ถอดรหัสดีเอ็นเอ"คิวบิกครีเอทีฟ"นักสร้างการเรียนรู้ สุดสนุก

ถอดรหัสดีเอ็นเอ"คิวบิกครีเอทีฟ"นักสร้างการเรียนรู้ สุดสนุก

ไม่มีอะไรไม่ใช่ปัญหาทุกเรื่องเล็กพร้อมกลายเป็นเรื่องใหญ่และทุกอย่างก็“เพอร์เฟค”ได้ไม่ว่าจะงานเล็กแค่ไหน นี่คือดีเอ็นเอของชาว“คิวบิกครีเอทีฟ"

“สำหรับพวกเรา ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ปัญหา ทุกอย่างเป็นปัญหาไปหมด พอปัญหาไหนแก้ได้ ก็จะเจอกับปัญหาใหม่ที่ท้าทายขึ้นไปอีก จึงต้องคิด ต้องพยายามหาความท้าทายใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้ปัญหาช่วยแอคทีฟตัวเราขึ้นไปเรื่อยๆ นี่คือดีเอ็นเอของ คิวบิกครีเอทีฟ”

คำพูดสะท้อนตัวตนของกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) “คิวบิกครีเอทีฟ” จากคำบอกเล่าของ “ณัช ภู่วรวรรณ” ประธานฝ่ายกลยุทธ์ คิวบิกครีเอทีฟ ที่ปลุกปั้นและอยู่ร่วมอุดมการณ์กับคิวบิกครีเอทีฟมาตั้งแต่ต้น

พวกเขาคือองค์กรเพื่อสังคมรูปแบบใหม่ ที่นิยามตัวเองว่าเป็น องค์กรเยาวชนแห่งการเรียนรู้ที่สนุก ซึ่งพัฒนาตัวเองมาจากชมรมเล็กๆ ในโรงเรียนมัธยม (ชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตร : KUSAC) จนมาเป็นองค์กรพัฒนาเยาวชน ใน 3 มิติ คือ เยาวชน การเรียนรู้ และความคิดสร้างสรรค์ มิติทั้ง 3 ของลูกบาศก์สร้างสรรค์ ที่มาของ คิวบิกครีเอทีฟ (Cubic Creative) เมื่อ 9 ปีที่ผ่านมา

วันเวลาหมุนเปลี่ยน สลับหน้าอาสาสมัครเข้าร่วมงานกว่า 100 คน มีเยาวชนหลายพันชีวิตได้ร่วมกิจกรรม ก่อเกิดค่ายเยาวชนที่เน้นการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ฝึกทักษะการดำเนินชีวิต ผ่านโปรแกรมสนุกๆ จนเป็นที่จดจำและตรึงใจของใครหลายคนในวันนี้

ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่มาจากสิ่งที่ซึมลึกอยู่ใน “ดีเอ็นเอ” ของพวกเขา

“เรามีความคิดตั้งแต่ต้น ที่จะให้องค์กรอยู่ได้ด้วยตัวเอง จึงมีแนวทางในการหารายได้ที่ชัดเจน อย่างการทำค่ายต้องไม่ฟรี ต้องมุ่งให้เกิดความสมดุลระหว่างการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมกับการดำเนินธุรกิจเพื่อความมั่นคงและยั่งยืน”

เขาบอกความคิดที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอองค์กรมาตั้งแต่เริ่มต้น แม้ในวันนั้นจะยังไม่เคยคุ้นกับคำว่า Social Enterprise และพวกเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กมัธยม แต่แนวคิดนี้เองที่ทำให้คิวบิกครีเอทีฟ อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ จนสามารถแยกออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง และดำเนินการในรูปแบบกิจการเพื่อสังคมอย่างเต็มตัว

“ทุกวันนี้ก็พยามยามทำคอร์สช่วงเสาร์-อาทิตย์ แต่พูดตรงๆ ว่า ทุกครั้งที่คิดทำอะไรที่ไม่ใช่ค่าย เรายังไม่ประสบความสำเร็จเลย อันนี้ก็ยังเป็นปริศนาอยู่ แต่ก็ทำให้เรียนรู้ว่า คิวบิกครีเอทีฟ เหมาะกับการทำค่าย และจุดเด่นของเรา คือ ไม่ได้มองแค่ว่าผู้เข้าร่วมจะได้อะไร แต่มองด้วยว่าคนที่มาทำงานจะได้อะไรไปจากค่าย”

ทุกครั้งที่คิดโจทย์ทำค่าย ก็แค่ตอบให้ได้ถึงผลกระทบกับคนสองกลุ่มนี้ นั่นคือขอแค่คนทำและคนรับ ได้ “เรียนรู้” และ “สนุก” ก็เท่ากับตอบโจทย์ของพวกเขาแล้ว

จากการทำค่ายการเรียนรู้ ซึ่งมีสิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก เรื่องเล็กๆ บางเรื่องในค่าย กลับจุดประกายสิ่งยิ่งใหญ่ให้กับพวกเขา

