ส่องฝัน"ชวินธร คุณากรปรมัตถ์"5 ปี"เคแลนด์"แชมป์อสังหาฯ"

ส่องฝัน"ชวินธร คุณากรปรมัตถ์"5 ปี"เคแลนด์"แชมป์อสังหาฯ"

ไม่ใช่หุ้นใหญ่ นั่งทำงานมาแค่ 2 ปี แต่ “ท็อด-ชวินธร คุณากรปรมัตถ์” ทายาทของ“ธงชัย” ผู้ถือหุ้นอันดับ 3 “กรุงเทพบ้านและที่ดิน” ขอตะลุยสร้างฝัน

แม้อายุแค่ 31 ปี แต่ “ท็อด-ชวินธร คุณากรปรมัตถ์” ผู้อำนวยการสายพัฒนาธุรกิจ บมจ.กรุงเทพบ้านและที่ดิน หรือ KLAND บุตรชายคนเดียวของ “ธงชัย คุณากรปรมัตถ์” ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 แห่ง “เคแลนด์” ก็ “กล้าวางเดิมพัน”

“ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า “เคแลนด์” ต้องดีที่สุด”

2 ปีแล้วที่ “หนุ่มร่างใหญ่” นั่งประจำการณ์อยู่ใน “กรุงเทพบ้านและที่ดิน” ภายใต้การนำทีมของผู้เป็นพ่อ และ “กลุ่มเฟเซอร์ แอนด์นีฟ” หรือ F&N สัญชาติสิงคโปร์ บริษัทในกลุ่ม “เจริญ สิริวัฒนภักดี”

ภายหลังบริษัทเข้าตลาดหุ้น “เฟรเซอร์ (ไทยแลนด์) พีทีอี แอลทีดี” ในฐานะหุ้นใหญ่อันดับ 1 จะถือหุ้น กรุงเทพบ้านและที่ดิน 30 เปอร์เซ็นต์ จาก 40.45 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันได้ส่งตัวแทนนั่งบอร์ดบริหารแล้ว 9 คน ขณะที่ “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” หรือ PF จะถือหุ้น 15 เปอร์เซ็นต์ จาก 20.22 เปอร์เซ็นต์

สำหรับ “กลุ่มคุณากรปรมัตถ์” จะเหลือหุ้นจำนวน 12.29 เปอร์เซ็นต์ จาก 16.57 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ “กลุ่มพิจิตต รัตตกุล” จะมีหุ้น 14.05 เปอร์เซ็นต์ จาก 10.41 เปอร์เซ็นต์ และ “วิชัย ทองแตง” จาก 8.43 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 6.25 เปอร์เซ็นต์

“พ่อชวนคำเดียว ผมมานั่งทำงานเลย”

ก่อน “ท็อด-ชวินธร” จะเล่าอนาคตของ “เคแลนด์” เขาย้อนประวัติตัวเองให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า สมัยเด็กๆชอบเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มากๆ จำพวกวิชาท่องจำไม่ค่อยถนัด อย่าถามนะว่า เมืองไทยมีกี่จังหวัด ผมจำไม่ได้ (ลากเสียงยาว) เขาพูดติดตลก

หลังจบชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ก็ไปต่อมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ก่อนจะไปต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ปิดท้ายด้วยปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Michigan Ann Arbor และปริญญาโท คณะบัญชี มหาวิทยาลัย Michigan Ann Arbor ประเทศสหรัฐอเมริกา

“ผมเกิดในยุคที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ “เฟื่องฟู” จำได้ช่วงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น “พลอากาศเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ” เป็นนายกรัฐมนตรี โอ้โห!! เศรษฐกิจ “รุ่งเรืองสุดๆ” ตอนนั้นเมืองไทยมีนโยบายว่า “เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า” ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ แห่ลงทุน “มหาศาล”

เมื่อเมืองไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ในปี 2540 จำได้ช่วงนั้นกำลังจะเปลี่ยนคำนำหน้าจาก “เด็กชาย” เป็น “นาย” มีคำศัพท์ที่ไม่เคยได้ยินในชีวิตมาก่อนเกิดขึ้นหลายคำ อาทิเช่น ค่าเงินบาทลอยตัว ,ค่าเงินบาทลด, บัญชีเดินสะพัดติดลบ ได้ยินทุกวันทำให้เกิดความสนใจอยากรู้ความหมายของคำเหล่านั้น ทำให้เริ่มหันมาอ่านหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมากขึ้น นั่นแหละ “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้สนใจเรื่องเศรษฐกิจ

