ก้าวข้ามอนาล็อกสู่ดิจิทัล เกมเก๋า "กันตนากรุ๊ป"

ก้าวข้ามอนาล็อกสู่ดิจิทัล เกมเก๋า "กันตนากรุ๊ป"

กันตนาในวัย 61 ภายใต้การนำของ "จาฤก กัลย์จาฤก" นอกจากจะเดินสู่ยุคดิจิทัล ในแง่บริหาร ยังเริ่มเห็นทายาทรุ่น3รับไม้ต่อทายาทรุ่นสองกันแล้ว

บรรยากาศการซื้อซองประมูลทีวีดิจิทัล ประเภทธุรกิจ 24 ช่อง แบ่งเป็น ช่องเอชดี 7 ช่อง, วาไรตี้ SD 7 ช่อง, ช่องข่าว 7 ช่อง และช่องเด็ก 3 ช่อง ที่ผ่านพ้นไปเมื่อ 10-12 ก.ย.ที่ผ่านมา คึกคักอย่างยิ่ง

3 วันของการซื้อซองประมูลใบละ 1.07 ล้านบาท (ซองละ 1 ล้าน รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ของ 33 บริษัท จำนวน 49 ซองประมูล แสดงว่าต้องมีแพ้คัดออก "กว่าครึ่ง" ของจำนวนผู้ซื้อซอง

เรายังได้เห็นการตบเท้าของบรรดาทุนหนา สายป่านยาว รวมไปถึงบริษัทขนาดกลางๆ เดินทางมาซื้อซองในหลายรูปแบบ ทั้งการส่งบริษัทแม่ แตกบริษัทลูก ส่งบริษัทคู่กัด โดดสู้ศึกในสังเวียนทีวีดิจิทัลอย่างเอาเป็นเอาตาย กับการประมูลที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้

โดยเฉพาะกรณีอดีตเจ้าแม่ 7 สี คุณแดง "สุรางค์ เปรมปรีดิ์" ส่งบริษัทของตัวเองในนาม "จันทร์ 25" เข้าซื้อซองประมูลทีวีดิจิทัลช่องประเภทเอชดี ในวันสุดท้าย เกทับบริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด (ช่อง 7) ที่ยื่นซองประมูลช่องเอชดี ไปตั้งแต่วันแรกของการซื้อซอง ทั้งๆที่คุณแดงก็ถือหุ้นสัดส่วน 21% ในช่อง 7

"งานนี้ไม่ใครก็ใครต้องยอมถอย !!" ประเมินเกมนี้คุณแดงน่าจะมีแต้มต่อเหนือช่อง 7 ที่ยังไงก็ต้องคว้าช่องประเภท เอชดี มาครองให้ได้

อดีตเจ้าแม่วิก 7 สี จะถอยอย่างไรให้สะใจ..นั่นคือสิ่งที่หลายคนอยากรู้ !!

เพราะตามประกาศหลักเกณฑ์การประกาศหลักเกณฑ์การประมูลทีวีดิจิทัล กสทช. มี "ข้อห้าม" ผู้ถือหุ้นในบริษัทมีผลประโยชน์ร่วมกัน "ถือครอง" ช่องรายการประเภทเดียวกัน กล่าวคือ ผู้ที่ถือหุ้นในบริษัทใดบริษัทหนึ่งในสัดส่วน 10% ขึ้นไป ถือว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน

การเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัล คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยังประเมินว่า จะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมโฆษณาพุ่ง "เท่าตัว" ด้วยเม็ดเงินกว่า 2 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปีจากนี้ (เฉลี่ยปีละ 4 หมื่นล้านบาท)

ขณะที่การลงทุนในกิจการบรอดแคสต์ (รวมการประมูลทีวีดิจิทัล) ก็สูงลิ่วระดับ "แสนล้านบาท" เช่นกัน

งานนี้ เรียกว่า ผลตอบแทนมาก ก็ต้องลงทุนสูง !!?