“อย่างเรื่องอาหารผมเคยคิดว่าเล็กน้อยมาก ก็แค่จดรายการอาหารไปให้ใครสักคนทำ แต่พอเราได้คนที่มีความเชี่ยวชาญและสนใจเรื่องอาหารเข้ามาช่วย พบว่าเขาละเอียดและพิถีพิถันมาก อย่างวันนี้ต้องทำกิจกรรมอะไร อาหารแบบไหนที่จะเหมาะสม เหมือนจุดประกายพวกเราว่า เราสามารถทำทุกอย่างให้เพอร์เฟคได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหนก็ตาม”

นั่นคืออีกหนึ่งดีเอ็นเอ ที่ค่อยๆ เข้ามาซึมลึกในองค์กร สะท้อนออกมาเป็นการทำงานที่เขาบอกว่า ไม่พยายามเอ้าท์ซอร์สงานข้างนอก แต่พยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และไม่ว่ากิจกรรมไหน คนของคิวบิกครีเอทีฟต้องสามารถเข้าไปควบคุมดูแลทุกการทำงานได้

“ข้อดีคือ ตัวค่ายยิ่งแน่น เพราะประสบการณ์ทุกอย่างที่น้องเจอ มันเป็นสิ่งที่เราตั้งใจให้เกิดขึ้น แม้ตอนกินข้าว เดินจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ได้ยินเสียงเพลง ล้วนอยู่ในสภาวะที่เราอยากจะให้เกิดทั้งนั้น ซึ่งบางเรื่องอาจดูเล็กน้อยมาก แต่ว่าพอแต่ละฝ่ายพยายามทำตัวเองให้เพอร์เฟค เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือน้องๆ เลยกลายเป็นค่ายที่สมบูรณ์ที่สุด”

และนั่นทำให้องค์กรเล็กๆ กลับมี Corporate Culture ที่เข้มแข็งมาก ซึ่งเขาบอกว่านี่เองที่จะตอบความยั่งยืนที่แท้จริงให้กับองค์กร

“หลายคนถามผมว่า เราจะเติบโตอย่างไร ผมจะบอกไปทุกครั้งว่า การเติบโตไม่เคยเป็นจุดประสงค์ของเรา แต่คือความยั่งยืน ผมเชื่อว่าอะไรก็ตามถ้ามันดี มันจะถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติเอง ถ้ายังอยู่ในโลกใบนี้ได้ แสดงว่ายังมีคนสนใจและต้องการมันอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจว่าเราจะเติบโตอย่างไร แต่สนใจแค่ว่าเราจะทำอะไรที่ดี ถ้าจะโตมันก็โตเอง” เขาบอก

นั่นคือเหตุผลของการทำงานที่ยังคงมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพ ผู้รับและผู้ให้ ยังต้องได้การเรียนรู้ ไม่ให้ดีเอ็นเอที่สร้างมานานต้องถูกบั่นทอนเพราะผลกำไรในเชิงธุรกิจ

“ผมมองว่าสิ่งสำคัญที่เราสร้างให้เกิดขึ้นคือ แรงบันดาลใจ บางคนบอกว่าสอนให้คนตกปลาสิสำคัญ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่า คือ ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากตกปลา เพราะถ้ามีแรงบันดาลใจ ต่อให้ไม่มีความรู้ สุดท้ายเขาก็จะทำได้อยู่ดี คงเหมือนกับคิวบิกครีเอทีฟ การที่เรามองทุกอย่างเป็นปัญหา ก็เกิดจากแรงบันดาลใจ ที่อยากจะทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ”

สำหรับเป้าหมายต่อไป คนหนุ่มในวัย 27 ปี บอกเราว่า อยากให้องค์กรของพวกเขาอยู่ได้ด้วยตัวเอง และอยู่ไปได้เรื่อยๆ ความฝันสูงสุดคือการที่คิวบิกครีเอทีฟ สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมในภาพใหญ่ได้ แม้อาจต้องใช้เวลาเป็นสิบเป็นร้อยปี และอาจไม่เกิดขึ้นในยุคของพวกเขา แต่ก็ยังอยากให้ไปถึงจุดนั้น และนั่นก็คือเป้าหมายในสุดทางของคิวบิกครีเอทีฟ

“ณัช” เริ่มต้นงานเพื่อสังคมตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยม แม้ในวันนี้เขาจะจบมหาวิทยาลัยแล้ว และมีทางเลือกมากมายในชีวิตแต่ก็ยังมุ่งมั่นกับการเป็นผู้ประกอบการสังคม เขาบอกแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ยังมุ่งมั่นในเส้นทางนี้

“มีเหตุการณ์หนึ่งที่เหมือนเปลี่ยนชีวิตผม คือผมเคยป่วยหนัก จนต้องถามตัวเองว่า จะตายหรือเปล่า มันจะจบแค่นี้หรือชีวิต เวลานั้นเหมือนทิ้งทุกอย่างไปแล้ว เพิ่งมารู้ซึ้งว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ทำให้สะกิดตัวผมเองว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่การที่ทุกวันนี้เรามีอะไร หรืออยากทำอะไรเพื่อที่จะให้เรามี แต่อยู่ที่ว่าเราจะทำอะไรเพื่อให้สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราทิ้งไว้ อาจไปสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคนที่ยังอยู่ได้”

และนี่คือ ความคิดคมๆ ที่หล่อรวมเป็นดีเอ็นเอ ของพวกเขา..คิวบิกครีเอทีฟ