“ท็อด” ข้ามไปเล่าช่วงเรียนจบจากเมืองนอกใหม่ๆว่า เรียนอยู่ในสหรัฐอเมริกา 6 ปี ทันทีที่จบการศึกษาก็บินกลับเมืองไทย “อาชีพมนุษย์เงินเดือน” เริ่มต้นที่ “บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” หรือ MBKET ในฝ่ายวาณิชธนกิจ เพราะอยากทำงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียนมา ทำได้ 5 ปีลาออก พอดีพ่อชวนให้มาทำงานใน “กรุงเทพบ้านและที่ดิน” เราไม่ได้ลังเล เพราะอยากทำงานที่มีความท้าทาย เรื่องอสังหาริมทรัพย์เป็นงานที่ไกลตัวมากในตอนนั้น

ในฐานะ “ผู้อำนวยการสายพัฒนาธุรกิจ” วางอนาคต “เคแลนด์” อย่างไร? “ชายวัย 31ปี” บอกว่า วันนี้บริษัทเดินด้วยลำแข้งตัวเองได้ดีอยู่แล้ว ฉะนั้นคงก้าวต่อไปในทางที่ถนัด เราจะไม่เดินถอยหลังเด็ดขาด แม้ว่า วันหนึ่งอาจเดินไปข้างหน้าไม่ค่อยสะดวกก็ตาม

วันนี้นโยบายการทำธุรกิจของ “เคแลนด์” ค่อนข้างสอดคล้องกับกลยุทธ์ของผม โดยเราจะพยายามสร้างแฟลตฟอร์มการบริหารระบบงานหลังบ้านให้แข็งแรง โดยเฉพาะระบบทางบัญชี หากเข้าไปย้อนดูงบการเงินในช่วง 2-3 ปีก่อน จะเห็นว่า ฐานะการเงินของเราค่อนข้างแข็งแกร่ง

ที่ผ่านมาเราเติบโต “ร้อยเปอร์เซ็นต์” ต่อเนื่อง ดังนั้นคงเดินหน้าปรับปรุง “หลังบ้าน” ให้มีความเสถียรต่อไป เรื่องนี้สำคัญมาก หลายๆบริษัทที่มีการเติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” แต่สุดท้ายมาสะดุดหลังบ้านตัวเองตาย
“เมื่อเข้ามาทำงานแล้ว ผมอยากเห็นบริษัทเติบโตทุกปี ในลักษณะ “Right Future” ตื่นมาทำงานทุกวันผมก็คิดแบบนี้ เราต้องแข่งกับตัวเองตลอดเวลา เพื่อให้แผนงานบรรลุเป้าหมาย”

เขา เล่าต่อว่า เราพยายามนำความคิดต่างๆมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน ส่วนตัวจะแบ่งเป้าหมายการทำงานออกเป็น 3 ส่วน นั่นคือ “สั้น-กลาง-ยาว” “ท็อด” อธิบายเป้าหมาย “ระยะสั้น” ว่า วันนี้เราเดินมาถูกทางแล้ว เปรียบการทำธุรกิจของเราเหมือน “ร้านสุกี้” ปัจจุบันแบรนด์เราติดลมบนแล้ว มีรายได้เข้ามาจากทุกๆโครงการที่เปิดดำเนินการ แม้วันนี้ร้านสุกี้ของเราจะมีแค่ 4-5 ร้าน แต่ยังสามารถขยายร้านได้ต่อเนื่อง เพราะเรามีวัตถุดิบพร้อมให้บริการยาวไปอีก 3-4 ปีข้างหน้า ในปี 2557 เรายังมีแรงขยายร้านได้อีก 2-3 แห่ง

สำหรับเป้าหมาย “ระยะกลาง” เคแลนด์ ต้องการขึ้นแท่น “ผู้นำตลาดระดับบน” ขอเกาะ 3 อันดับแรก เรามองเรื่องนี้มาตลอดเวลา วันนี้เราเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์นอกตลาดหุ้นที่มีการเติบโตเร็วที่สุดทั้งในแง่ของยอดขายและกำไร เผลอๆเราแซงผู้ประกอบการรายใหญ่บางคนด้วยซ้ำ เขาคุย

“เราจะไตร่น้ำหนักไปชก “รุ่นเฮฟวี่เวท” จะเน้นสร้างผลกำไรมากกว่ายอดขาย เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผู้ถือหุ้น และนักลงทุนทุกคนต้องการ”

ส่วนเป้าหมาย “ระยะยาว” ภายใน 5 ปีข้างหน้า“ผมหวังไว้ค่อนข้างสูง” นั่นคือ อยากเป็น “ผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์” แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลา ซึ่งเราต้องทำงานแข่งกับตัวเอง เปรียบเหมือน “การเล่นกีฬา” ต้องคอยพัฒนาฝีมือทุกวัน เมื่อเก่งแล้วเราคงไปถึง “ดวงดาว” ได้สักวัน (ยิ้ม) เขาโปรยคำคม

