเวลลอปเปอร์ ไม่เชื่อคุณก็ลองสังเกตดูว่าลูกค้าของเราค่อนข้างจะมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างไปจากรายอื่นๆ" Creative Director กล่าวทิ้งท้าย







