มาม่าปักฐานลงทุนแรกในยุโรป

ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ผู้ผลิตบะหมี่มาม่า เดินหน้าบุกตลาดบะหมี่ในยุโรป เทงบ 300 ล้านบาท ประเดิมซื้อกิจการโรงงานบะหมี่ฯ ในฮังการี คาดสรุปดีลในปี
เศรษฐกิจในยุโรปที่ชะลอตัว กลายเป็นโอกาสของธุรกิจบะหมี่สำเร็จรูปสัญชาติไทย อย่าง ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ผู้ผลิตบะหมี่ฯ ส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในไทย ภายใต้แบรนด์มาม่า ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการในฮังการี หากสำเร็จจะถือเป็นฐานการผลิตแรกของมาม่าในตลาดยุโรป
นายสุชัย รัตนเจียเจริญ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศฮังการีจากนักลงทุนชาวเอเชียที่ไปดำเนินธุรกิจในประเทศดังกล่าว โดยในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปลงทุนตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า Thai President Foods (Hungary) ภายใต้ทุนจดทะเบียน 2,350 ล้านโฟรินท์ฮังการี (HUF) หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 305.5 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเจรจาซื้อขายโรงงานดังกล่าวคาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ หลังจากนั้นบริษัทจะดำเนินการผลิตบะหมี่สำเร็จรูปได้ทันที
สำหรับการเข้าไปซื้อโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในฮังการี เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในยุโรปชะลอตัว ทำให้สามารถซื้อโรงงานได้ในราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือ ที่ผ่านมาบริษัทได้ส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์ "มาม่า" เข้าไปทำตลาดในหลายประเทศยุโรป ได้แก่ อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สาธารณรัฐเช็ก และอีกหลายประเทศในยุโรปตะวันออก แต่การทำตลาดในช่วงที่ผ่านมากลับเผชิญปัญหาภาวะต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งค่าขนส่งระวางเรือ และอัตราภาษีนำเข้าที่ค่อนข้างสูง และยังเผชิญกับปัญหาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน นำมาซึ่งดีลการซื้อกิจการในครั้งนี้
นอกจากนี้ อัตราการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในยุโรป ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับการบริโภคในไทย ซึ่งอยู่ที่ 42 ซองต่อคนต่อปี ทำให้บริษัทเห็นโอกาสและช่องว่างในการเข้าไปขยายตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในยุโรปให้เติบโตมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ผ่านช่องทางร้านค้าปลีก (เชน สโตร์) ชั้นนำในแต่ละประเทศ และอยู่ระหว่างขยายเข้าสู่ห้างเทสโก้ในยุโรปให้มากขึ้นด้วย
"เศรษฐกิจไม่ดีเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเข้าไปซื้อกิจการโรงงานบะหมี่ในฮังการี โดยโรงงานดังกล่าวถือเป็นกิจการขนาดกลาง มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท เป็นของนักลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้านของไทย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ที่สำคัญการลงทุนยังเป็นการลงทุนในประเทศที่มาม่าเข้าไปทำตลาดอยู่แล้ว ตลาดยุโรปก็ถือว่ามีอัตราเติบโตสูง 10-20% โดยเฉพาะตลาดในเยอรมนีและอังกฤษถือเป็นตลาดมียอดขายเติบโตสูงสุด"
เขากล่าวอีกว่า การขยายฐานการผลิตบะหมี่ในยุโรป ยังจะช่วยผลักดันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศให้ขยายตัวมากขึ้นด้วย จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ไม่มากนัก
สำหรับประเทศฮังการีมีประชากรราว 10 ล้านคน โดยมีผู้ประกอบการเข้าไปรุกตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลายแบรนด์ อาทิ นิชชิน (Nissin) จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้นำตลาดโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดราว 36% โดยมีแบรนด์ Vishu ของเวียดนามเป็นเบอร์ 2 ด้วย ส่วนแบ่งทางการตลาดราว 22% เบอร์ 3 คือ Tesco ด้วยส่วนแบ่งตลาด 19% และยังมีแบรนด์คนอร์ (Knorr) ของ ยูนิลีเวอร์ แม็กกี้ (Maggi) ของ เนสท์เล่ เป็นต้น
