"กล่องดินสอ"ลายเส้นที่สัมผัสได้ของคนในโลกมืด

กล่องดินสอคือ กิจการเพื่อสังคมน้องใหม่ที่คิดค้นและผลิตอุปกรณ์การศึกษาสำหรับผู้พิการทางสายตาเพื่อสร้างจินตนาการที่สัมผัสได้ให้กับคนในโลกมืด
เส้นไหมสีเหลืองสดจากแท่งดินสอไม้ ถูกลากลงบนแผ่นกระดานสีดำ ตรึงลายเส้นให้เกิดเป็นรูปร่างทรงนูนที่สัมผัสได้ ตามแต่จินตนาการของผู้วาด
นี่คือผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ “ปากกาเล่นเส้น” สื่อการสอนที่จะช่วยให้เด็กผู้พิการทางสายตาได้เข้าใจบทเรียนต่างๆ อย่างง่ายขึ้น สามารถฝึกฝนและเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ลดภาระในการสอนและผลิตสื่อของคุณครูผู้สอนได้อีกด้วย
เบื้องหลังไอเดียสุดสร้างสรรค์ เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง “ฉัตรชัย อภิบาลพูนผล” ผู้ก่อตั้ง และ ซีอีโอ บริษัท กล่องดินสอ จำกัด ผู้ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก การไปเป็นอาสาสมัครที่โรงเรียนสอนคนตาบอด แล้วพบว่าการเรียนการสอนของเด็กที่พิการทางสายตานั้น เป็นเรื่องที่แสนยาก และเด็กๆ ยังขาดอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้อีกมาก
เมื่อกลับมาเขาเลยได้ลองผลิตอุปกรณ์อย่างง่ายๆ จากวัสดุใกล้ตัว เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนให้น้องๆ ในโลกมืด
“ผมลองทำต้นแบบขึ้นมา แล้วไปลองให้น้องๆ และคุณครูที่โรงเรียนสอนคนตาบอดได้ทดลองใช้ จากนั้นก็ฟังเสียงตอบรับแล้วกลับมาพัฒนาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ทำคนเดียวต่อไม่ไหว ก็เริ่มหานักออกแบบเข้ามาช่วย”
จากงานที่ทำด้วยใจ ก็เริ่มจริงจังขึ้น โดยมีเป้าหมายคือ ผลิตสื่อการเรียนการสอนที่ดีสำหรับน้องๆ ผู้พิการทางสายตา เมื่อไม่มีทุน ไม่มีความรู้ อาศัย “หัวใจ” ทำงานล้วนๆ ระหว่างทางที่ทำอุปกรณ์ไปให้น้องๆ ได้ลองใช้ ก็ลองส่งผลงานเข้าประกวดในโครงการ "พลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม" (BANPU Champions for Change) เพื่อเรียนรู้การทำกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise : SE) และรับเงินทุนสนับสนุน มาสานต่อความฝัน อีกผลพลอยได้ที่สำคัญ คือ การได้รู้จักกับนักออกแบบมีฝีมือ ก็ชักชวนมาทำงานร่วมกัน
การตั้งต้นธุรกิจของคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่มีไอเดียเจ๋งๆ ก็มีโอกาสหาทุนมาสนับสนุนได้ นอกจากเข้าร่วมโครงการของบ้านปูฯ ฉัตรชัย ยังได้ไประดมทุนในเว็บไซต์ “StartSomeGood” crowdfunding ที่ระดมเงินทุนจากคนที่สนใจลงทุนในกิจการซึ่งไม่แสวงหาผลกำไร แม้ตอนนั้นจะพลาดเป้าไปมาก คือ ต้องการเงินประมาณ 5 พันเหรียญดอลลาร์ แต่กลับได้มาแค่กว่าร้อยเหรียญดอลลาร์เท่านั้น แต่ผลพลอยได้ที่สำคัญกว่านั้น คือ มีผู้คนจากหลายประเทศทั่วโลก ติดต่อเข้ามาเพื่อสั่งซื้อสินค้าของพวกเขา ทำให้เห็นทางสว่างว่า ผลิตภัณฑ์นี้ ยังมีโอกาสอีกเยอะมาก
พอมีเงินทุนเข้ามา พวกเขาก็เริ่มผลิตสินค้า หลังใช้เวลาคิดค้นและพัฒนาร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่ดี ปลอดภัย ใช้งานได้นาน และได้ยื่นจดสิทธิบัตรการออกแบบไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยหลังได้สินค้าชุดแรกที่ทำจากไม้ จำนวน 500 ชุด ขายในราคาคนไทย ชุดละ 600 บาท และส่งออกราคา 29 เหรียญดอลลาร์ ก็สามารถขายหมดได้ในเวลาไม่นาน และในจำนวนนี้มี 10 ชุด ที่ส่งไปยังต่างประเทศ คือที่เยอรมนีและสิงคโปร์ อีกด้วย
“ตลาดต่างประเทศเรายังไม่ได้ทำจริงจังนัก กำลังรอโพรดักส์เวอร์ชั่น 2 ที่กำลังทำออกมา โดยเปลี่ยนจากไม้เป็นพลาสติก เพราะต้นทุนถูกกว่า กระบวนการผลิตง่ายขึ้น การใช้งานดีขึ้น ที่สำคัญราคาจะถูกลง ทำให้สามารถเข้าถึงเด็กทุกคนได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่เด็กที่มีโอกาสในสังคมเท่านั้น”
จากผลิตภัณฑ์ที่คิดแค่ “ทำแจก” ไม่เคยมองว่าต้องทำเป็นกิจการจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำ แต่พอเริ่มให้ออกไปก็เห็นโอกาสไปด้วยว่า สามารถทำเป็นธุรกิจได้ เมื่อยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจ่าย และรายได้ที่เข้ามาก็สามารถนำมาหมุนเวียนไปผลิตสินค้าที่ดีได้เพิ่มขึ้น สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายมีทั้ง ลูกค้าในและต่างประเทศ ผู้สนับสนุน ผู้บริจาค และขายให้กับโรงเรียนและผู้ปกครอง ขณะเดียวกันยังตั้งใจแบ่งรายได้ 10% ไปสนับสนุนโครงการพัฒนาศักยภาพของผู้พิการทางสายตาในประเทศซึ่งมีอยู่ราว 6 แสนคนอีกด้วย
ฉัตรชัย เป็นอีกคนหนุ่มรุ่นใหม่ ที่ได้รับการศึกษาที่ดี และมีโอกาสในสังคม แต่เขากลับเลือกเส้นทางผู้ประกอบการสังคม ปลุกปั้นกิจการเพื่อสังคมเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมา ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น เขาให้เหตุผลสั้นๆ ว่า..