ชิ้นปลามันที่เหล่า "ทุนหนา" มองเห็น และต้องคว้าช่องไว้ครอบครองแบบ "ลงทุน" ไปก่อน เพราะเหนือสิ่งอื่นใดคือการครอบครอง "ช่อง" ให้ได้ภายใต้ใบอนุญาตประกอบการในระยะ 15 ปี

ทว่า เมื่อเหลือบมองรายชื่อ "บริษัท" ที่ระดมซื้อซองประมูลรอบนี้ กลับไม่มีรายชื่อของ "พี่ใหญ่" แห่งวงการบันเทิง อย่าง "กันตนา กรุ๊ป" !!!

ในเรื่องนี้ "ตั้ม จาฤก กัลย์จาฤก" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่า..
"กันตนายืนยันมาแต่แรกแล้วว่าจะไม่เข้าประมูลทีวีดิจิทัล แต่เราจะเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ป้อนให้กับทุกช่อง” นี่คือความเหนือชั้นของจาฤก ที่มองเกมประมูลทีวีดิจิทัลแบบทะลุจอ

สำหรับเขาขอ "จับเสือมือเปล่า" ประมูลกันไปเถอะ เพราะเมื่อเกิดทีวีดิจิทัลขึ้นมาจริงๆ ผู้ผลิตคอนเทนต์ (Content Provider) เก๋าเกมเช่นเขา จะถูกหลายต่อหลายช่องวิ่งเข้าหา มีการพูดด้วยซ้ำไปว่า..

นี่คือ"ยุคทอง" ของ คอนเทนต์ โปรวายเดอร์ หรือ ผู้รับจ้างผลิตเนื้อหา ขนานแท้ ในเมื่อ Content is King

จาฤกยังบอกด้วยว่า กันตนา จะขอทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดเท่านั้น

“การเป็น Content Provider คือที่เราวางไว้ เราเห็นโอกาสทำธุรกิจอีกมากจากการเปิดประมูลทีวีดิจิทัล 24 ช่อง เห็นว่าจะมีเจ้าของช่องอีกมากมายที่วิ่งเข้าหาผู้ผลิตคอนเทนต์อย่างเรา” เขาย้ำ

ที่ผ่านมากันตนาจึงเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร และเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงาน โดยได้ลงทุนปรับเปลี่ยนทั้งระบบฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ รวมทั้งผลิตทุนมนุษย์ หมดเงินลงทุนไปกว่า 100 ล้านบาท เพื่อรองรับ "ยุคดิจิทัล" ที่เข้มข้น

เมื่อยุคอนาล็อก กำลังจะสูญพันธุ์...

กับการจัดตั้งสถาบันกันตนา เปิดหลักสูตร ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการสื่อบันเทิง เพื่อผลิตบุคลากรป้อนให้กับองค์กรสื่อ ที่ว่ากันว่าเริ่มเกิดภาวะแย่งตัวกันมโหฬารและจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

"คนไม่พอแน่นอน ทุกวันนี้ตากล้องยังต้องแย่งตัวกัน" จาฤก เคยเปรยไว้เช่นนั้น

และนี่คือโอกาสทองของกันตนาในการ "ผลิตคน" ป้อนแวดวงทีวี อย่างไม่ต้องสงสัย

จาฤกยังคาดการณ์ด้วยว่า เมื่อเกิดทีวีดิจิทัล ตลาดคอนเทนต์น่าจะขยายตัวสูงถึง 2-3 เท่าตัว จากปัจจุบันที่มีมูลค่า 6-7 หมื่นล้านบาท ทำให้กันตนามีแผนที่จะปรับสัดส่วนการรับจ้างผลิตคอนเทนต์เพิ่มจาก 60 % เป็น 80% ลดสัดส่วนป้อนคอนเทนต์ให้กับกลุ่มบริษัทกันตนาลง

โดยปัจจุบันกันตนากรุ๊ป มีโครงสร้างธุรกิจหลักๆ ประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโทรทัศน์,กลุ่มธุรกิจภาพยนตร์,กลุ่มธุรกิจการศึกษาและการจัดกิจกรรม และอีกหนึ่งธุรกิจคือ กลุ่มธุรกิจเกมส์ โดย 2 กลุ่มหลังเป็นธุรกิจน้องใหม่ของกันตนา