ที่ดินพม่าราคาพุ่ง อุปสรรคผุดโรงงานบะหมี่แห่งที่ 2
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแห่งที่ 2 ในพม่า ขณะนี้ยังไร้ข้อสรุปเรื่องการเจรจาซื้อที่ดิน เนื่องจากสถานการณ์ราคาที่ดินในมัณฑะเลย์ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งการพิจารณาทำเลที่ตั้งยังไม่ลงตัว โดย 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตมาม่า กำลังการผลิตราว 3 หมื่นหีบต่อปี ขณะที่โรงงานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าในกัมพูชาก็ยังคงขยายตัวได้ดี โดยมียอดขายเติบโตราว 10%
เขายังกล่าวถึงการทำตลาดบะหมี่ในประเทศเวียดนาม ว่า บริษัทได้เปลี่ยนผู้จัดจำหน่ายและกระจายสินค้ารายใหม่แทนบริษัท ไทยคอร์ป อินเตอร์เนชั่นแนล เวียดนาม จำกัด ของกลุ่มเบอร์ลี่ยุคเกอร์ ธุรกิจของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่เป็นผู้กระจายสินค้ายักษ์ใหญ่ในเวียดนาม เนื่องจากเห็นว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อาจดูแลสินค้าไม่ได้ในเชิงลึก ขณะที่การแข่งขันของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในเวียดนามมีความรุนแรงมาก
"บริษัทยังไม่ถอนการทำตลาดมาม่าในเวียดนาม แต่เปลี่ยนดิสทริบิวเตอร์รายใหม่ แทนรายเดิมซึ่งเป็นรายใหญ่ของเวียดนาม เพราะเห็นว่าบริษัทใหญ่มีสินค้าในพอร์ตจำนวนมาก อาจดูแลมาม่าไม่ได้ในเชิงลึก และการทำตลาดของมาม่ายังคงจำกัดในตลาดเฉพาะหรือนิช มาร์เก็ตเป็นหลัก เพราะตลาดที่เวียดนามมีคู่แข่งที่แข็งแรงมาก ทำให้ยอดขายปีที่แล้วไม่เติบโต"
ปัจจุบัน มาม่า ส่งสินค้าไปจำหน่ายกว่า 50 ประเทศทั่วโลกทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ แอฟริกา แอฟริกาใต้ ยุโรป ออสเตรเลียและเอเชีย มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกราว 15% ขณะที่ฐานการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่ามีอยู่ในหลายประเทศ ทั้งพม่า กัมพูชา ที่ผ่านมายังได้ร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นเพื่อตั้งบริษัท คาลอล ไทย เพรซิเดนท์ฟูดส์ (บีดี) จำกัด ในบังกลาเทศ ภายใต้ทุนจดทะเบียน 220 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า มีกำลังการผลิต 20 ล้านซองต่อปี ตั้งแต่เดือนม.ค. ที่ผ่านมา และใช้งบลงทุน 248 ล้านบาท ตั้งโรงงานผลิตมาม่าที่ประเทศภูฏาน ซึ่งทั้งสองประเทศจะเป็นฐานการผลิตมาม่าไปจำหน่ายในประเทศอินเดีย ที่มีประชากรราว 1,000 ล้านคน
นอกจากนี้ ปี 2555 ที่ผ่านมา บริษัทยังได้ลงนามความร่วมมือ (เอ็มโอยู) เพื่อเข้าทำธุรกิจโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับประเทศกานา เพื่อขยายฐานลูกค้าในตลาดแอฟริกา ที่ผ่านมาบริษัทยังมีฐานการผลิตถ้วยกระดาษที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
กำลังซื้อชะลอกระทบยอดขายในประเทศ
นายสุชัย ยังกล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในประเทศไทย ว่า จากสภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง ส่งผลกระทบต่อยอดขายมาม่าให้เติบโตเพียง 5-6% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายซึ่งตั้งไว้ 10% และคาดการณ์ทั้งปียอดขายจะเติบโตดีที่สุดที่ 7-8% เท่านั้น ขณะที่ตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนมาม่ามีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 50% ของมูลค่าตลาดรวม
"ตอนนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่กระทบยอดขายประเทศให้เติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย ทั้งนโยบายรถคันแรก ทำให้อารมณ์การจับจ่ายใช้สอย และกำลังซื้อผู้บริโภคไม่ค่อยมี รายได้ปีนี้เราคาดการณ์จะเติบโตดีที่สุดคงอยู่ที่ระดับ 7-8% แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายมาก จากปีที่แล้วมีรายได้กว่า 1.12 หมื่นล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 80% และ เวเฟอร์ บิสกิตฯ อีกราว 20%" นายสุชัยเผย