“ชวินธร” ไม่ลืมที่จะวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบนว่า การแข่งขันไม่สูงเหมือนตลาดระดับกลางและล่าง กำลังซื้อเป็นรูป “พีระมิด” เราค่อนข้างเชี่ยวชาญตลาดนี้เป็นพิเศษ เศรษฐกิจไม่ดีไม่ค่อยมีผลกับ “ลูกค้าตลาดแพง”

ส่วนตลาดระดับกลาง เขาบอกว่า ลูกค้าจะสนใจเรื่องทำเลเป็นอันดับแรกๆ คนกลุ่มนี้กำลังซื้อเยอะ ชอบอาศัยอยู่ใจกลางเมืองเป็นหลัก คุณเชื่อหรือไม่ เราสามารถทำโครงการที่มีทั้งบ้านราคาแพงมากและแพงน้อยให้มาอยู่ร่วมกันได้ เขายกตัวอย่าง โครงการ เดอะแกรนด์ พระราม 2 โครงการนี้เปรียบเหมือน “รถเบนซ์” ที่มีทั้ง “เบนซ์เอ-คลาส” และ “เบนซ์ อี-คลาส” แม้ราคาจะต่างกัน แต่สามารถวิ่งอยู่ในทางเดียวกันได้

“ผมเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตต่อไป ที่ผ่านมาเมืองไทยแทบจะไม่มีการลงทุนโครงการใหญ่ๆ แต่วันนี้ภาครัฐมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2.2 ล้านล้านบาท เราเองได้มีการซื้อที่ดินเก็บไว้จำนวนมาก ไม่ได้ซื้อเพื่อเก็งกำไรนะ แต่จะนำมาพัฒนาเมื่อถึงเวลาเหมาะสม”

“ผู้บริหารหนุ่ม” จบบทสนทนาด้วยการพูดเรื่องการเข้าตลาดหุ้นว่า ปัจจุบันบริษัทยื่นไฟลิ่งแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานก.ล.ต.หากได้รับการอนุมัติบริษัทคงระดมทุนได้ภายในปี 2556 หรือปี 2557 โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 620 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท

กองทุนหุ้น “ปลอดภัยที่สุด”

“ท็อด-ชวินธร คุณากรปรมัตถ์” เล่าเรื่องการลงทุนส่วนตัวให้ฟังว่า ด้วยความที่เป็น “พนักงานกินเงินเดือน” ทำให้จำเป็นต้องแบ่งเงินเก็บออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะเก็บเงินไว้ใช้ในระยะกลาง ส่วนสุดท้ายเก็บเงินระยะไกล นั่นคือ “การลงทุน”

“ไม่ค่อยเชื่อว่า “ลงทุนวันนี้แล้วพรุ่งนี้จะรวย” ผมมีคติประจำตัวว่า “ต้องให้เงินเป็นลูกน้องเรา อย่าปล่อยให้เงินเป็นเจ้านาย” คตินี้เจ้านายเก่าเป็นคนสอน ซึ่งผมมักนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ทุกวันพยายามใช้เงินให้มีประโยชน์และมีความสุขมากที่สุด”

ส่วนใหญ่จะลงทุนในรูปแบบของ “กองทุนหุ้น” ทั้งกองทุนหุ้นในและต่างประเทศ เราเริ่มซื้อกองทุนตั้งแต่ดัชนีอยู่ประมาณ 500 จุด ผลตอบแทนที่ได้ตามดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในแต่ละปี หากย้อนไปดูใครลงทุนตั้งแต่เปิดซื้อกองทุนวันแรกๆ วันนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนคงเติบโต “ร้อยเปอร์เซ็นต์” เกือบทุกคน

ถามถึงกลยุทธ์การลงทุน? ก่อนซื้อกองทุนหุ้นจะดู 2-3 ปัจจัยประกอบการการลงทุน ข้อแรก ดูภาพรวมภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่จะเข้าไปลงทุนว่าเป็นอย่างไร หุ้นกลุ่มไหนที่จะได้รับประโยชน์ ข้อ 2 ดูวิธีการบริหารกองทุนว่า มีความเป็นมืออาชีพหรือไม่ กองทุนหุ้นดังกล่าวมีความน่าสนใจมากน้อยเพียงใด

“ขอผลตอบแทนชนะเงินฝากธนาคารเท่านี้ก็พอใจแล้ว”

“การลงทุนมีทั้งดีและไม่ดี ผมขอแค่มีเงินกินขนมทุกเดือน “เงินต้นไม่หาย ดอกเบี้ยเพิ่มพูน” ให้คนที่เป็นมืออาชีพบริหาร “ปลอดภัยที่สุด” หน้าที่หลักของเราคือ ทำงาน” อย่าถามนะว่า มูลค่าพอร์ตลงทุนเท่าไร “ไม่เยอะหรอกครับ” เขาส่งยิ้มปิดท้ายคำตอบ