ก่อนที่กันตนาจะเปลี่ยนแปลงแผนการทำงานเพื่อรองรับกับการมาของ "ยุคดิจิทัล" นั้น จาฤก เล่าว่า มีจุดเริ่มต้นจากการที่บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งในธุรกิจโทรทัศน์และภาพยนตร์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงจาก "ระบบฟิล์ม" มาเป็น "ระบบดิจิทัล" อย่างรวดเร็ว

“กลุ่มธุรกิจโทรทัศน์ ถือเป็นกลุ่มที่ทำรายได้สูงสุดในตอนนี้ สัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 45-50% รายได้เฉลี่ยปีหนึ่งๆ ประมาณ 1,000 ล้านบาท รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจภาพยนตร์ ที่มีสัดส่วนรายได้ราว 10% ลดลงไปเยอะมากจากเมื่อก่อน รายได้เหลือราว 500-600 ล้านบาท เพราะฟิล์มแลปของเราก่อนหน้านั้นยังไม่ได้ปรับมาเป็นระบบดิจิทัล ทำให้รายได้หายไปเยอะปีนี้ ส่วนกลุ่มธุรกิจการศึกษาและการจัดกิจกรรมรายได้น้อยมาก 3-4% ประมาณ 10 กว่าล้านบาท และกลุ่มธุรกิจเกมส์ไม่ต้องพูดถึงเพราะเพิ่งเริ่มต้น ยังไม่ทำรายได้เท่าไหร่” จาฤกเล่าถึงความท้าทายของธุรกิจในยุคเปลี่ยนผ่านที่ธุรกิจโทรทัศน์ ยังคงทำ "รายได้หลัก" อยู่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม รายได้รวมที่ลดหายวูบลงของกันตนา ยังได้สะท้อนให้เห็นอาการ "เสียศูนย์" ของกันตนา จากการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วเมื่อช่วงปี 2555 จนเกิดอาการ "สะดุดล้ม" อย่างน่าใจหาย

ฟิล์มแลปซึ่งเป็นธุรกิจหลักของสายภาพยนตร์รายได้ลดลงไปกว่า 80%

สิ่งที่เกิดขึ้น นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ของบริษัทนั่นคือ การแยกงานด้านการแปลงข้อมูลจากฟิล์มมาเป็นระบบดิจิทัล หรือ Film to File จัดตั้งเป็น บริษัท กันตนา ดิจิตอล ดิสทริบิวชั่น เซอร์วิส จำกัด ขึ้นมาเพื่อรองกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีดิจิทัลเต็มตัว

นอกจากนี้ ยังเพิ่มการหารายได้จากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในต่างประเทศ อย่างจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อเมริกา และยุโรป เช่นเดียวกัน กับการบริหารธุรกิจสถานีโทรทัศน์ในต่างประเทศ ที่กันตนาได้ไปบุกเบิกไว้มานานเกิน 20 ปีตั้งแต่สมัยรุ่นบุกเบิกอย่างในเวียดนามและกัมพูชา