‘อยากทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ไม่ใช้แค่หาเงินใช้ไปวันๆ’
“ตอนเรียนผมชอบไปทำงานเป็นอาสาสมัคร เพราะมองว่าพวกเรามีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดีในระดับหนึ่ง ได้เรียนหนังสือดีๆ ในโรงเรียนดีๆ ในขณะที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสแบบนี้ ยังมีคนที่ขาดโอกาสอยู่เยอะมากในสังคม ฉะนั้นถ้าพอจะช่วยได้ก็ควรช่วย โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานที่สำคัญมาก ถ้าเราให้ของกิน เขาก็แค่กินไปวันต่อวัน แต่ถ้าเราให้การศึกษา เขาจะสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้”
การเข้ามาจับธุรกิจอุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับผู้พิการ ถ้ามองในแง่โอกาสธุรกิจ เขาบอกว่า นี่เป็นกิจการที่ยังคงหอมหวาน เพราะ ในเอเชีย และอาเซียน ยังผลิตสินค้ากลุ่มนี้ไม่มากนัก ผู้เล่นยังมีน้อย โดยสินค้าส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งยุโรปเป็นหลัก ซึ่งล้วนมีราคาแพง ทำให้น้องใหม่อย่างพวกเขา ที่สามารถผลิตสินค้าคุณภาพได้ในต้นทุนที่ถูกกว่า และขายในราคาที่เข้าถึงผู้คนได้มากกว่า จึงยังมีโอกาสเติบโตได้ในตลาดนี้
“เราต้องการเป็นบริษัทที่พัฒนาและผลิตอุปกรณ์การศึกษาสำหรับผู้พิการที่ทุกคนเข้าถึงได้ในระดับโลก โดยเริ่มจากภูมิภาคนี้ก่อน”
เขาบอกความฝัน ที่อยากเห็นผลิตภัณฑ์น้ำดีจากฝีมือคนไทย ไปเปิดโลกจินตนาการให้กับเด็กๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะร่ำรวยหรืออยากไร้ ก็หวังว่าจะได้เข้าถึงสินค้าของพวกเขา แม้จะต้องพัฒนาโมเดลธุรกิจอีกมาก เพื่อให้ความตั้งใจนี้เป็นจริงได้
“ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้าบอกว่าเราเป็น SE เต็มตัว ยังไม่มั่นใจ เพราะว่าคำว่า SE นั้นต้องมี 2 องค์ประกอบ นั่นคือ Vision แบบ SE และ Business Model แบบ SE ซึ่งในส่วนของ Vision นั้นผมเป็น SE แน่นอน แต่ส่วนของ Business Model ยังไม่ใช่ เพราะต้องยอมรับว่าคนที่จะเข้าถึงสินค้าของเราได้ ไม่ใช่ทุกคน แล้วต้องใช้โมเดลทางการขายอย่างไร จึงจะให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสินค้าได้ ซึ่งนี่ยังเป็นเรื่องที่ท้าทายและเราต้องเรียนรู้”
ฝากถึงคนรุ่นใหม่ ที่อยากก้าวสู้เส้นทางกิจการเพื่อสังคม และทำอะไรดีๆ ขึ้นมาด้วยสองมือของตัวเอง เขาบอกว่า การจะลุกมาทำกิจการของตัวเองในยุคนี้ ถ้าเทียบกับอดีต เรียกว่า “ง่าย” กว่ามาก
“ผมมองว่าการเริ่มธุรกิจสมัยนี้เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าสมัยก่อน เพราะมีช่องทางมากมายที่เปิดให้กับเรา อย่างถ้าจะทำการตลาดก็ใช้โซเชียลมีเดียมาช่วยได้ จะขายผ่านอีเบย์ ผ่านเว็บออนไลน์ก็มีให้เลือก โดยไม่ต้องเสียเงิน จะทำต้นแบบก็ใช้แค่คอมพิวเตอร์แล้วสั่งปริ้นออกมา อยากจะได้เงินทุนก็หาได้ไม่ยาก ขอแค่มีไอเดียที่ดีก็มีคนพร้อมให้การสนับสนุน ดังนั้นเริ่มได้ไม่ยาก ขอให้เริ่มเลย อาจเริ่มจากเล็กๆ แล้วค่อยๆ ทำไป”
หนึ่งความฝันเล็กๆ ที่กลายเป็นจริงแล้วในวันนี้ เพื่อสร้างจินตนาการที่สัมผัสได้ให้กับผู้คนในโลกมืด