ในการมาของยุคดิจิทัลครั้งนี้ จาฤกบอกว่า บริษัทได้วางแผนพัฒนาในด้านเทคนิคเพื่อเตรียมรับการแพร่สัญญาณในระบบดิจิทัลในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 กัมพูชา กันตนาวางแผนเอาไว้ว่าจะพัฒนาด้านเทคนิคหลักเพื่อรองรับระบบดิจิทัล ส่วน บริษัท ลาสตา มัลติมีเดีย จอยท์-สต็อค จำกัด ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับการมาของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม หากจะสรุปแบ่งช่วงจังหวะชีวิตของกันตนาออกเป็นช่วงๆ แล้ว ถือว่าในขณะนี้กันตนาเข้าสู่ "ยุคที่ 3" ภายใต้การนำของจาฤก โดย "ยุคแรก" ถือเป็นยุคสมัยของการบุกเบิก ช่วงปี 2494 -2519 ต่อมาถึง "ยุคกลาง" ตั้งแต่ช่วงปี 2523-2541 เป็นยุคที่ถือว่ากันตนามีความเป็นผู้นำในวงการสื่อบันเทิงแท้จริงด้วยการที่บริษัทมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ก่อนจะเข้าสู่ "ยุคที่ 3" ตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมาถึงปัจจุบันเป็นยุคที่กันตนาเติบโตก้าวกระโดด มีบริษัทมากถึง 23 บริษัท และอีก 1 สถาบันการศึกษา ที่สำคัญยังเป็นยุคที่เจเนอเรชั่นที่ 3 รุ่นลูกๆ ของบรรดาทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามามีบทบาทในการบริหารงานมากขึ้น

โดยในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่าน จากรุ่นสู่รุ่นของกันตนา กรุ๊ป สิ่งที่เห็นคือการดึงตัวทายาทคนโตลูกชายสุดที่รักของ จาฤก อย่าง "เต้” ปิยะรัตน์ (กันตะ) กัลย์จาฤก ไปในเก้าอี้ New Media Consultant Business Development & International Affairs และทายาทคนอื่นๆอีกหลายเก้าอี้

มีโอกาสได้พูดคุยกับ ปิยะรัตน์ เจ้าตัวบอกว่า เขายังได้มีส่วนร่วมกับธุรกิจโรงภาพยนตร์ชุมชน ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ถอดด้ามของกันตนากรุ๊ป กับแผนการเปิดโรงภาพยนตร์ชุมชน ที่ลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ที่ตั้งใจว่าจะเปิดให้ได้ 1,000 แห่ง ในไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของทายาทวัยรุ่น

หนุ่มเต้ ยังเล่าติดตลกถึงเรื่องเรื่องทายาทว่า พวกเขาถูกเรียกว่าเป็นเจเนอเรชั่น "ดิจิทัล" ชื่อเรียกกันเล่นๆ ในบริษัทขณะนี้

“ตอนนี้ในกันตนาดึงคนรุ่นพวกผมมาช่วยงานมากขึ้น แต่สำหรับผมเองถือว่าต้องรับผิดชอบเยอะหน่อย เพราะโตที่สุดแล้วถ้าเปรียบเทียบกับน้องๆ คนอื่นๆ อย่างตำแหน่ง New Media Consultant ก็เพิ่งตั้งขึ้นมา โดยผมรับผิดชอบเต็มๆ เพราะมันเป็นงานที่มักจะเกี่ยวข้องกับด้านต่างประเทศ ซึ่งคุณพ่อเห็นว่าเหมาะกับผมดี เพราะอย่างน้อยก็เรียนจบมาจากต่างประเทศ แล้วก็ควรจะใช้วิชาความรู้ในการทำงาน”

นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการโทรทัศน์ไทยที่จะเป็นดิจิทัลเต็มตัว ทำให้ ต้องพวกเราต้องทำการบ้านมากขึ้น เพราะสิ่งนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดจะเป็นยังไง
“เต้ เองก็พร้อมที่จะทำงานนี้เต็มที่ อย่างที่คุณพ่อเคยบอกไว้เราต้องมุ่งมาสู่การเป็น Content Provider ผลิตคอนเทนต์ป้อนสู่ตลาด”

เมื่อถามถึงแรงกดดันในการทำงาน เขาเองยอมรับว่า มีแน่นอน เพราะเป็นงานที่มีความท้าทายที่ทางผู้ใหญ่ในครอบครัวมอบหมายให้ดูแล แต่ก็รู้สึกอุ่นใจเพราะหากมีปัญหาพี่น้องๆ น้า อา ทุกคนพร้อมช่วยเหลือตลอดเวลา

“แน่นอนว่า ความกดดันจากการทำงานก็มีส่วนสำคัญ และความกดดันจากคำว่าลูกหลานเจ้าของผู้ก่อตั้งบริษัทก็สำคัญทำให้ คนในรุ่นที่ 3 ต้องทำงานพิสูจน์ตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะคนรุ่นพ่อ รุ่นน้า และ อาทำงานเก่งกันทุกคน พนักงานในบริษัทเกิดการยอมรับในฝีมือสำหรับรุ่นที่ 3 อย่างเราที่ตอนนี้มีอยู่ 13 คน ถือว่าต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อให้คนในองค์กรเกิดการยอมรับให้ได้”
--------------------------------------------
หนุ่มใหญ่ วัย "แซยิด"

มาทำความรู้จักกับหนุ่มใหญ่วัยแซยิดอย่าง “ตั้ม” "จาฤก กัลย์จาฤก" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันตนากรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ให้ลึกกว่านี้ จาฤกคือ ทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูล "กัลย์จาฤก" ต่อจากคนรุ่นพ่อ-รุ่นแม่ผู้ก่อตั้ง “ประดิษฐ์ - สมสุข กัลย์จาฤก ตระกูลที่อยู่คู่วงการทีวี-ภาพยนตร์ไทยมายาวนานถึง 6 ทศวรรษ (ปีนี้อายุ 61 ปี)

จาฤก เป็นลูกชายคนรองของครอบครัว มีดีเอ็นเอที่หลากหลายระหว่าง "นักการตลาด" กับ "ช่างเครื่องอิเล็กทรอนิกส์" วิชาชีพเดิมที่ร่ำเรียนมา บวกกับความเป็น "นักบริหาร" เต็มขั้น

เขาจึงดูมีแนวความคิด ที่ค่อนข้างโลดโผนต่างไปจากพี่น้องคนอื่นๆ ที่คลานตามกันออกมา ได้แก่ สิทธิธานต์ กัลย์จาฤก พี่ชายคนโตของครอบครัว (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ดร.ปนัดดา ธนสถิตย์ (กัลย์จาฤก) ,นิรัตติศัย กัลย์จาฤก และ จิตรลดา ดิษยนันทน์ (กัลย์จาฤก) น้องคนสุดท้อง

บ่อยครั้งที่ "ตั้ม" ขัดใจพ่อ บานปลายนำไปสู่ "ความขัดแย้ง" ระหว่างพ่อลูกมานานหลายปี แต่ท้ายที่สุด เขาก็กลายเป็นคนที่ถูกวางตัวให้เข้ามาทำหน้าที่ "ผู้นำร่วม" กับพี่ชายคนโต

ทว่าเขามักออกตัวอยู่เสมอว่า..

"พี่โตคือคนที่ทำงานอยู่เบื้องหน้า ส่วนผมแค่คนที่ทำงานอยู่หลังบ้าน"

จนกระทั่งวันหนึ่งพี่ชายคนโตของครอบครัวจากไปด้วยโรคมะเร็ง จาฤก จึงกลายเป็นเสาหลักของครอบครัวมาจนทุกวันนี้ ผู้ชายร่างสูงคนนี้ต้องแบกทุกอย่างไว้บนบ่า ต้องประคับประคองธุรกิจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลากหลายยุคให้ "ก้าวผ่าน" ไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง

ในห้วงเวลานี้ก็เช่นกัน ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจาก "อนาล็อก" สู่ยุค “ดิจิทัล” เต็มตัว เป็นยุคเดียวกันกับที่กันตนา กำลัง(จะ)ผลัดใบ เปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่ (Young Blood) ขึ้นมาแทนรุ่นเก่าๆ มากขึ้น

จาฤก ยังก็เคยเปรยๆ ว่า อยากจะวางมือเต็มทีแล้ว เพื่อให้น้องๆ ลูกๆ หลานๆ ขึ้นมาดูแลแทน ส่วนเขาจะใช้ชีวิตที่เหลือเดินทางท่องเที่ยว

“เที่ยวแบบผม คือ เที่ยวไปดูงานไป ชอบไปดูพวกเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมทีวีและภาพยนตร์ ดูเสร็จก็เอาสิ่งที่เห็นมาบอกน้องๆ หลานๆ แบบนี้” เขาหัวเราะ
-------------------------------------------
13 ทายาทรุ่น 3

ไล่มาตั้งแต่หัวขบวนของเด็กรุ่นใหม่ในครอบครัวกันตนา “เต้” ปิยะรัตน์ กัลย์จาฤก ลูกชายคนโตของ จาฤก ถือว่ามีบทบาทสำคัญไม่น้อยที่พ่อให้ดูแลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศและธุรกิจใหม่ที่กันตนาเพิ่งตั้งขึ้น กับเก้าอี้ New Media Consultant Business Development & International Affairs ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญในแง่การต่อยอดธุรกิจในเครือสู่ดิจิทัล

ส่วนลูกชายอีกคนของจาฤก “เต้นท์” กัลป์ กัลย์จาฤก ถูกวางตัวอยู่ในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันตนา โมชั่น พิคเจอร์ส์ จำกัด ในธุรกิจโปรดักชั่น และ โพสต์ โปรดักชั่น

ส่วนลูกสาวของ ดร.ปนัดดา (กัลย์จาฤก) - ธนา ธนสถิตย์ ได้แก่ “อุ๊ย” ธนามล และ "เอ้ก" ธิดารมย์ ธนสถิตย์ ให้นั่งเก้าอี้ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ส่วนลูกสาวอีกคน ”เอย” ปณีตา ธนสถิตย์ อยู่ระหว่างศึกษา

ด้านลูกๆ ของ ต๊ะ -นิรัตติศัย กัลย์จาฤก ประกอบด้วย 2 หนุ่ม ได้แก่ "จูปีเตอร์” รฤกฤกษ์ และ “ยังเติร์ก” คหบดี กัลย์จาฤก แม้ไม่ได้เข้ามาดูแลงานในธุรกิจกงสีอย่างกันตนา แต่พ่อก็วางฐานไว้ให้เรียบร้อยแล้วกับการนั่งบริหารในบริษัท “ป๋าสั่งย่าสอน”

ส่วนทายาทอีก 4 คน ของ “โต” สิทธิธานต์ -วจี กัลย์จาฤก ได้แก่ “ตอง” นรรฐพร , “ตาล” กันตนา , “ติ้ว” นฤชล และอีกหนึ่งหนุ่ม “ตั๋ง” จิรัจ กัลย์จาฤก คนแรกนั่งเก้าอี้ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กันตนา โมชั่น พิคเจอร์ส จำกัด คนรองนั่งเก้าอี้ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีภายใน บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ส่วนทายาทที่เหลือยังอยู่ระหว่างศึกษา

นอกจากนี้ ทายาทของ ฐาปกรณ์ - จิตรลดา ดิษยนันทน์ 2 คน ได้แก่ “สตางค์” ดิษย์ลดา และ “เวลล์” ดิษย์กรณ์ ดิษยนันทน์ คนโตกำลังศึกษาดูงานและช่วยงานของจิตรลดาที่ดูแลด้านละครของกันตนา และวางแผนเพื่อศึกษาต่อในต่างประเทศ เช่นเดียวกับน้องคนเล็กที่ยังไม่มีบทบาทมากนักเพราะอยู่ระหว่างศึกษา

ทายาททั้ง 13 คนนี้เป็นเลือดใหม่ที่กันตนากำลัง "ปั้น" ให้แต่ละคนให้เข้ามาทำงานตามสายงานที่วางเอาไว้ แม้ว่าจะมีหนึ่งครอบครอบครัวที่ดูเหมือนแยกตัวออกไป คือครอบครัวของ นิรัตติศัย กัลย์จาฤก แต่พี่ชายใหญ่แห่งบ้านกันตนาก็ยืนยันหนักแน่นว่า..

“ต๊ะ (นิรัตติศัย กัลย์จาฤก) เขาก็ยังช่วยดูอยู่ห่างๆ ไม่ได้ทิ้งครอบครัว พี่น้องทุกคนรักกันดีอยู่”